xs
xsm
sm
md
lg

นักสู้บิกินี! “ปุยฝ้าย ช.เหล็กสยาม” นักมวยพริตตี้ ล้างหนี้เพื่อพ่อ! (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ถ้าจะกล่าวถึงนักมวยคนสวยสุดเอ็กซ์หุ่นสะบึม นาทีนี้ต้องยกให้เธอเลย "ปุยฝ้าย ช.เหล็กสยาม" ดีกรีดาวมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพราะเมื่อวันพ่อปีที่แล้ว 2558 เธอได้ขึ้นสังเวียนแลกหมัดปะทะแข้งกับคู่ชกสาวรุ่นเช่นกัน ชนะไปอย่างสมศักดิ์ศรี ก่อนหน้านี้เธอก็ได้ขึ้นชกในระดับจังหวัด เรียกได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอขึ้นชก ดูจะเป็นเหมือนมวยหญิงหยุดโลก เลยก็ว่าได้ ทำให้ชื่อเสียงของเธอโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทว่า เธอยังใช้เวลาว่างและใช้ “ความสวย” ไปทำงานเป็น “พริตตี้” เพื่อนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัวที่กำลังประสบความลำบากอีกด้วย

“พ่อล้มละลายค่ะ ตอนนี้ไร้บ้าน จึงต้องช่วยหาเงินอีกทาง”

เธอคือ…ฐิติรัตน์ บุตรพรม หรือ ปุยฝ้าย สาวสวยหุ่นสะบึมในวัย 20 กล่าวอย่างเปิดอกกับสาเหตุที่ต้องไปทำงานพริตตี้ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวชีวิตอย่างเข้มข้นให้ทีมผู้จัดการ Lite ได้รู้จักเธอมากขึ้น

“พ่อ”ผู้ปลูกฝังความรัก “มวย”

เธอเล่าว่า เป็นคนชอบออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เด็ก เพราะเธอมีความเชื่อว่า “การเสียเหงื่อ…ทำให้มีความสุข หลับสบาย” และ “พ่อ” เป็นผู้ปลูกฝังการชอบมวย และการออกกำลังกาย

“เป็นคน จ.เชียงใหม่ค่ะ เกิดที่นี่เลย พ่อกับแม่เป็นคนอีสาน จะเลี้ยงดูเรามาแบบติดดิน ตอนเด็กจะเหมือนเด็กผู้ชาย ปีนต้นไม้ ซนมาก ไม่สำอางเลย หนูไม่เล่นตุ๊กตาเลยนะ สมัยเด็กจะห้าวมาก เพื่อนผู้ชายจะไม่กล้าเข้ามายุ่ง ไม่แกล้ง หรือเล่นกับฝ้ายเลย”

ปุยฝ้ายบอกว่าสนิทกับแม่มาก แต่นิสัยกลับเหมือนพ่อเป๊ะ!
ถ่ายรูปกับคุณพ่อและคุณแม่เมื่อครั้งวัยเยาว์
“นิสัยคุณพ่อจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด เป็นคนชัดเจน มีระเบียบ” พร้อมเล่าว่า คุณพ่อจะเน้นเรื่องกีฬาเป็นพิเศษ ทั้งที่ลูกเป็นผู้หญิง

“พ่อชอบเปิดทีวีให้ดูช่องมวย เราจะไม่สามารถดูอย่างอื่นได้เลย เพราะพ่อจะคุมรีโมตทีวีไว้ ทำให้เราต้องดูทีวีตามพ่อ ยิ่งหากเป็นละครในทีวี พ่อจะไม่ให้ดูเลย ชอบให้ดูสารคดี กีฬา

นอกจากชอบดูมวย แล้วยังเล่นพระ ชอบพาเราไปงานวัด ดูมวยวัดต่อยกัน ตอนเด็กก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ดูๆไป เราก็คิดว่าเวลาเขาต่อยกันทำไมต้องเลือดออกขนาดนี้ เป็นกีฬาอะไรเนี้ย ทำไมไม่ไปวิ่ง ออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก

