31 ปี ที่ฝังตัวอยู่ใน “ดินแดนแห่งกิเลสบนทางธรรม” ศึกษาหลักคำสอน เพียงเพื่อให้พบว่าความวิบัติกำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา จึงถึงเวลาเสียทีที่ชายผู้สูญเสียจากวลี “ยิ่งบริจาคมาก ยิ่งได้มาก” ภายใต้ “ลัทธิธัมมชโย” จะต้องออกมาเปิดโปงทุกมุมบิดเบือนให้สังคมได้ตระหนัก เพื่อไม่ให้ตกเป็น “ทาสทางจิตวิญญาณ” อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วกับครอบครัวของเขา จนเป็นเหตุให้ต้องหมดเนื้อหมดตัว ครอบครัวแตกหัก เพราะภรรยาฝักใฝ่ใน “ธรรมะก(ล)าย(พันธุ์)”
ตั้งแต่ก้าวแรกที่ ชาติชาย บำรุงสุนทร ชายวัย 62 ปี มีโอกาสได้เข้าไปเปิดใจรับฟังธรรมะภายในวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี 2528 เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ “พระพุทธศาสนา” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ด้วยความอยากพิสูจน์ให้แน่ใจว่าเนื้อหาภายในอาจมีธรรมะสายใหม่ให้มุ่งสู่นิพพาน เขาจึงฝังตัวอยู่ในนั้นเพื่อศึกษาให้ถ่องแท้
แต่แทนที่จะพบทางสว่าง กลับพบเพียงความมืดบอด เมื่อพบว่ายิ่งลงลึกศึกษา ยิ่งพบการ “เสพติดลัทธิบริจาค” อย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะภรรยาของเขาที่ยอมขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำนุบำรุงวัดพระธรรมกาย สุดท้าย เพื่อให้บทเรียนที่ได้รับคืนกลับสู่สังคม ชายคนเดียวกันนี้จึงตัดสินใจลุกขึ้นติดป้ายแขวนคอ “กระชากหน้ากากธรรมกาย” พร้อมหนังสือ “วิภาควิชชาธรรมกายและลัทธิธัมมชโย” ที่เขียนขึ้นมาเปิดโปงความมืดบอดบนทางธรรมสู่สังคม
หนังสือที่เขียนขึ้นมา เพื่อต้องการสื่อสารเรื่องอะไร?
เพื่อให้ทุกคนเห็นภัยของลัทธินี้ เพื่อให้อำนาจรัฐเห็นพิษภัยตรงนี้ เพราะผมไม่อยากให้ปล่อยเวลาไปโดยไม่แก้ปัญหามะเร็งร้ายตรงนี้ ถ้าปล่อยไปรับรองว่าพุทธศาสนาจะล่มสลายไปเลย เพราะวิธีการสอนให้คนพายเรือตามน้ำ ให้ตามน้ำไปกับกิเลสมันรุนแรงมาก มันเป็นวิธีการตามใจกิเลส
พระพุทธเจ้าสอนให้เราพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก ต้อง “พายเรือทวนน้ำ” แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นวิธีการที่ถูกต้องที่ต้องเป็นเช่นนั้น ต่างจากทางธรรมกายที่คิดว่าในเมื่อพายเรือทวนน้ำมันยากก็ “พายเรือตามน้ำ” มันเสียเลย ตามใจกิเลสมันเสียเลย ให้สะสมเสบียงบุญกันข้ามภพข้ามชาติ ชาติหน้าจะได้มีความสุขมากๆ มันก็คือการเอากระแสกิเลสของผู้คนเป็นแรงผลักดัน เพิ่มอัตราความเร่งของกิเลสให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก แล้วมันจะนำไปสู่นิพพานได้อย่างไร
จุดขายของวัดพระธรรมกายคือวิธี “เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ” มันเป็นการตกเบ็ด พระธัมมชโยเองก็โลภ อยากได้ทรัพย์ของผู้คน เพื่อมาทำให้วัดและลัทธิของตัวเองขยายไป จึงล่อผู้คนด้วยความโลภ สาธุชนก็ฮุบเหยื่อด้วยความโลภ อยากจะได้บุญ ต่างคนจึงดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความโลภไม่สิ้นสุด
