จิตใจทำด้วยอะไร! "โล้นห่มเหลือง" ร่วมกับคู่ขาวัยโจ๋ ลวงเด็ก 6 ขวบไปข่มขืน สารภาพเป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน "อาบัติ" จนโซเชียลฯ ต้อง ทวงถาม บทบาทแบนจากสำนักพุทธฯ ตลกร้าย...ไร้เงาชี้แจง แต่พอมีหนังตีแผ่เรื่องฉาวพระกลับออกมาดิ้น หน้าที่ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?!
ฆาตกรห่มผ้าเหลือง
สืบเนื่องจากกรณีที่น้องโอ๊ต เด็กชายวัย 6 ขวบ ที่หายตัวไปจากบ้าน ในพื้นที่หลุบคา ม.6 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผู้ปกครองได้มีการแจ้งไปยังผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ให้ช่วยกันออกตามหา ล่วงเลยมาหนึ่งวัน จนกระทั่งมาพบหนูน้อยที่เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ ถูกทิ้งไว้ที่โคนต้นมะขามกลางทุ่งนา ใกล้กับวัดสว่างคงคาราม แต่ที่ทำให้น่าสลดหดหู่ใจไปกว่านั้นก็คือ ศพของเด็กชายเคราะห์ร้ายผู้นี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า มีเลือดไหลออกปาก จมูก หู ที่ทวารหนักมีรอยช้ำ มีมดขึ้นตามร่างกาย และมีกิ่งไม้ปกคลุมร่างเอาไว้
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้มีการลงพื้นที่และเก็บข้อมูล รวมทั้งสอบปากคำพยาน ทำให้ทราบว่า ขณะที่น้องโอ๊ตกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม จึงออกไปวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนภายในบริเวณวัดสว่างคงคาราม จากนั้นมีพระมาชักชวนให้น้องโอ๊ตขึ้นไปหาบนกุฏิ และหายตัวไปไม่ได้กลับบ้าน จนได้มีการออกตามหาและพบศพของหนูน้อย ห่างจากกุฏิวัดดังกล่าวไปไม่มาก และผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์นี้คือ นิรันดร์ ชนยุทธ หรือ พระกึ่ม พระลูกวัดวัย 36 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีประวัติเกี่ยวกับการข่มขืนมาแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำตัวพระกึ่มไปสอบสวน ซึ่งแน่นอนว่าปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
แต่จากการสอบปากคำอยู่หลายชั่วโมง ประกอบกับพยานหลักฐานต่างๆ ในที่สุดพระกึ่มก็ยอมรับว่า เป็นผู้กระทำชำเราน้องโอ๊ตจริง และมีพฤติกรรมเป็นคนรักร่วมเพศ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้ก่อเหตุเพียงคนเดียว พระกึ่มร่วมมือกับวัยรุ่นชายอายุ 15 ปี หลอกล่อน้องโอ๊ตเข้าไปในกุฏิ ก่อนนะจับตัวไว้และผลัดกันข่มขืนทางทวารหนัก และเลยเถิดไปถึงขึ้นวิตถารร่วมเพศพร้อมกัน 3 คน จนเด็กชายวัย 6 ขวบขาดใจตาย และหลังจากการสอบปากคำเสร็จ จะมีการนำตัวพระลูกวัดคนดังกล่าวไปดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
หลังจากที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปบนโลกออนไลน์ ก็มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างดุเดือด และสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้ เพราะผู้ถูกกระทำเป็นเด็กที่ต้องมาจบชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย เพียงเพราะการกระทำของฆาตกรวิตถารที่ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า สร้างรอยด่างให้แก่พระพุทธศาสนาไม่เว้นแต่ละวัน บางคนยังได้ทวงถามไปยังสำนักพระพุทธศาสนาฯและหน่วยงานที่ดูแลพระสงฆ์ ว่าทำไมเมื่อมีข่าวที่พระกระทำผิดกลับนิ่งเฉย แต่พอมีภาพยนตร์ที่ตีแผ่ความจริงมุมมืดของวงการผ้าเหลือง กลับออกมาเคลื่อนไหวเสียยกใหญ่
