xs
xsm
sm
md
lg

บริจาค 1 ร่าง ต่อลมหายใจ 4 ชีวิต!! เจาะใจคุณพ่อ “น้องเอิร์ธ” ความดีที่ไม่กลายเป็นผงธุลี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถึงตัวจะตายแต่ความดียังอยู่!! เปิดใจคุณพ่อ “น้องเอิร์ธ” หนุ่มวัย 16 ปี ประสบอุบัติเหตุ “ก้านสมองตาย” จนเสียชีวิต ตัดสินใจบริจาคอวัยวะลูกชาย เพื่อต่อลมหายใจอีก 4 ชีวิต ไม่เชื่อชาติหน้าเกิดมาไม่ครบ 32 ประการ หวังเพียงความดีนี้จะเป็นกุศลให้ลูกไปสู่ภพภูมิที่ดี

ช่วยอีก 4 ชีวิต ให้มีลมหายใจต่อ

“ในส่วนของการสูญเสีย เราเสียใจอยู่แล้ว เราร้องไห้อยู่แล้ว แต่ทีนี้เราจะเอาอวัยวะไปเผาทิ้งเป็นผงธุลีมันไม่มีประโยชน์ครับ อวัยวะน้องอยู่กับชีวิตใหม่ อยู่กับคนอื่นได้อีกหลายคน”
สุดใจ บำรุงจิต คุณพ่อของ น้องเอิร์ธ-สิทธิกรกฤตย์ บำรุงจิต หนุ่มวัย 16 ปี ที่ประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อ จนเสียชีวิต เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live หลังตัดสินใจบริจาคอวัยวะลูกชาย เพื่อช่วยอีก 4 ชีวิตให้ได้มีลมหายใจต่อ
“บริจาคไปจะมี หัวใจ จะช่วยได้ 1 คน แล้วก็ตับ 1 คน แล้วก็จะมีไต 2 ข้าง ข้างละ 1 คน ก่อนตัดสินใจบริจาคตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย ผมคิดอย่างเดียวว่าผมจะทำบุญให้ลูกชาย จะทำให้น้องไปสู่อีกภพหนึ่ง คือทำบุญใหญ่ให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย พยาบาลก็บอกว่าคุณพ่อดีใจด้วยนะ น้องช่วยไว้ได้หลายคนเลย”

 

ซึ่งพิธีศพน้องเอิร์ธตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเขาไม้แก้ว และได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ณ เมรุสถานวัดเขาไม้แก้ว ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
”ตอนไปเก็บกระดูกน้อง ผมไปบี้ดูมันก็เป็นผงธุลีจริงๆ แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนอวัยวะเขาที่อยู่ ช่วยต่อชีวิต ช่วยต่อลมหายใจของชีวิตใหม่ได้อีกหลายคน อาจจะไม่มาก ก็ถือว่าโอเค เพราะว่าอวัยวะที่ไปช่วยชีวิตใหม่ผมคิดว่าเขาจะต้องไปทำคุณงามความดีต่อบ้านเมือง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติแน่นอน
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจของครอบครัวบำรุงจิต เป็นอย่างมาก ที่ต้องมาสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นดั่งหัวแก้วหัวแหวนไปด้วยอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ ชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อ ทำให้กะโหลกศีรษะแตก สมองบวม เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลถึง 3 แห่ง ก่อนถูกส่งต่อมาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นแห่งที่ 4 แต่อาการไม่ดีขึ้น แพทย์จึงแจ้งให้พ่อแม่ทราบว่า น้องเอิร์ธ ก้านสมองตาย
“น้องได้รับอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์ชนท้าย 18 ล้อ ด้รับการักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ วันที่เข้าไปรักษา คุณหมอก็บอกคุณพ่อว่าน้องอาจจะเสียชีวิตได้ในระหว่างรักษา แต่คุณพ่อก็ยังไม่เชื่อ คุณพ่อคิดว่าคุณหมอคงพูดขู่ไว้ก่อนให้เราทำใจ
 

ก็เซ็นเอกสารยินยอมอนุญาตให้หมอรักษาอย่างเต็มที่ ทีนี้พอรักษาวันรุ่งขึ้น วันที่ 18 ก.ค.เข้ารับรักษา ก็รอยันประมาณบ่ายสามโมงกว่า พอน้องออกมาปุ๊บ ก็เข้าห้องพักผ่อนในไอซียู จากนั้นคุณหมอก็มาแจ้งอาการว่าจุดที่สำคัญ เลือดที่มันจะแตกในสมอง ตรงข้างแกนสมองรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ทีนี้โชคไม่ดีมันมีอีก 2 จุด ที่เพิ่มขึ้นมา มีเลือดคั่งข้างแกนสมอง ซึ่งก็ต้องทำการผ่ากะโหลกเปิดกะโหลก 2 ข้าง แต่คุณหมอบอกไม่มีใครทำ เพราะว่ามันเสี่ยงมาก