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากขึ้นๆ แต่ว่าผู้คนจะหลงใหลมากขึ้นๆ เพราะที่นี่ใช้วิชาเศรษฐศาสตร์การตลาดเข้ามา ทำให้เกิดการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยฮอร์โมนที่ผิดปกติ และส่งผลให้กลายเป็นมะเร็งร้ายก้อนใหญ่ในสังคม ซึ่งผมมั่นใจมาตลอดว่าสักวันมะเร็งร้ายก้อนนี้จะเปิดเผยตัวเอง และได้แต่หวังว่าจะปรากฏให้คนได้เห็นเร็วๆ เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาจะได้ไม่ต้องถูกทำลายไปมากกว่านี้
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอาจมองว่าเป็นเพราะเรามีมิจฉาทิฏฐิ หรือไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนอย่างดีเพียงพอ
ผมเขียนหนังสือทั้งหมด 400 หน้า หยิบเอาปรัชญาทุกอย่างมาเปรียบเทียบ ทำเป็นตาราง ทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ หรือแม้แต่ส่วนที่อยู่นอกเหนือไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระไตรปิฎกแล้ว ผมยังให้ความเป็นธรรมในคำสอนของพระธัมมชโยว่า อาจจะมีส่วนถูกก็ได้
ในเมื่อบางหลักคำสอนมันไม่มีตัวเปรียบแล้ว ผมก็ลองหยิบเอาหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาจับ ตั้งแต่ตรรกศาสตร์, คณิตศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้งประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกด้วย เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลักคำสอนของเขา เพราะบางทีพระท่านก็มีการเทศน์กันถึงประวัติศาสตร์โลกด้วย
ผมย้ำว่าผมฟังทุกหลักคำสอนของทางธรรมกายแบบเปิดใจ ไม่ได้ฟังแบบปิดกั้น รับเข้ามา 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วจากนั้นจึงหยิบเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาจับเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นเหตุและผล เพราะในแง่ของความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เราต้องเปิดโอกาสให้ข้อมูลดิบใดๆ ว่าอาจจะมีส่วนถูกได้ เมื่อไม่สามารถเทียบได้กับตรรกะที่เคยยึดถือมา
เพราะฉะนั้น การฟังของผมตลอดระยะเวลา 31 ปี จึงไม่ใช่การเข้าไปเพื่อจับผิด แต่เป็นการเข้าไปเพื่อพิสูจน์ เพราะการจับผิดคือการมีธงในใจตั้งเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาผิด แต่ผมเข้าไปฟังอย่างเปิดใจเปิดโอกาสในส่วนที่ถูกของเขาด้วย โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นตัวอธิบาย
[ภาพจากแฟ้ม]
มีตัวอย่างคำเทศน์ตัวหนึ่งที่เขาชอบยกขึ้นมา เทศน์ว่าคนในยุคก่อนตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เป็นยุคที่มีศรัทธามาก แนะให้ผู้ศรัทธาในนั้นต้องมีศรัทธาให้ได้ ยกตัวอย่างการนั่งทางในไปแล้วเห็นคนสมัยก่อนสร้าง “เจดีย์ทองคำสูงหนึ่งโยชน์” ได้ ซึ่งคำพูดนี้ ผมได้ลองพิสูจน์ทางวิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภูมิศาสตร์แล้ว ได้ผลออกมาว่าโลกของเรามีทองคำไม่เพียงพอที่จะสร้างเจดีย์ทองคำได้ด้วยซ้ำไป
ยิ่งเป็นเจดีย์ทองคำที่หนึ่งโยชน์แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะความสูงของมันจะขึ้นไปถึงชั้นบรรยากาศที่มนุษย์เราไม่สามารถขึ้นไปอยู่ได้ นอกจากยุคนั้นจะมีนักบินอวกาศที่พยายามสร้างเจดีย์ทองคำ ให้ทะลุชั้นบรรยากาศที่มนุษย์อยู่ได้เท่านั้นเอง
อะไรคือสิ่งที่ลัทธินี้สอนผิดจากหลักธรรมคำสอนตามหลักพุทธศาสนาที่สุด?