แต่พอพ่อพามาดูการชกมวยบ่อยๆ ก็เริ่มชิน ที่พามาดูบ่อยเพราะพ่อเปิดร้านขายสุนัขอยู่ย่านตลาดไนท์พลาซา มีฝรั่งเยอะ จึงมีมวยขึ้นชกกันเพื่อเรียกฝรั่ง”

สตรอง…แต่เด็ก
สมัยวัยรุ่นมัธยมกับผองเพื่อน
ด้วยความที่ถูกปลูกฝังในเรื่องออกกำลังกายจากคุณพ่อ และที่สำคัญอยากหุ่นดี และเห็นว่า ในค่ายมวยเวลาเขาซ้อมมวยกัน ดูน่าจะสนุกดีนะ จึงทำให้เธอเริ่มต้น “ซ้อมมวย” มาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ด้วยการรบเร้าคุณพ่อให้พาไปซ้อมมวยหน่อย

“คืออยากหุ่นดี อยากออกกำลังกาย และชอบเสียเหงื่อ มันจะรู้สึกได้หลับสบาย หลับลึก

สมัยเด็กประมาณอายุ 12-13 ปี จะมีค่ายมวยอยู่หลังบ้าน เรามักจะเห็นนักมวยวิ่งอยู่ในซอย วิ่งไปกลับ พ่อกับเจ้าของค่ายมวยก็เป็นเพื่อนกัน เราก็เดินเข้าไปในค่ายมวยเห็นเขาซ้อมมวยกัน ก็เลยถามพ่อว่า…หนูไปซ้อมมวยแบบนี้ได้ไหม ดูสนุกดี เห็นเขากระโดดยาง วิ่งกัน ซึ่งเราชอบอยู่แล้ว

เพราะเวลาเราทำอะไรผิด พ่อมักจะทำโทษด้วยการให้เราวิ่งอยู่แล้ว จำได้เลย มีวันหนึ่งฝ้ายนอนไม่หลับ ตอนตี 1 ตี 2 พ่อก็ให้ออกไปวิ่ง พอเหนื่อย เราก็หลับไปเอง ทำให้ฝ้ายชอบวิ่งมาแต่เด็ก

จากนั้นพ่อก็พาไปซ้อมที่ค่ายมวยฟรี ไม่เสียเงิน เลิกเรียนเสร็จเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปวิ่ง กระโดดเชือก พอเหนื่อยก็กลับบ้าน แต่เราไม่ได้ซ้อมลงนวมแบบนักมวยนะ แค่เตะกระสอบทราย เขาบอกว่า ถ้าอยากหุ่นดีก็เตะให้ได้ทำมุม 45 องศา นะ

การต่อยมวยนี่เป็นการออกกำลังกายที่ดีกว่าไปเข้าฟิตเนสเสียเงินอีกนะคะ ถ้าซ้อมมวยมันได้ทุกส่วนเลย ที่สำคัญซ้อมฟรี (หัวเราะ)”



สำหรับอาการฟกช้ำดำเขียวที่ผู้หญิงทุกคนหวาดหลัวนั้น เธอบอกว่าไม่แคร์ เพราะขาไม่สวยอยู่

“พ่อบอกว่า ถ้าเรามีรอยฟกช้ำดำเขียว อย่าไปกังวล ต้องไปย้ำไปซ้อมซ้ำตลอด ถ้าไปวันเว้นวันจะไม่ได้ เราต้องซ้อมให้เขียวช้ำ แล้วก็ตีมันที่เดิม ผิวมันจะทนไปเอง มันจะด้าน เหมือนเวลาเราใส่รองเท้าตอนแรกจะเจ็บ รองเท้ากัด เราก็ทนใส่ไปสักพักมันหายเจ็บไปเอง เราต้องฝึกความอดทน ฝึกความเจ็บ

