“พระองค์ทรงขับร้องเพลงได้ดีมาก เพราะผมเคยได้ยินด้วยตัวเอง ตอนสมัยจัดงานส่วนพระองค์ภายในวัง พระองค์ทรงได้สืบทอดพระอัจฉริยภาพด้านดนตรี สมกับเป็นพระหน่อเนื้อเชื้อไข ตามรอยพระยุคลบาทพระราชบิดาโดยแท้”
นพ.ธำรงรัตน์ แก้วกาญจน์ ผู้ถวายงานใกล้ชิดและที่ปรึกษามูลนิธิมหาวชิราลงกรณ เคยเผยความประทับใจที่มีต่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ส่วนหนึ่งเอาไว้ให้สื่อมวลชนได้รับรู้ในอีกหนึ่งมิติความเป็นองค์รัชทายาทพระองค์นี้ว่า พระองค์ทรงมีความเป็น “ศิลปิน” อยู่ในสายพระโลหิตในระดับที่พสกนิกรหลายต่อหลายคนอาจคาดไม่ถึง
ช่วงเวลาประทับใจ ท่วงทำนองของพระองค์
ด้วยพระองค์ไม่ทรงนิยมแสดงออกต่อหน้าสาธารณะ ถึงพระอัจฉริยภาพทางดนตรีให้ประชาชนชาวไทยได้เห็นบ่อยครั้งมากนัก ส่วนใหญ่จะทรงขับร้องหรือแสดงดนตรีเพียงในงานส่วนพระองค์ หรือภายในพระบรมมหาราชวังเป็นหลักเท่านั้น จึงส่งให้ภาพของพระองค์เมื่อทรงดนตรี ยังคงเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากยิ่งมาจนถึงวันนี้
หรือถ้าจะมีให้ได้เห็นก็เพียงเล็กน้อย จากพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งฉายร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และจากถ้อยคำบอกเล่าเรื่องราวประทับใจผ่านม่านตาคนในรั้วในวัง
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งเรื่องเล่าเคล้ารอยยิ้มที่ ศ.เกียรติคุณ นพ.พูนพิศ อมาตยกุล นักวิชาการสาขาดนตรีวิทยา ที่ปรึกษาวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล และอาจารย์ผู้สอนประจำหลักสูตรปริญญาเอก สาขาดนตรีวิทยา วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เคยช่วยเขียนหนังสือย้อนรอยฝากเอาไว้ให้อ่าน
“มีครั้งหนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จลงเสวยตอนค่ำ เป็นการเลี้ยงต้อนรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จกลับจากการศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย
วันนั้น ตรงกับวันดนตรีไทยอุดมศึกษาที่จังหวัดเชียงใหม่ จะหานักดนตรีก็ไม่ได้ เพราะนักเรียนและครูต่างก็ขึ้นไปเชียงใหม่กันหมด ต้องตามนักเรียนนายเรือมาบรรเลงแทน แถมตัวเก่งๆ ก็ไปเชียงใหม่กันหมด ครูยรรยง แดงกูร คุมวงนักเรียนมา และผู้เขียนก็ถูกตามเข้าไปช่วยกะทันหัน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงซออู้, ครูยรรยง สีซอด้วง เป็นวงมโหรีที่ไม่เรียบร้อยนัก เรียกว่าใช้แก้ขัด เสวยเสร็จราวสามทุ่ม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็มีพระราชประสงค์ทรงฟังเพลง “ลาวดวงเดือน” ซึ่งเป็นเพลงที่ทรงโปรดมาก
รับสั่งกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ว่า “...ชายร้องเพลงดาวดวงเดือนให้แม่ฟังหน่อย ร้องแบบที่แม่ชอบนะ แม่น้อย (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) บรรเลงเพลงเข้า แล้วให้น้องเล็ก (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี) ฟ้อนด้วยนะ…”
สิ้นพระสุรเสียงพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสียงร้องอันมีเอกลักษณ์ ซึ่งขับกล่อมผ่านท่วงทำนองภายในใจของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ก็บรรเลงขึ้นทันใด
“...โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง โอ้ว่าดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วงรักเจ้าดวงเดือนเอย...”