มันคือการสอนโดย “ปลุกกิเลสความอยาก” จากปกติแล้ว พระธรรมจะสอนให้ “ละกิเลสความอยาก” เพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ลดกิเลสในใจลง เมื่อหมดสิ้นจากกิเลสใดๆ ทั้งปวง ตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ อยากอิจฉาริษยา ความเขลาทึบทางปัญญา ฯลฯ ก็จะเกิดสภาพ “นิพพาน” ภายในใจ ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์
แต่วัดพระธรรมกาย กลับสอนว่า “นิพพาน” คือดินแดนเกษมสุขที่จะต้องไขว่คว้าไปให้ถึง ซึ่งเขาเรียกกันว่า “อายตนะนิพพาน” เป็นดินแดนที่เขาสร้างขึ้นมาเองและไม่มีในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และด้วยความคิดตรงนี้เองที่เป็นจุดชนวนให้คนเกิดความต้องการต้องไขว่คว้าไปให้ถึงดินแดนตรงนั้น ซึ่งมันคือกิเลสความอยากได้ ตรงข้ามกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง
พระพุทธเจ้าสอนว่า “กิเลส” ทั้งหลายเหมือนไฟ ไฟที่ดับสมบูรณ์แล้ว จิตจึงจะหลุดพ้นถึงที่สุด จึงจะเข้าสู่นิพพาน จะไม่ข้องแวะอยู่ในความปรารถนาอยากจะเกิดอีก แต่ที่นี่สอนให้ไปข้องแวะกับความอยาก ยังตัดบ่วงไม่ขาด เพราะยิ่งถ้าไปยึดติดกับ “ดินแดนอายตนะนิพพาน” มันยิ่งไปเพิ่มความอยากที่จะไปเพิ่มความสุขตรงนั้น เกิดการต้องการในการแสวงหา
[ภาพจากแฟ้ม]
การแสวงหาของเขาก็ใช้ “วิชาการตลาด” เข้ามาเป็นเครื่องมือ บอกให้สะสม “เสบียงบุญ” เอาไว้เดินทางข้ามภพข้ามชาติ เพราะมองว่า “นิพพาน” คือดินแดนอายตนะแห่งหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยสุขอันเกษมกว่าสุขใดๆ ทั้งหลายทั้งมวลในพิภพนี้ แม้แต่ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกก็สุขไม่เท่า
พระทุกรูปจะเทศน์แบบเดียวกันหมดเลย เขาจะมี “โกดังคำหวาน” ที่จะใช้พูดเหมือนๆ กัน ซึ่งประโยคเหล่านี้แหละที่ผมเรียกว่าเป็น “มธุรสวาจา อันสุดแสนไพเราะเพราะพริ้ง เสนาะโสต ประทับจิต มิรู้ลืมเลือน” นี่แหละคือหลักการของเขา ตอนพระให้พร ไม่ได้ให้พรว่า “ขอจงเป็นเช่นนั้นเถิด สาธุ” อย่างที่พระพุทธศาสนาสอนสั่ง แต่พระจะบอกว่า “ขอให้จงเป็นพระมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพุทธศาสนา จงหล่อสวยรวยฉลาด จงมีห่าฝนรัตนชาติตกมา จงมีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง” สรุปคือให้พรว่าจงรวย จงรวยมาก และจงอภิมหาโคตรรวยนั่นแหละครับ
เพราะจุดนี้หรือเปล่าที่ทำให้สาวกในนั้น “เสพติด” การบริจาค เช่นเดียวกับที่ภรรยาของคุณชาติชายเสพติดอยู่?
ใช่แน่นอน ผมเขียนไว้ในหนังสือเลยว่า บทสรุปของการที่ทำให้มหามวลชนหลงในวัดพระธรรมกาย เกิดจากวิธีการเหล่านี้ของเขา ยกตัวอย่าง คุณยายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ไร้การศึกษา แต่ปรารถนาดีอยากทำบุญ อยากมุ่งสู่นิพพาน เมื่อพระธัมมชโยเห็นช่องโหว่ตรงนี้ จึงใช้มันมาล่อให้ผู้คนเข้ามา โดยนำเอาทางลัดสู่นิพพานมาเป็นจุดดึงดูดคน
เขาสอนด้วยวิธีการปล่อยให้ผู้คนไหลตามทางของกิเลสซึ่งไหลเชี่ยวเหมือนสายธาร ด้วยวิธีแบบนี้นี่แหละที่ทำให้คนเข้ามากันเยอะแยะไปหยุดหย่อน กระทั่งหลงเข้ามาบริจาคและหลงอยู่ในมธุรสจนออกไปไหนไม่รอด ถ้าให้พูดโดยสรุปเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขึ้น จะได้ความตามนี้
“ยายไร้การศึกษา มุอาสาอย่างอ่อนหัด ธัมชัยคิดทางลัด กลับคิดตัดไหลตามธาร สาวกต่างดีใจ ว่านี่ไงทางลัดผ่าน มวลชนชื่นสำราญ พรเลิศหวาน ซาบซ่านทรวง”
[ภาพจากแฟ้ม]
อะไรที่ทำให้คนที่เสพติดการบริจาค ไม่สามารถดึงตัวเองออกมา
ทั้งๆ ที่มองเห็นแล้วว่าตัวเองหรือแม้แต่ครอบครัว ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เป็นหนี้เป็นสิน ไม่อยู่ในสถานะที่ควรแก่ “การให้” อีกต่อไป?
