ฮอตเปรี้ยง! คว้ารางวัลชนะเลิศเวทีนายแบบระดับโลก Mister model international 2016 ที่ประเทศอินเดีย มาหมาดๆ ภัค นรภัทร สกุลซ้ง หนุ่มหล่อออร่าแรงจากนครพนมวัย 26 ปี เจ้าของส่วนสูงหุ่นฟิน 185 ซม. ทว่า นอกจากเขาจะคว้ารางวัลชนะเลิศ แล้ว เหมารางวัลพิเศษมาครองได้อีก 3 คือ Best model Asia Pacific , Best Talent Show และ Mister Elegant
ทีมผู้จัดการ Lite ไม่รอช้าขอตามประกบสัมภาษณ์นายแบบระดับโลกสัญชาติไทยแท้เป็นการด่วน!
จากเด็กหน้าตาบ้านๆ สู่หล่อออร่า!
ย้อนไปในอดีตเขาเล่าว่า ตอนเด็กไม่ได้มีแววความหล่อออร่าฉายแววจะมาถึงพิกัดนี้ได้เลยสักนิด แต่ด้วยความใจสู้จึงค่อยๆไต่เต้ามาทีละขั้น
“ผมเป็นเด็กบ้านๆ ปกติเลย แต่พอเริ่มโตเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 รุ่นพี่จึงเล็งเห็นจับผมประกวดเดือนคณะ ก็ได้ที่ 2 คือตอนนั้นคิดว่าหน้าตาเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ทำไมเราได้ที่ 2 จึงรู้สึกฮึกเหิมฮึดสู้ขึ้นมา พอมารู้จักกับเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยเขาก็มีพี่เลี้ยงเดินสายประกวด ผมจึงอยากลองบ้าง อยากหาเงินเรียน เพราะจบงานก็ได้ตังค์เลย
ผมมาเริ่มสูงตอนอายุ 17-18 ปี อยู่ดีๆก็สูงปรี๊ดขึ้นมาเลย คือจะนอนเร็วอย่างที่คุณแม่บอก คือไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะคุณแม่เป็นพยาบาล เราเชื่อแม่เพราะเราอยากสูง สำหรับอาหาร พอตื่นเช้ามา 7 โมงแม่จะลวกไข่ไว้ให้ มีโอวัลติน ขนมปัง ข้าวต้ม วางไว้ให้ทุกเช้า เพราะเห็นเพื่อนสูงก็อยากจะสูงบ้าง และคิดว่าถ้าเราอยากจะหางาน เราต้องสูงไว้ก่อน หน้าตารูปร่างค่อยว่ากัน
จริงๆ อยากเข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่อยู่ ม.ปลาย แล้วล่ะ คิดในใจว่า เอ๊ะ ทำไมเพื่อนได้เล่นโฆษณา ได้เล่นหนัง เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง” ภัค เล่าถึงจุดเริ่มต้นในเส้นทางชายงามล่ารางวัล
ชีวิตเหมือนละคร สตรอง! มาตั้งแต่เด็ก
“ผมอยู่คนเดียวในบ้านตำรวจซึ่งเป็นห้องแถว อยู่คนเดียวมาตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมเรียน ทำงาน หาเงินเองมาตั้งแต่อายุ 15 ปี คือเล่าไปชีวิตก็เหมือนละครนะ ตอนอยู่ต่างจังหวัดถ้าวันไหนเพื่อนข้างบ้านไม่เรียกกินข้าว เย็นนั้นก็จะไม่มีข้าวกิน
ส่วนเงินจะได้มาจากการที่ไปช่วยบ้านเพื่อน เขาทำลูกชุบ โดนัทขาย ผมก็ตื่นตี 4 ไปช่วยเขาปั้นถั่วเหลือง พอ 6 โมงเช้าผมก็อาบน้ำบ้านเพื่อนแล้วก็เดินไปเรียน พอ 4 โมงเย็นกลับมาผมก็ไมได้ไปเที่ยวกับเพื่อน เพราะต้องไปเอาลูกชุบไปยืนขาย ได้วันละ 60 บาท