ศ.เกียรติคุณ นพ.พูนพิศ ผู้นั่งอยู่หน้าวงดนตรี และอยู่ในเหตุการณ์อันน่าประทับใจในครั้งนั้น ยังเพิ่มเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยผ่านตัวอักษรเอาไว้ด้วยว่า องค์รัชทายาททรงขับร้องสนองพระราชประสงค์อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะไม่ทรงสันทัดในเพลงนั้นเท่าใดนัก
“รับสั่งเบาๆ ว่า คอยบอกเนื้อร้องด้วย จำได้ไม่หมด เนื้อยาวตั้งหลายท่อน แล้วทรงร้องสองเที่ยวกลับ ตามแบบของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ขนานแท้”
ถ้าจะให้พูดถึงเพลงที่ทรงจดจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำและทรงโปรดมากเป็นพิเศษ ต้องยกให้เพลง “คำหอม” ฉบับสุนทราภรณ์ ซึ่งพระองค์ทรงนิยมขับร้องในยามว่างอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังทรงเคยร้องบทเพลงเดียวกันนี้ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อีกด้วย
"พระองค์สนพระราชหฤทัยดนตรีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงโปรดปรานการเป่าแซกโซโฟนมากเป็นพิเศษ พร้อมยังเคยทรงดนตรีร่วมกับในหลวงอยู่บ่อยครั้ง”
นพ.ธำรงรัตน์ ผู้ถวายงานใกล้ชิดพระองค์ท่าน ยังคงมีความสุขในการบอกเล่าช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในชีวิตไปเรื่อยๆ หวังให้พสกนิกรบนผืนแผ่นดินนี้ได้ตระหนักถึงเหตุผลเบื้องหลังว่า เหตุใดสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับมูลนิธิวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพฯ ไว้ในพระราชูปถัมภ์ ตั้งแต่เมื่อปี 2525 เหตุเพราะพระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยรักในท่วงทำนองอย่างแรงกล้านั่นเอง
“นอกจากทรงโปรดปราน การเป่าแซกโซโฟนแล้ว พระองค์ยังทรงโปรดขับร้องเพลงด้วย ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีส่วนพระองค์อยู่มาก
ทั้งยังทรงโปรดเพลงไทยและเพลงป็อปเป็นพิเศษ ถ้าเป็นเพลงสากล ทรงโปรดในสไตล์ป็อปเบาๆ ผสมคลาสสิกนิดหน่อย เช่น เพลงฝรั่งอย่าง Spanish Eyes, เพลงหวานอมตะ อย่าง La Vie En Rose หรือเพลง Moulin Rouge รวมไปถึงเพลงโรแมนติกคลาสสิกอื่นๆ แต่เพลงลูกทุ่ง ผมยังไม่เคยได้ยินทรงสดับ"
เจ้าฟ้าเลือดทหาร ผู้มีบทกวีในดวงใจ
หากจะกล่าวว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร คือ “เจ้าฟ้าเลือดทหาร ผู้มีบทกวีในดวงใจ” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะถึงแม้พระองค์จะทรงศึกษาทางด้านการทหาร-การบิน ซึ่งต้องอาศัยความแข็งแรงของพระวรกาย ประกอบกับความเข้มแข็งของพระราชหฤทัย แต่ภายในเบื้องลึกส่วนพระองค์ก็ทรงไม่เคยลืมความงดงามของศิลปะ
จึงเป็นที่มาของการเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารชั้นสูง ที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา ในปี พ.ศ.2515 โดยทรงเลือกพุ่งความสนใจไปที่ “ภาควิชาการทหาร” ควบคู่ไปกับ “ภาควิชาสามัญ สาขาอักษรศาสตร์” ของมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ คือเน้นศึกษาในหลักสูตร “ศาสตร์การบิน” ควบคู่ไปกับ “ศาสตร์การอ่านและการเขียน”
พระราชนิพนธ์ในรูปแบบกลอนบทนี้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ อย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า องค์รัชทายาทผู้นี้ มีทั้งมุมเข้มแข็งและอ่อนโยน สมดุลอยู่ในพระองค์เดียวกัน
บทกลอนบทที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น ในระหว่างที่ทรงศึกษาวิชาการทหาร ณ โรงเรียนนายร้อยดันทรูน เครือรัฐออสเตรเตีย ขณะเจริญพระชนมายุได้ 20 พรรษา เพื่อถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 ส.ค.2515 โดยมีเนื้อความดังต่อไปนี้
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณข้อมูล: หนังสือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร กรมศิลปากรจัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติเนื่องในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามกุฎราชกุมาร วันที่ 28 ธ.ค.2515 และเครือข่ายกาญจนาภิเษก
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754