เพราะกลุ่มคนที่ศรัทธาเขารู้สึกว่าความลำบากบนโลกใบนี้มันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสังสารวัฏอันยาวนาน โดยเขาใช้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าบางช่วงบางตอนมากล่าวอ้าง พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าความทุกข์ในสังสารวัฏมันยาวนานมาก เปรียบไปแล้วมากกว่าน้ำตาที่หลั่งออกมาของแต่ละคน รวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้ง 4 บนโลกใบนี้เสียอีก พูดง่ายๆ คือเขารู้จักการหยิบเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพูดในจังหวะที่เขาต้องการจะใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง
ทำให้ผู้คนในนั้นรู้สึกว่า “ความทุกข์ยากในการสะสมเสบียงบุญ” มันเล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับความโศกเศร้าในสังสารวัฏอันยาวนาน แต่เราต้องไปหาความสุขสำราญใน “ดินแดนอาตยนะนิพพานอันเกษม” อันเป็นความสุขอันนิรันดร์ โดยสอนให้ทุกคนทุ่มเทแบบทุ่มสุดชีวิต ซึ่งวิธีการเช่นนี้ผมเรียกว่า ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายได้กลายเป็น “ทาสทางจิตวิญญาณ” ไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าเป็นทาสสมัยก่อน จะเห็นว่าเขาจะถูกใส่โซ่ตรวจ ถูกแส้เฆี่ยน ซึ่งแบบนั้นมันล้าสมัยไปแล้ว ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องโหดร้าย แต่ทาสทางจิตวิญญาณ เขายินดีควักกระเป๋าของเขาออกมาให้เอง โดยที่ไม่ต้องไปเฆี่ยนตีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายยังเข้ามาจัดการอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ กฎหมายยังเข้าไม่ถึง
[ภาพจากแฟ้ม]
เราจะยุติ “เส้นทางโลภบนทางธรรม” เหล่านี้ได้อย่างไร?
จริงๆ แล้ว ผมจะไม่เดือดร้อนเลย ถ้าเขาเปลี่ยนไปเรียกตัวเองว่าเป็น “ลัทธิศาสนาใหม่” หรือตั้งชื่ออะไรก็ได้ให้รู้ว่าไม่ได้แอบอ้างพระพุทธศาสนาอย่างที่เป็นอยู่ แล้วก็อย่าไปแต่งกายเลียนแบบพระ อย่าเอาบทสวดของพระพุทธเจ้าไปใช้ แล้วก็ไม่ต้องเอา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ของพระพุทธเจ้าไปใช้ ไม่ต้องหยิบไปสวดแล้วบอกต้องตั้งใจสวดให้จบ 11 ล้านจบ ไม่ต้องเลย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณหยิบไปปฏิบัติกันจริงๆ
สิ่งที่คุณสวดๆ กันอยู่ มันคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เทศนาต่อปัญจวัคคีย์ ซึ่งภายหลังพระอานนท์หยิบมาท่องหลายจบ เนื่องจากความจำเป็นในการท่องจำหลักคำสอน เพราะสมัยก่อนนั้นยังไม่มีการจดบันทึก จึงต้องอาศัยการท่องจำโดยการพยายามสวดบทคำสอนนั้นๆ หลายๆ จบ ดังนั้น สำหรับพระพุทธศาสนา “บทสวดมนต์” จึงไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนต์ในพระพุทธศาสนาจะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อเราน้อมใจรับเอาคำสอนนั้นไว้ แล้วนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754