ประเทศไทยยาหาซื้อง่ายยิ่งกว่าขนม! สื่อแดนลอดช่องเผย คนไทยกินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ส่งให้ตายด้วยเชื้อดื้อยา กว่า 20,000 คนต่อปี
เชื้อดื้อยา...ปัญหาใหญ่ระดับโลก!!
The Straitstimes สื่อดังสัญชาติสิงคโปร์ เผยข้อมูลอันน่าตกใจเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะในประเทศไทย โดยในปี 2010 มีผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาปฏิชีวนะสูงถึง 19,122 คน จากจำนวนประชากร 68 ล้านคน เมื่อเปรียบกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่เจอสถานการณ์ในลักษณะนี้เมื่อปี 2013 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 23,000 คน
แต่อย่าลืมว่า ประชากรของอเมริกามีมากกว่าไทยถึง 4 เท่า คือประมาณสามร้อยล้านกว่าคน นั่นก็เท่ากับว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาปฏิชีวนะในบ้านเราอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก!
สื่อแดนลอดช่อง ยังได้ไปสัมภาษณ์เภสัชกร ณ ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้ทราบข้อมูลว่า บ่อยครั้งเวลามีลูกค้าเข้ามาที่ร้าน มีลูกค้าบางคนต้องการยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการเจ็บคอ ซึ่งตัวเภสัชกรก็ได้เตือนว่าไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็ได้ แต่ลูกค้าก็ยังยืนกรานที่จะซื้อให้ได้ โดยให้เหตุผลว่า ต้องการซื้อเก็บไว้ที่บ้าน หรือบางคนไม่ได้บอกอาการป่วย แต่กลับถามหายาโดยไม่ขอคำปรึกษาก็มี
นอกจากนี้ The Straitstimes ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในระบบปศุสัตว์นั้นก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย เพราะฟาร์มปศุสัตว์บางแห่งเลือกที่จะใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคในสัตว์ จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เชื้อเกิดการแพร่กระจายจากสัตว์มาสู่มนุษย์ได้
หลังจากที่บทความนี้ถูกนำมาเผยแพร่บนสังคมออนไลน์ในบ้านเรา ก็มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันกว้างขวาง ซึ่งผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นมีทั้งผู้ที่เป็นเภสัชกร รวมถึงผู้ที่เคยเจอเหตุการณ์ที่เภสัชกรรวมถึงแพทย์ จ่ายยาปฏิชีวนะให้มาแล้ว และบรรทัดต่อจากนี้คือความคิดเห็นของโลกโซเชียลฯ ที่มีต่อสถานการณ์นี้
“บางคนซื้อไปติดบ้านบ้าง บ้างก็อ้างว่าปกติก็กินตลอด ทำไมครั้งนี้ไม่จ่าย เราก็อธิบายปากแห้งไปดิ บอกข้อเสียไปดิ ที่ฟังก็มี แต่ที่ไม่ฟังมีเยอะกว่า พอจะไม่ขายให้ก็โวยวาย หงุดหงิดไปอีก”
“คลินิกหมอบางคนก็ตัวดีจ่ายยาที่แรงมาก ให้คนติดใจเพราะได้ผลเร็ว ส่วนคนป่วยก็กินยาไม่ครบโดส ก็เลยดื้อยาในที่สุด”
“เพราะคำว่าธุรกิจเภสัชบางคนโดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของร้านเอง มักจะยอมขายให้เพราะกลัวเสียลูกค้า มันจะไปโทษคนป่วยอย่างเดียวก็ไม่ถูก มันผิดมาตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง”
“ผมว่าก็ต้องให้ผู้ป่วยเข้าใจเรื่องการรักษากับยาเบื้องต้นด้วยก็ดีนะครับ เพราะอย่างบางคอมเมนต์ที่ว่าหมอไม่จ่ายยา ผู้ป่วยก็ด่าหมอเช่นกัน ซึ่งในบ้านเราจะเจอแบบนี้เยอะซะด้วยสิ เป็นหมอนี่ก็ปวดหัวกับการพูดกับผู้ป่วยไม่ใช่น้อยเช่นกัน ผมเข้าใจหัวอกหมอเลยทีเดียว”
“ทำไมรัฐไม่แก้โดยการตรวจมาตรฐาน รพ.และหมอ”
“จริงๆ ไม่ควรมาโทษกันว่าใครผิด ควรจะช่วยกันมากกว่านะคะ” และความคิดเห็นอื่นๆ อีกมากมาย
แม้แต่ต่างชาติยังให้ความสำคัญแต่ตระหนักถึงปัญหาของเชื้อดื้อยามากขนาดนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยต้องหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับการเลือกกินยาปฏิชีวนะให้มากขึ้นเสียที
เปลี่ยนความคิดคนไทยหัวดื้อ ลดการดื้อยา