พออายุ 16 ก็เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนมัธยมปลาย มาอยู่คนเดียว ตอนนั้นเป็นช่วงที่ครอบครัวกำลังมีปัญหา คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน แล้วคุณแม่มาอยู่กรุงเทพฯ เราก็อยากจะอยู่ใกล้แม่ แต่เรามาอยู่คนเดียวนะ ซึ่งเราก็ชินกับการอยู่คนเดียวมาตั้งแต่อยู่ต่างจังหวัดแล้ว
พอเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ มาเช่าหอพักอยู่คนเดียว ห้องไม่มีแอร์ เดือนละ 2,000 บาท ผมก็หารายได้ด้วยการไปทำงานในห้างเป็นพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียน 5 โมงเย็นเข้างาน เลิกงาน 4 ทุ่ม ได้เดือนละ 9,000 บาท เป็นพนักงานเสิร์ฟร้านบาร์บีคิวพลาซ่า พอเสาร์-อาทิตย์ ก็ทำเต็มวัน 8 ชั่วโมง
ตอนแรกเคยรู้สึกนะ ว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ แต่พอคิดไปคิดมามันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัส มือเท้าเราก็ไม่ได้พิการ เราสามารถทำมาหากินเองได้ ส่วนชีวิตพ่อแม่เราก็ดูเป็นแบบอย่างแล้วกัน
ผมเคยช็อตตอนอยู่ ม.ปลาย เทอมสุดท้าย ไม่ได้ไปเรียน 1 เดือน เพราะไม่มีเงินไปเรียน เหลือเงินติดตัวอยู่ 5 บาท กับมาม่า 1 กล่อง เนื่องจากไม่ได้ไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟแล้วเพราะเวลาไปทำงานไม่เพียงพอ เราก็ติดสอบ ติดเรียน จึงถูกเลิกจ้างไป กินมาม่าทั้งเดือนเลย แต่ก็มีงานเป็นเอ็กซ์ตรา เดินผ่านหน้ากล้อง ได้วันละ 500 บาท แต่ไม่ได้มีทุกวัน แต่สุดท้ายเราก็เรียนจบ ม.ปลาย มาได้”
สำหรับการเรียนนั้น เขาออกตัวแรงเลยว่า เรียนไม่เก่ง เนื่องจากไม่มีเวลาเรียน และเรียนไม่ทันเพื่อน เข้าออกมา 3 มหาวิทยาลัยแล้ว แต่มีความฝันว่าอยากเป็นอยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หรือพนักงานภาคพื้นในสนามบิน ปัจจุบันนี้เขาจึงเลือกเรียนใน สาขาการจัดการธุรกิจสายการบิน
ผงาด! เดินสายล่ารางวัลกว่าครึ่งร้อยเวที
สำหรับเส้นทางในวงการประกวดเดินสายล่ารางวัล เริ่มต้นขึ้นจากการประกวดในมหาวิทยาลัยดาวเดือน โดย 5 เวทีแรกเขาชวดรางวัลตกรอบตลอด แต่ไม่เคยท้อ จากนั้นกว่า 50 กว่าเวที เขาคว้ารางวัลที่ 1 มาครองเกือบทุกเวที จนมีโอกาสได้เป็นตัวแทนไปประกวดยังต่างประเทศและคว้าตำแหน่งสูงสุดมาครองได้สำเร็จ