และบรรทัดต่อจากนี้คือความคิดเห็นบนโลกโซเชียลฯ ที่มีต่อเหตุการณ์นี้
“เป็นข่าวที่สลดใจมาก กว่าเด็กจะตายคงบรรยายความเจ็บปวดเป็นคำพูดไม่ได้ นรกแท้ๆ”
“จิตสำนึกความรู้จักผิดชอบชั่วดี มันหายไปไหนหมด สังคมแย่ลงทุกวัน ห่วงลูกมาก”
“ควรตรวจประวัติพระก่อนให้บวชทุกคนได้เเล้ว เคยก่อคดีมาถึงขนาดนี้ให้เข้าบวชได้ยังไง”
“เขาอาจจะพูดแบบว่า นั่นพระคนเดียวไง แต่ในหนังมันกระทบถึงพระโดยรวม แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน ในหนังเขาแค่จำลองเหตุการณ์ความเป็นจริงของพระ”
“เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า พระข่มขืนเด็กตาย กับคนในองค์กรที่หลับหูหลับตาปกป้องพุทธศาสนา ใครเลวกว่ากัน”
“ถ้าเด็กไม่ตาย คนไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไร เด็กอีกมากมายที่ถูกผู้ใหญ่ลวนลาม ยิ่งเด็กที่อายุเกิน 10 ขวบไปแล้ว คนยิ่งหาว่าเด็กไปยั่ว แต่ไม่นึกกลับกันว่า ผู้ใหญ่แก่กว่า เหลี่ยมจัดกว่ามันมีไม่รู้กี่พันวิธีที่จะหลอกเด็ก ขู่เด็ก บังคับเด็ก”
“พระเดี๋ยวนี้ไม่ไหวอะ บวชง่าย อยู่สบาย รายได้ดี บางทีควรมีกฎอะไรมาคุม มาคัดกรองกันมากขึ้น”
“คนชั่วมันมีอยู่ทุกที่ทุกศาสนา คนชั่วมันแฝงตัวในคราบคนดี ไม่ใช่แค่พระ หมอ ตำรวจ ทหาร ครู แม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง มันมีทุกที่ แต่ควรถามว่ามันเกรงกลัวที่จะทำความผิดกันมั้ยดีกว่า แล้วถามต่อไปว่าทำไมไม่กลัว แล้วทำไงให้มันเกรงกลัวไม่กล้าทำ”
“เรื่องในวัดบางแห่งนะ สกปรกกว่าที่คิดไว้เยอะบอกไว้เลย ไหนจะเรื่องเงินทำบุญ ไหนจะเรื่องที่ผิดศีล มีครบทุกอย่างในวัด ของมึนเมางี้ สีกางี้” ฯลฯ
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และยิ่งผู้กระทำการครั้งนี้คือพระสงฆ์ การกระทำเช่นนี้ นอกจากผิดวินัยสงฆ์แล้ว ยังผิดกฎหมายข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ,ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อปกปิดความผิด และซ่อนเร้นอำพรางศพอีกด้วย
ยิ่งตีแผ่ความจริง ยิ่งถูกปิดปาก
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข่าวฉาวในวงการผ้าเหลืองในบ้านเรา ข่าวพระสงฆ์เสพยา พระสงฆ์เล่นพนัน พระสงฆ์มั่วสีกา จนไปถึงการนำผ้าเหลืองมานุ่งห่มให้มีลักษณะคล้ายเสื้อผ้าของหญิงสาวก็เคยได้จนชินตาในทุกสื่อ ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่ภาพยนตร์ ก็ยังมีหลายเรื่องที่เคยหยิบยกด้านมืดในพระพุทธศาสนามาสร้างเป็นเรื่องราวมากมาย เพราะภาพยนตร์ซึ่งเป็นอีกสื่อหนึ่ง ที่เข้าถึงประชาชนได้โดยง่ายและเป็นที่นิยมในบ้านเรา