อาจารย์หมอเขาก็ประชุมกัน พอประชุมเสร็จ เขาก็บอกว่าถ้าจะรักษาน้องต่อไป อาจจะทำให้น้องเสียชีวิตเร็วขึ้น คุณพ่อก็เลยบอกว่าน้องมีบุญแค่นี้ใช่ไหมครับ หมอบอกว่าไม่อยากใช้คำพูดนั้น อยากใช้คำพูดว่าน้องอาการไม่ดีขึ้น ผมก็เลยบอกกับหมอว่า งั้นไม่ต้องชักสายที่น้องใส่อยู่ หรือสายออกซิเจนอะไรทั้งนั้น ให้น้องหมดลมหายใจไปเอง ผมก็รอปาฏิหาริย์ว่าตอนเช้าน้องอาจจะตื่น อาจจะฟื้นขึ้นมารับรู้ที่เราเคยคุยกัน ทีนี้น้องไม่ฟื้น พอเช้าวันที่ 20 คุณหมอก็ได้มาแจ้งแต่เช้าบอกว่า อาการน้องแย่ลง ก็คือจะหยุดหายใจแล้ว”

 

จากนั้นแพทย์ได้มีการพูดคุยกับครอบครัวน้องเอิร์ธ ว่า สนใจจะบริจาคอวัยวะหรือไม่ เพราะก้านสมองตาย แต่อวัยวะยังสมบูรณ์ทุกอย่าง สามารถบริจาคเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยคนอื่นให้มีชีวิตต่อได้
“คุณหมอได้ขอบริจาคอวัยวะกับคุณพ่อ คุณพ่อก็บอกว่าร่างกายของน้องแข็งแรงมาก เพราะว่าเป็นที่ก้านสมอง ข้างล่างไม่มีอะไรหักแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งในส่วนตัวผมชอบทำบุญอยู่แล้ว ก็โทร.ไปปรึกษาคุณปู่บอกว่าน้องเอิร์ธไม่ไหวแล้วนะ หมอขอรับบริจาคพ่อจะให้เขาไหม คุณปู่ก็คือพ่อของผม พ่อก็บอกว่าก็ให้เขาไป เพราะถ้าเอาไปเผาทิ้งก็ไม่มีประโยชน์ ก็เป็นผงธุลี แต่ถึงปู่ไม่ให้ผมก็จะบริจาคอยู่แล้ว
ผมก็เลยไปตอบตกลงหมอว่าโอเคผมบริจาค แต่ขอเดินไปบอกน้องก่อนนะ ก็เดินไปขอน้อง ก็บอกว่าน้องเอิร์ธครับหนูจะไปแล้วนะ หนูจะไปอีกภพหนึ่งแล้วนะ แต่หมอเขาขออวัยวะของหนู พ่อจะบริจาคอวัยวะให้เขานะเพราะว่าหนูเอาไปหนูเอาไปใช้ไม่ได้





ผมก็เลยบอกกับเขาว่าอวัยวะที่พ่อบริจาค พ่อจะเอาบุญกุศลนี้ บุญใหญ่ๆ เอาให้หนูให้ติดตัวในภพหน้าจะได้ไม่ลำบากในภพต่อๆ ไป เอาไปต่อชีวิตใหม่ให้แก่คนอื่นได้อีกหลายชีวิต ก็ขอไว้อย่างนั้น”

ปลื้มใจลูกเป็นที่รัก จวบจนลมหายใจสุดท้าย

“ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงอยู่ (เสียงสั่น) แต่ก็ปลื้มใจความดีของเขา ถึงตัวเขาจะตายไปแล้วแต่การบริจาคในครั้งนี้ก็ส่งผลบุญไปให้เขา เพราะที่เราบริจาคเราไม่ได้เคยหวังอะไร เราหวังแต่ทำบุญเพื่อช่วยชีวิตใหม่ แล้วเรื่องแบบนี้ถ้าไม่เกิดกับครอบครัวใคร จะไม่มีวันรู้เลยครับ”