“ผมได้มีโอกาสไปประกวดเวทีระดับประเทศก่อน คือ เวทีมิสเตอร์เนชั่นแนลไทยแลนด์ 2016 (Mister National Thailand) เวทีนี้ก็จะเฟ้นหาตัวแทนทั้งหมด 6 คน ผมได้เป็น Mister Amity International Thailand จึงได้มีโอกาสไปประกวด Mister model international 2016 ตอนแรกที่ผมไปประกวดผมคิดเลยว่า ไปทัศนศึกษา เราไม่เคยไปเวทีนอก คิดว่าไปเที่ยว ไปเจอเพื่อน เพราะไม่คิดว่าจะได้ ด้วยรูปลักษณ์ หน้าตาของเรา พอเราเห็นหนุ่มลาตินอเมริกา เม็กซิโก เขาหล่อ หุ่นดี แต่หุ่นเราก็ไม่ได้แย่ แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ ไปประชันกับหนุ่มหล่อรูปร่างดี จาก 30 ประเทศ
พออยู่ไป 2 วัน เขาเริ่มประกาศพ้อยต์ คะแนนเก็บจากรรมการ เฮ้ย เราติด 1 ใน 5 จากวันแรกที่แตะสนามบิน จนทำกิจกรรม 2 วัน แล้วเป็นเอเชียคนเดียวด้วย และทุกวันชื่อผมก็อยู่อันดับที่ 1 ที่ 2 ตลอด พอคัดเลือกเดินแบบแฟชั่นโชว์ 15 คน เอเชียคือไทยแลนด์คนเดียว ดีใจ รู้สึกเลยว่าทุกวันนี้ที่ทำ เราทำเต็มที่นะ ทาเลนต์เราก็เข้ารอบ Mister Elegant เราก็ได้ ที่ได้เพราะเราใส่สูทลำลองทุกวัน หน้าผมก็เป๊ะทุกวัน อย่างเขาบอกวันนี้แต่งตัวชิลๆ เพราะเราจะไปเที่ยว คนอื่นเขาก็ใส่เสื้อแขนสั้น แต่ผมก็มีแจ็กเก็ตทับ มีเสื้อลายยักษ์ ลายไทย คือเขาไม่ได้เรียกชื่อเล่นเรา แต่เขาเรียกเราว่า “ไทยแลนด์” เราเลยต้องดูดีตลอดเวลา เพราะไม่ใช่แค่เรา แต่มันคือประเทศของเรา เราจะทำให้คนอื่นเขามองประเทศของเรามองดูไม่ดีไม่ได้ และได้อีกตำแหน่ง Best model Asia Pacific คือเขาจะแบ่งเป็น 4 ทวีป
มาถึงตอนตอนคัดเหลือ 5 คน มีไทยแลนด์ อเมริกา กายอานา เยอรมนี สเปน ผมลุ้นแค่ติด 1 ใน 3 ก็ดีใจมากแล้ว เขาบอกว่ารูปร่างหน้าตาไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการคนที่พร้อมจะทำงานกับเขา เพราะด้วยความที่เราเป็นคนไทย เช้าเรายกมือไหว้สวัสดี ทำงานเสร็จเราก็ยกมือไหว้ขอบคุณเขา เราเดินผ่านเราก็ก้มหลัง เราทำทุกวัน เราฟังเขาพูดภาษาลาตินไม่รู้เรื่องเราก็ยิ้ม เราจึงคว้าชัยชนะมาครอง”
จงแข่งกับเอง...แล้วที่หนึ่งจะเป็นของเรา
ทว่า เมื่อย้อนไปในอดีตที่เขาเคยเป็นชายงามเดินสายล่ารางวัลจนมาถึงวันนี้ได้ เขาบอกเลยว่าเพราะเขา ไม่รู้จักคำว่าท้อ
“ผมไม่เคยท้อเลยนะ ประกวด 5 เวทีแรกไม่ได้ ผมไปถามเลยว่าทำไมพี่ทำได้ตลอดเลย เหมือนจะเป็นรุ่นการเดินสาย คนที่เดินสายเจนเวทีเขาก็จะได้อยู่ตลอด เราเลยเข้าไปถามว่าพี่ทำไงได้ เขาก็บอกว่าให้ศึกษาเวที ว่าเวทีนี้จัดขึ้นที่ไหน การแต่งหน้าก็ต้องดูไฟ การแต่งตัว กรรมการชอบแบบไหน เราไปประกวดที่จังหวัดอะไร แต่ละภาคชอบหนุ่มสไตล์ไหน อย่างเช่น ทางภาคเหนือชอบสไตล์หวานละมุน ภาคอีสาน จะถอดเสื้อ เน้นกล้ามใหญ่ หุ่นหนา ต้องศึกษาทุกอย่าง เราต้องหาข้อมูล ปรับบุคลิกภาพ เราจะเดินยังไงให้กรรมการมอง ทุกอย่าง ตอนแรกเราก็ไม่รู้เรื่อง เราก็เดินดุ่มๆเดินเร็ว เช่น ถ้าเราเดินชุดไทยต้องเดินช้าหน่อย มองกรรมการแล้วยิ้ม เวลาแนะนำตัวต้องพูดจากฉะฉาน ไม่รีบ จากนั้น 50 กว่าเวทีที่เราเดินสายได้รางวัลตลอด ส่วนมากจะได้รางวัลที่ 1 ไม่เคยหลุดที่ 5