“นาคปรก” ภาพยนตร์สะท้อนพระพุทธศาสนาสุดฉาว ที่นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมืออย่าง “เต๋า - สมชาย เข็มกลัด” มีเรื่องราวเกี่ยวกับโจรที่ปลอมตัวมาเป็นพระ เพื่อจะมีขโมยเงินที่ซ่อนอยู่ใต้โบสถ์ ในภาพยนตร์ยังมีฉากที่ใช้ความรุนแรงอีกหลายฉาก รวมไปถึงฉากที่พระมีการสัมผัสร่างกายผู้หญิง จนทำให้สมาคมพุทธศาสน์สัมพันธ์และองค์กรชาวพุทธ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกระทรวงวัฒนธรรม ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์เสื่อมเสีย แต่สุดท้าย “นาคปรก” ก็ได้มีโอกาสยืนโรงฉาย โดยได้จัดระดับความเหมาะสมของผู้เข้าชมไว้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป
[ ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ "นาคปรก" ]
อีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงไม่น้อย เนื่องจากถูกกระทรวงวัฒนธรรมห้ามฉายในตอนแรก คือ “อาปัติ” ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระสงฆ์ สีกา ผีเปรต และฉากที่พระทำผิดวินัยสงฆ์ กว่าจะมีโอกาสเข้าโรงฉาย ต้องมีการแก้ไขเนื้อหาภาพยนตร์อยู่นาน รวมถึงเปลี่ยนชื่อเรื่อง จากชื่อเดิม “อาบัติ” มาเป็น “อาปัติ” แต่พอหนังได้มีการออกฉายไปก็ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมมากมาย เพราะนอกจากจะเป็นการจริงในวงการพระสงฆ์ รวมทั้งสอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับบาป บุญ คุณ โทษ ไว้เตือนสติชาวพุทธอีก
แตกต่างจากภาพยนตร์ขายขำเกี่ยวกับวงการผ้าเหลือง อย่าง “หลวงพี่แจ๊ส 4G” และ "หลวงพี่แจ๊ส 5G" ที่มีคิวเข้าฉายแน่นทุกโรงภาพยนตร์ จน พระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตร พระนักคิด นักเขียนชื่อดัง ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊ก ตามบรรทัดต่อไปนี้ ใจความว่า เมืองไทยมองพระเป็นตัวตลกได้ เอาไปสร้างหนังเพื่อเรียกเสียงหัวเราะได้ แต่หนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระอย่างที่เป็นพระในสังคมจริงๆ อย่างพระที่กินเหล้าเมายา พระที่มีอารมณ์ทางเพศ มีความรู้สึกโลภโกรธหลง ไปสร้างเป็นหนังเพื่อสะท้อนความเป็นจริงไม่ได้
หลังจากข้อความของพระมหาไพรวัลย์ เผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับความเห็นของผู้โพสต์ แม้แต่ผู้ที่เป็นพระเองก็ยังต้องออกมาตั้งคำถามถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในวงการผ้าเหลืองและวงการภาพยนตร์ ว่าเพราะเหตุใด “นาคปรก” และ “อาปัติ” กลับถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา คอยไล่ตามปิดปากอยู่เรื่อย ทั้งที่เนื้อหาข้องภาพยนตร์ ก็เป็นการสะท้อนความจริงที่เกี่ยวข้องกับด้านมืดอีกมุมหนึ่งของวงการพระพุทธศาสนาบ้านเราแท้ๆ
ทุกวันนี้มีข่าวเสื่อมเสียในวงการผ้าเหลืองแทบไม่เว้นแต่ละวันอยู่แล้ว การที่มีภาพยนตร์ตลกที่ใช้พระมาเป็นตัวดำเนินเรื่องเช่นนี้ ไม่ยิ่งเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์หมดความน่าเชื่อถือ มากกว่าการตีแผ่เรื่องจริงของพระหรอกหรือ?!
ขอบคุณภาพประกอบ : ภาพยนตร์เรื่อง “นาคปรก” และเฟซบุ๊ก “พระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตร”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754