คุณพ่อของน้องเอิร์ธ เล่าความคิดถึงลูกชายเพียงคนเดียวที่จากไปไม่มีวันหวนกลับ ผ่านปลายสายด้วยเสียงสั่นเครือ พร้อมเล่าถึงว่าลูกชายนั้นเป็นที่รักของทุกคน อีกทั้งยังชอบช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย
“เขาชอบช่วยเหลือเกื้อกูลกับพวกเพื่อนๆ ร่าเริง ไม่เกเร เวลาเราไปไหนก็ไปด้วยกัน ไปทำบุญก็ไปด้วยกัน วันหยุดก็จะพาเขาไปช่วยงานด้วย เขาเรียนอยู่เทคนิคฯ เรียนสาขาไฟฟ้า แล้วผมก็เป็นผู้รับเหมาทำเกี่ยวกับไฟฟ้า ก็อยากให้เขาทำอาชีพนี้ ผมก็ให้เขาไปช่วย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ไม่ได้ไปเรียน เขาจะได้เก่งไปในตัว

 

คุณพ่อยังเล่าอีกว่า น้องเอิร์ธนั้นมีความตั้งใจอยากจะบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่เมื่อมีอายุครบ 20 ปี แต่ความตั้งใจกับไม่เป็นอย่างที่หวัง
“น้องบอกว่าจะบวชให้แม่ตอนอายุ 20 ก็คือน้องอายุ 16 จะย่าง 17 เขาบอกแม่ว่า แม่เดี๋ยวหนูจะบวชให้แม่นะ แล้วผมก็มีลูกชายคนเดียว พ่อก็บอกว่าเดี๋ยวจะเตรียมจัดงานให้เขานะ จะจัดงานที่บ้านสวนให้เขาอย่างดี แต่ทีนี้ไม่มีแล้ว ก็เลยเศร้าเลยครับ ส่วนอีกความฝันของเขา เขาบอกจะไปเป็นนายร้อยด้วย”
ส่วนความเชื่อสังคมไทย ที่กลัวการบริจาคอวัยวะแล้ว เมื่อเกิดใหม่จะมีไม่ครบนั้น คุณพ่อของน้องเอิร์ธก็ได้บอกว่าไม่เชื่อ และไม่ยึดติด ถือว่าเป็นบุญกุศลใหญ่ที่ได้บริจาค
“ผมเป็นคนค่อนข้างจะรุ่นใหม่ ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ จะได้ยินแต่โบราณว่าไว้ คือเราไม่ได้ยึดติด ครอบครัวผมมีแต่ทำบุญกันอย่างเดียว เพราะผมศึกษาธรรมะโอเคผมรู้ จะมีสมบัติเยอะขนาดไหนหรือคนไม่มีสมบัติเลยตายไปพอเผาทิ้งไปก็ไม่มีใครเอาไปได้ จะดีกว่าหากอวัยวะที่ได้ช่วยชีวิตใหม่ ถือเป็นกุศลใหญ่



ไม่เพียงเท่านี้ คุณพ่อของน้องเอิร์ธยังย้ำถึงผู้ใช้รถใช้ถนนโดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ให้ระมัดระวังในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ให้ใส่หมวกกันน็อกทุกครั้ง
“ฝากถึงลูกหลาน หรือเพื่อนๆ น้องเอิร์ธนะครับ หรือว่าเด็กๆ ทั่วประเทศก่อนจะเป็นวัยรุ่น หรือก่อนจะบวช ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ขอให้ใส่หมวกกันน็อก ถ้าจะให้ดีให้เชื่อฟังพ่อแม่นะครับ พยายามอย่าขี่มอเตอร์ไซค์กลางคืนซึ่งมันท้าทายมาก คือไม่อยากให้ชีวิตสูญเสียไป อยากให้อยู่กับพ่อกับแม่ไปนานๆ
ส่วนคู่กรณีผมไม่ได้ติดใจครับ เพราะเราผิด ก็คือเราไปชนท้ายเขา เพราะเราก็ศึกษาเรื่องกฎหมายแล้ว มันไม่เป็นผล อีกอย่างหนึ่ง 18 ล้อเขาไม่รู้หรอกเพราะว่ารถที่ชนคือรถกำลังวิ่งอยู่ เพราะเป็นรถช่วงยาว ตรงนี้คือผมไม่ได้ติดใจเพราะว่าเราผิด”
ท้ายนี้คุณพ่อยังฝากถึงผู้ที่รับอวัยวะของน้องเอิร์ธไปใช้ ขอให้ทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติต่อไปให้ดีที่สุด
“ก็ขอฝากผู้รับอวัยวะของน้อง ขอให้ทำบุญให้น้องเท่าที่จะทำได้ แล้วก็ทำคุณงามความดีกับครอบครัว กับบ้านเมือง ประเทศชาตินะครับ ให้ใช้ชีวิตอย่างระวังกับอวัยวะของน้องเอิร์ธ เพราะน้องเป็นเด็กดีมาก เป็นเด็กน่ารัก เชื่อฟังพ่อแม่”

ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “สุดใจ การไฟฟ้าเมืองพัทยา”




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น