จนพี่เลี้ยงหลายๆคนบอกว่า หยุดประกวดเถอะ ให้คนอื่นได้บ้าง สมมติเวทีนี้ใครเจอเรา เขาก็จะรู้ว่าเราจะได้ คือถ้าในการเดินสายรุ่นนี้ก็เขาก็จะบอกเลยว่า ผม ได้ พอผมได้ชนะเวทีใหญ่มาแล้ว ผมก็หยุด ก็จะหมดรุ่นผม ก็จะเป็นรุ่นต่อไป ถ้าผมจะประกวดก็เป็นเวทีนอกไปเลย
ฝากถึงรุ่นน้องๆจะจะเข้ามาประกวด ให้คิดว่า เราแข่งกับตัวเอง เราอย่าไปเอาคู่แข่งหรือคนรอบข้างมาเปรียบเทียบกับเรา ถ้าวันนั้นเราทำดี แล้วเราพร้อม ที่หนึ่งจะเป็นของเรา หน้าตาไม่ใช่ส่วนสำคัญ เขาจะดูองค์ประกอบอื่นๆบนเวที การตอบคำถาม การพูด การเดิน ไหวพริบ ปฏิภาณ ถ้าเราทำตรงนั้นได้ ที่ 1 จะเป็นของเรา “
ทุ่มทุน! หลักล้านบิ้วท์หน้า รูปร่างฟิตฟิน
เขาเปิดเผยอย่างไม่ปิดบังเลยว่า ทำศัลยกรรม “จมูก” เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นเขียงเปลี่ยนซิลิโคนจมูกมาแล้ว 7 ครั้งทว่า รอบนี้ก็ยังไม่พอใจเล็งบินไปเกาหลีแก้ไขจมูกเพิ่มอีกรอบที่ 8
สำหรับการดูแลหน้าตารูปร่าง หมดเงินไปถึงหลักล้านแน่นอน เพราะทุกอย่างต้องมีต้นทุน เข้าฟิตเนส ก็ต้องมีเทรนเนอร์ แต่ถึงจะทุ่มเงินไปเป็นล้าน เขายืนยันหนักแน่นชัดเจนว่า "คุ้มสุดๆ" กับโอกาสที่เข้ามาในชีวิต
“โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ มีบ้าง ส่วนวิตามินเมื่อก่อนกินเยอะมาก เมื่อก่อนผมบ้าขาวมาก เคยเข้าคลินิกฉีดกลูต้าฯผิวขาว ลอกผิว แต่ตอนนี้ผมชอบผิวแทนมาก เพราะเวลาไปประกวดใครผิวขาว เขาจะมองว่าเป็นคนป่วย คนผิวสีแทนจะถ่ายรูปดูดี สวยมาก ฝรั่งชอบผิวสีน้ำผึ้ง เวลาไปทะเลผมตากแดดเลย
โด่งดังจากภาพยนตร์ชายรักชาย Love's coming ใช่รักหรือเปล่า และล่าสุด Love love you อยากบอกให้รู้ว่ารัก ในแนวทางชายรักชายเหมือนเดิม จึงขอปิดท้ายกับคำถามถึงรสนิยมทางเพศ เขาไม่ตอบชัดเจน แต่ให้ไปส่องในอินสตาแกรมแทน
“ถ้าอยากจะรู้จักชีวิตผม เข้าไปติดตามค้นหาได้ที่อินสตาแกรม ผมทำตัวไม่ปิดบัง ไปดูในนั้นรู้เลย ว่าใช่หรือเปล่า!”
โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง :สวิชญา ชมพูพัชร
ภาพ : วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก เฟซบุ๊ก Narapat Sakunsong ,อินตราแกรม narapat33
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754