xs
xsm
sm
md
lg

ต้านนักธรรมพันธุ์ใหม่! “อุบาสิกาอ้างนิพพาน” ไม่บวช-ไม่โกนผม-ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ไม่ต้องบวช ไม่ต้องโกนผม ไม่ต้องห่มขาว-เหลือง ไม่ต้องเข้าวัด... แค่ปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ฆราวาสทั้งหลายก็สามารถบรรลุธรรมได้!! หลังแนวความคิด “สายเตโชฯ” ถูกเผยแพร่ออกไป ฝ่ายต่อต้านก็ออกมาเขียนแฉทันที จับผิด “นักธรรมพันธุ์ใหม่” บอกไม่เห็นความจำเป็นของ “วัด” แต่กลับสร้าง “สถานที่วิปัสสนา” ส่วนตัว ไม่เน้นบริจาคสร้าง “โบสถ์” แต่ขอช่วยระดมทุนช่วย “มูลนิธิ” ตัว ฯลฯ แถมยังอ้าง “บัญชาจากพระพุทธเจ้า” ให้มาเขียนหนังสืออีกต่างหาก!!

ด้านผู้ก่อตั้งสายธรรมค้านกลับ ถูก “อลัชชี” โจมตี บิดเบือนข้อมูลอย่างหนัก โปรดอย่าเชื่อสิ่งที่อยู่ในโซเชียลฯ และเพื่อหาคำตอบให้แก่ทุกข้อสงสัย ทีมข่าวผู้จัดการ Live จึงขอพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้ชี้แจงความจริง!!





อวดอ้างอันตราย! ฆราวาสบรรลุได้ ด้วยบัญชาพระองค์?

[ข้อความที่อยู่หลังปก หนังสือที่อาจารย์เขียน]


“หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นเพราะมี "พระบัญชาจากพระพุทธเจ้า" มาถึงท่านผู้เขียนให้บอกเล่าการเดินทางข้ามภพชาติ เพื่อปลุกจิตชาวพุทธให้ตื่นจากการถูกหลอกให้หลงติดอยู่ในสังสารวัฏ... ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้แสวงธรรมไม่อาจพลาดที่จะอ่านได้ เพราะเป็นปัญญาที่มาถึงในกึ่งพุทธกาล ดั่งพุทธทำนายไว้ทุกประการ เพื่อปลุกจิตฆราวาสให้ตื่น มุ่งหน้าสู่การไม่กลับมาเกิดอีก"


นี่คือถ้อยคำที่อยู่บนหลังปกหนังสือเรื่อง “ฆราวาสบรรลุธรรม” ซึ่งเขียนโดย อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล เจ้าของแนวความคิดธรรมะสาย “เตโชวิปัสสนา” ซึ่งกำลังถูกชาวพุทธกลุ่มหนึ่งต่อต้านอย่างหนัก เกรงว่าจะเป็นภัยต่อศาสนาไม่แพ้ลัทธิจานบิน เพราะดูเหมือนจะมีการถ่ายทอดเรื่องอภินิหารบางอย่างแฝงมาด้วยเป็นระยะๆ เช่น ภาพพระอาทิตย์ทรงกลดในวันบำเพ็ญกุศลของอาจารย์ หรือแม้แต่การอ้างว่าเคยไปรับ “กระแสพลัง” จากพระบรมศาสดามาด้วยตัวเอง


อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล


แต่ที่ถูกวิจารณ์และตั้งคำถามอย่างหนัก เห็นจะเป็นเรื่องการคอนเฟิร์มว่า ปุถุชนธรรมดาก็สามารถบรรลุธรรมได้ และการเข้าวัดก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร จึงไม่จำเป็นต้องบวชเป็นพระหรือชี รวมถึงการสร้าง “สถานที่วิปัสสนา” ขึ้นมาเป็นทางเลือก รณรงค์ไม่ให้บริจาคสร้างวัด แต่ให้มาทำบุญร่วมกับมูลนิธิ จึงถูกตั้งคำถามคำใหญ่อีกครั้งว่า หมายถึงให้ทำบุญกับ “มูลนิธิโรงเรียนแห่งชีวิต” ซึ่งเธอเป็นเจ้าของอยู่ใช่หรือไม่


เอ้า! ไหนว่าอยู่บ้านก็บรรลุธรรมได้ไง แล้วทำไมไม่อยู่บ้าน? บอกพระบ้าบุญ บอกบุญสร้างวัด อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มอมเมาประชาชนคนไทย ฯลฯ แต่สุดท้าย พระพุทธรูปยืนที่สำนักวิปัสสนาอัจฉราวดี ก็มีปาฏิหาริย์ผ่านกล้องถ่ายรูป