ที่ผ่านมา ประเทศไทยเองมีความพยายามมาตลอด ในการรณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่เนื่องจากการซื้อ - ขายยารักษาโรคในบ้านเราสามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก เพียงแค่เดินออกไปยังร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พักอาศัย ก็สามารถได้ยากลับไปกินเองได้แล้ว
ส่วนบุคลากรผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ่ายยาก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน การจ่ายยาอย่างสมเหตุผลเป็นเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณทางการแพทย์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านี้ จะต้องให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องของการใช้ยาอย่างเหมาะสม รวมทั้งไม่ควรยัดเยียดยาปฏิชีวนะให้ผู้ป่วยอย่างไม่จำเป็นอีกด้วย
ผลที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นนั้นคือการดื้อยา และที่อันตรายไปยิ่งกว่านั้นคือ เชื้อดื้อยาสามารถติดต่อได้จากคนสู่คน ซึ่งจะส่งผลให้ในอนาคตเมื่อเชื้อดื้อยามีความแข็งแรงมากขึ้น จะไม่มียาตัวใดสามารถรักษาได้เลย
ดังนั้นการทำให้ปัญหานี้ลดลง ต้องเริ่มที่ตนเองก่อนด้วยการปรับทัศนคติเรื่องการกินยาเสียใหม่ ด้วยการลดการใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาการป่วยที่พบบ่อย และมีหลายคนเข้าใจผิดว่าต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา แต่ความจริงแล้วสามารถทำให้หายได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี โดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆ เลย เช่น
1.เป็นหวัดและเจ็บคอ ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นโรคยอดฮิตที่เป็นกันได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ กว่า 80% ของอาการป่วย เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเลย เพียงแค่พักผ่อนให้เพียงพอ,ทำร่างกายให้อบอุ่น และกินอาหารช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายแข็งแรงจำพวกผลไม้มีวิตามินซี ก็จะเป็นวิธีที่ช่วยกำจัดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น ส่งผลให้อาการหวัดบรรเทาลงได้
2.ท้องเสีย 99% เกิดจากเชื้อไวรัสหรืออาหารเป็นพิษ เพียงดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ก็หายได้ เพื่อทดแทนในส่วนที่ร่างกายเสียไป แต่ในกรณีที่ท้องเสียมีการถ่ายเหลวและมีมูกเลือดปน มีไข้ ตรวจพบเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ กลุ่มนี้จึงจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้ออะมีบา หรือที่มักวินิจฉัยกันว่าเป็นโรคบิด ต้องกินยาฆ่าเชื้อ แต่ควรจะไปพบแพทย์ก่อนที่จะซื้อมารับประทานเอง
3.แผลเลือดออก ที่เกิดจากการโดนของมีคมหรือแผลถลอก ถ้าทำความสะอาดอย่างถูกวิธีและป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำ แผลก็จะหายเองได้
ปัญหานี้จะแก้ไขพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องร่วมมือกันแก้ไขด้วยกันทั้งหมด ทั้งโรงพยาบาล ร้านขายยา และประชาชน ที่ต้องหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น
ดังนั้น การใช้ยาปฏิชีวนะจึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ทางที่ถูกต้องคือควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องก่อนใช้ยา ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการกินยาเกิดจำเป็นของคนไทย รวมทั้งลบความเชื่อแบบผิดๆ ที่ว่า ‘ซื้อยากินเดี๋ยวก็หาย’ เพราะบางอาการไม่จำเป็นต้องใช้ยาใดๆ ในการรักษาเลย เพียงแค่พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบหมู่ และทำร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย เพียงเท่านี้ก็เป็นเกราะคุ้มกันโรคได้อย่างดีแล้ว
ขอบคุณข้อมูล : The Straitstimes และ แผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.)
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754