ตัวคุณอัจฉราวดีก็ไม่เบา จู่ๆ ก็มี "วงแสงรัศมีธรรมสีเขียว" ปรากฏอยู่ตรงกลางกาย จะเป็นอะไรถ้ามิใช่ "ปาฏิหาริย์" โดยหารู้ไม่ว่า ถ้าเริ่มความศักดิ์สิทธิ์เมื่อไหร่ ความงมงายก็ตามมาเมื่อนั้น แค่นี้นักวิปัสสนายังไม่แจ้ง แต่จะสอนให้ละความงมงาย กลายเป็นเป็นเสียเอง เข้าทำนอง ละความงมงายที่โน่น แต่เริ่มความงมงายที่นี่

[พระอาทิตย์ทรงกลดสองชั้น วันที่อาจารย์บำเพ็ญกุศลต่ออายุขัย ใช้อ้างถึงเรื่องบารมี]


เว็บไซต์ alittlebuddha.com ฝ่ายต่อต้านธรรมะสายนี้ ตั้งคำถามเอาไว้ผ่านการเขียนบทความยาวเหยียดเพื่อจับผิดในหลายๆ จุด โดยเฉพาะเรื่องการอ้างว่าลูกศิษย์ได้บรรลุธรรม "สิ้นชาติ ขาดภพ" ได้เป็น "อริยบุคคล" ไปแล้วถึง 139 คน ภายในเวลา 5 ปี จากหลักสูตรเธอเอง ซึ่งถ้าให้มองจากสายตานักวิชาการด้านศาสนวิทยา ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ มองว่าการอวดอ้างเช่นนี้ค่อนข้างอันตรายอยู่เหมือนกัน


“เรื่องการอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษ จริงๆ แล้วถ้าวัดจากหลักพระธรรมวินัยมันผิดนะครับ เพราะในพระไตรปิฎกระบุไว้เลยว่าอวดอ้างไม่ได้ มันเป็นการโฆษณาตัวเองให้คนมานับถือ ซึ่งมันอันตราย มันเสี่ยงต่อการทำให้ผู้คนหลงศรัทธา และพอมีศรัทธาต่อคนคนนั้น ก็ย่อมถูกชักจูงไปทำสิ่งต่างๆ ได้โดยง่าย ทางมหาเถรสมาคมจึงควรเข้ามาจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนครับ


นี่ถือเป็นช่องโหว่หนึ่งของศาสนาเลยก็ว่าได้ครับ เพราะถึงในพระไตรปิฎกจะบอกไว้ว่าใครก็สามารถบรรลุธรรมได้ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เขาไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับกันได้ ถ้าจะได้ก็ต้องบำเพ็ญอย่างหนัก ตัดทางโลกจริงๆ แต่นี่คุณอัจฉราวดีก็ยังเป็นฆราวาสเต็มตัว ยังไว้ผม ยังไปเที่ยว ฯลฯ พูดง่ายๆ คือในประเพณีเถรวาทยุคปัจจุบัน และถึงแม้จะบรรลุจริงๆ เขาก็จะไม่โอ้อวดอยู่ดี และปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ มันพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครบรรลุจริงหรือไม่จริง



กรณีของคุณอัจฉราวดีก็อาจถือได้ว่ามีความสุ่มเสี่ยง ที่จะนำไปสู่อันตรายต่อสังคม เพราะเริ่มปลูกฝังคนว่าได้รับคำบัญชามาจากพระพุทธเจ้าให้เขียนหนังสือ คนที่เชื่อแบบหัวปักหัวปำก็จะทำทุกอย่างตามนั้น กลายเป็นศรัทธาสิ่งที่เขาเขียนในหนังสือ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นคนบอก มันก็จะกลายเป็นการหลงศรัทธาในตัวบุคคลไปโดยไม่รู้ตัว ถือว่าเป็นอันตรายต่อการสร้าง “พุทธงมงาย” ให้งมงายมากขึ้น


แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเดี๋ยวนี้สื่อสังคมออนไลน์มีมากมาย ขนาดพระเองยังถูกตรวจสอบกันอย่างจริงจังหลายต่อหลายเคส แล้วคุณอัจฉราวีก็ยังเป็นฆราวาสและวิธีการนำเสนอของเขาก็ยังมีช่องโหว่อีกหลายจุด ยิ่งพักหลังๆ เขาหันมาอ้างปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่น แสงรัศมีที่ถ่ายติดกับภาพมา ก็จะยิ่งถูกจับต้อง


ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้คนอาจจะมองการกระทำของเขาเป็นความหวังดีต่อพระพุทธศาสนา แต่หลังจากที่เขาเริ่มออกตัวแรง คนในสังคมก็จะเข้ามาจับผิดและช่วยวิจารณ์เขาเอง จากกระแสสนับสนุน ก็จะกลายเป็นกระแสต่อต้านในที่สุด





ขอแก้ต่าง ข้อมูลบิดเบือนเพราะถูก “อลัชชี” เล่นงาน!!

[ถ้อยคำของอาจารย์ ที่ทำให้เกิดการเอาคืนของ "อลัชชี"]


“อาจารย์ไม่ได้อวด แต่อาจารย์พูดความจริง” อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล ผู้ก่อตั้งธรรมะสายเตโชวิปัสสนา อธิบายข้อพาดพิงเรื่อง “อวดอุตริ” ว่าบรรลุธรรมและเชื่อมต่อกับพระพุทธเจ้าเอาไว้เช่นนั้น ทั้งยังบอกอีกว่าข้อมูลที่ถล่มเธออยู่ทุกวันนี้ คือ “อลัชชี” หรือพระไม่ดีตั้งใจจะเอาคืนอยู่นั่นเอง


“หากไม่พูดนี่สิคือการโกหกผิดศีล และเข้าข่ายหมิ่นพุทธบารมีของพระบรมศาสดาอีกด้วย ทรงมีมาว่า "จงรีบเขียนหนังสือเถิด" "เขียนเล่าการเดินทางข้ามภพชาติของเธอสิ"


ที่ทรงมีพระกระแสอย่างนี้ ก็เพราะต้องการให้อาจารย์ปลุกฆราวาสให้ตื่นขึ้นมาเป็นชาวพุทธที่เข้มแข็ง อย่ายอมจำนนต่อกิเลส ให้รู้ว่าหากปรับชีวิตไม่มากนัก เราจะบรรลุธรรมได้ และพระองค์ไม่ได้มีพระกระแสให้อาจารย์ประกาศตนว่าบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะทรงรู้ดีว่า จะเข้าข่ายอวดอุตริ และจะโดนถล่มหนัก



แต่ถึงจะอวดหรือไม่อวดอุตริ ตอนนี้อาจารย์ก็ถูกถล่มหนักมากอยู่เหมือนกัน และที่เป็นแบบนี้ เธอบอกว่าเป็นผลมาจากการทำแคมเปญรณรงค์ต่อต้านความเสื่อมของพระสงฆ์


“อาจารย์ทำแคมเปญว่า พระค่อนประเทศมอมเมาประชาชน เราปลุกให้คนได้เห็นความเสื่อม บอกเลยว่าเมื่อก่อนยังไม่มีอะไรเลย พอออกมาพูดก็กลายเป็นโดนโจมตี เอาไปบิดเบือนเสียหาย จนแทบจะไม่เหลือความดีอีกเลย

อาจารย์ยืนยันเลยว่าข้อมูลที่บอกว่าอาจารย์ไม่เคารพสงฆ์ ไม่เอาสงฆ์ คือการบิดเบือนความจริงอยากสิ้นเชิง

อาจารย์เขียนบอกไว้ในโพสต์เลยว่า อาจารย์เลือกอัญชลีเฉพาะ "สงฆ์แท้" และบอกให้คนหยุดเข้าวัดอลัชชี คือวัดที่ทำศาสนามัวหมอง ให้หยุดเข้าวัดนั้น พอการพูดนี้ออกไป ก็ทำให้พระดีมีกำลังใจ


แต่พระที่เสียผลประโยชน์ก็ลุยต้านอาจารย์เลย บิดเบือนว่าอาจารย์ไม่นับถือพระอีกแล้ว คือถ้าอาจารย์ไม่นับถือพระจริงๆ อาจารย์จะทำงานปกป้องพระบรมศาสนาในองค์ "Knowing Buddha" ทำไม ในนิตยสาร "ข้ามห้วงมหรรณพ" อาจารย์ก็เลือกไปสัมภาษณ์จากปฏิปทาของพระ


ส่วนเรื่องอวดอุตริ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าอาจารย์บรรลุถึงขั้นไหน แต่บอกว่าเราปฏิบัติอย่างไร เราก็ออกมาบอกเล่าประสบการณ์ ผู้ที่มีปัญญาก็จะสามารถรู้ได้ว่า ท่านนี้บรรลุแล้วหรือไม่ แต่ตัวเราไม่ได้ไปบอกใครเลย อาจารย์ไม่เคยบอกเลยว่าฉันบรรลุธรรมแล้ว เพียงแต่อาจารย์ยืนยันว่าประสบการณ์มันเป็นแบบนี้ๆ เพราะฉะนั้น ฆราวาสจึงบรรลุธรรมได้


และอาจารย์ไม่มีทางตั้งลัทธิใหม่แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้น อย่าบิดเบือนเพื่อจะทำลายกัน ถ้าอาจารย์จะทำจริง อาจารย์คงจะไม่ออกมาปกป้องพระบรมฉายาลักษณ์ของพระศาสดาหรอกค่ะ อาจารย์สอนให้คนเลิกยึดมั่นถือมั่น สอนให้คนมีความกตัญญูต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นเนี่ย สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในหัว และอาจารย์ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานไว้แล้ว ยืนยันเลยว่าคงไม่มีใครมานั่งแช่งตัวเองแบบนั้นได้



อยากจะบอกว่า บัณฑิตจะตัดสินคนด้วย "ปัญญา" และการดู "ปฏิปทา" การที่เราจะเชื่ออะไรโดยที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ ไม่ได้พิจารณาปัญญาและปฏิปทาของเขา ในที่สุด เราจะตกเป็นเหยื่อของความมืดบอด


และถ้าเรามาปรามาสผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ผู้มีคุณูปการ มุ่งมั่นทำคุณต่อศาสนาอย่างยิ่ง ตัวเราจะตกเป็นเหยื่อ และถือเป็นการทำบาปมหันต์เลย เพราะฉะนั้น สังคมโซเชียลฯ ที่แชร์กัน ทุกอย่างไปเร็วมาก ข้อมูลถูกอัดมาเร็วมาก ขอให้พิจารณาก่อนว่าข้อมูลนั้น สมควรเชื่อถือหรือไม่


ขอให้ใช้ "ปัญญา" และ "ปฏิปทา" แล้วท่านจะไม่พลาดเลย และอาจารย์ยืนยันด้วยชีวิตว่า ไม่เคยคิดตั้งลัทธิ เป็นพุทธเต็มร้อย และมีความเคารพในสงฆ์ ปฏิปทาสงฆ์แท้ เคารพบูชาสมเด็จพระสังฆราชอย่างที่สุด ส่วนสงฆ์ที่มีความบกพร่อง อาจารย์ก็หวังว่าท่านจะแก้ไข เพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาค้ำชูศาสนา เป็นที่พึ่งให้ “พุทธบริษัทสี่” ไปได้ด้วยกัน”



ก่อนจะวางหูจากไป อาจารย์ยังได้ฝากทิ้งท้ายเจตนารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ด้วยคำสัตย์สัญญาที่ประกาศเอาไว้ทุกหนทุกแห่ง เพื่อเป็นเครื่องประกันว่า เธอจะไม่มีวันบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน


"หากการทำงานถวายพระศาสนา และตอบแทนคุณชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของอาจารย์เป็นไปเพื่อการสร้างลัทธิ เป็นไปเพื่อการสร้างฐานอำนาจเยี่ยงคนในโลกโลกียะ ขอให้เมื่ออาจารย์ตายกายแตกแล้ว จิตนี้จงไปจมอยู่ในนรกอเวจีตลอด 1 แสนกัป


แต่หากทำไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์อันไม่มีประมาณ ทำเพื่อหมายฟื้นฟูและปกป้องพระพุทธศาสนา และเกื้อกูลเวไนยสัตว์ที่มาเกิดในยุคนี้ ขอความมืดบอดที่ปกคลุมพุทธศาสนิกชน และผู้มีวาสนา จงถูกเผาผลาญไปเป็นจำนวนมาก ให้เกิดเป็นความสว่างไสวแห่งยุคกึ่งพุทธกาล


ขอให้กิจอันใดที่อาจารย์ทำเพื่อพระศาสนา จงเป็นพลวปัจจัยให้พระพุทธศาสนาเจริญและยั่งยืน เป็นที่พึ่งแก่เวไนยสัตว์จวบจน 5,000 พระวรรษา"


ข่าวโดย ผู้จัดการ Live



กำลังโหลดความคิดเห็น