คือฝ้ายจะไม่ซีเรียสเรื่องขาไม่สวย ขาช้ำเลย เพราะขาไม่สวยอยู่แล้ว เคยรถมอเตอร์ไซค์ล้ม จนขาเป็นแผลเต็มไปหมด เลยไม่ได้ไปประกวดนางงามบนเวที และเราก็ไม่ใช่สายนางงาม เพราะขาไม่สวย แผลเยอะ แต่ฝ้ายเคยไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ทั้ง 2 ปีเลยนะ เคยเข้ารอบมิสทีนภาคเหนือ แต่ไปตกรอบสุดท้ายที่กรุงเทพฯ แต่ตอนนี้ประกวดไม่ได้แล้ว อายุ 20 ปี แล้ว”

ไฟต์แรกในชีวิต แพ้…แต่ประสบการณ์ตรึม!

หลายคนคงยังจำได้ดีเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2558 นักมวยสาวคนสวย ที่โลกโซเชียลฯ กล่าวถึง “ปุยฝ้าย ช.เหล็กสยาม” ขึ้นสังเวียนมวยไทยใน ศึกทุกยั้งทัพ ศึกนี้เพื่อแม่ ที่เวทีเดชานุเคราะห์ ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่ โดยพบกับ เพชรงามตา เพชรน้ำผึ้ง นักมวยอาชีพ แม้ว่าวันนั้น “ปุยฝ้าย” จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คะแนน แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะเป็นการชกครั้งแรกขอเธอ และได้ปะทะแข้งกับ นักมวยสาว ที่เจนเวทีสุดๆ

“คือตอนนั้นไปทำงานพริตตี้ให้กับบริษัทเหล็กสยาม เพราะทางเหล็กสยามเขาชอบสนับสนุนเรื่องมวย คือเราไปทำงานเป็นพริตตี้ แต่เขาบอกว่า ต้องใส่ชุดมวย เราก็โอเค ก็ใส่

เขาบอกวันนั้นจะมีมวยใหญ่ มีบัวขาวมา มีช่างภาพมาเยอะ ตอนนั้นก็มีพริตตี้หลายคนเลย มีเป็น 10 กว่าคน แล้วก็ใส่ชุดมวยเหมือนกัน แต่มีพี่คนหนึ่งเขาบอกว่า ฝ้ายดูรูปร่างเหมือนนักมวยเลย หุ่นฟิตมาก มีซิกแพ็ก เขาก็ถามเราว่า แสดงว่าชอบออกกำลังกายใช่ไหม เราก็บอกใช่ค่ะ

พี่ที่มาถามเรา เขาก็เลยไปติดต่อทางเหล็กสยาม เหล็กสยามเลยมาถามฝ้ายว่า สนใจชกมวยไหม ตอนแรกก็คิดว่า เราไม่ได้ชกมวยนานมากแล้ว เราไม่เคยขึ้นเวทีจริง เราแค่ซ้อมเฉยๆ ก็กลัว เลยยังไม่ได้ให้คำตอบ ไปถามพ่อกับแม่ ทั้งคู่ก็บอกว่า ลองดูสิ จึงทำสัญญากับเหล็กสยาม 6 เดือน เลยลองซ้อมมวยดูอีกครั้ง จากนั้นก็เป็นข่าวดังใหญ่โตเลย

ทางเหล็กสยามก็เอาประวัติเราไปบอกสื่อ ว่าเราเป็นดาวมหาวิทยาลัย ซึ่งก็เป็นจริง ทำงานเลี้ยงพ่อแม่จริง เป็นพริตตี้จริง ชอบออกกำลังกาย เคยซ้อมมวยจริง เขาก็เลยเอาจุดโฟกัสหลายๆอย่างมารวมกันแล้วมาทำเป็นข่าว”

แฟนคลับทะลัก กองเชียร์มาเต็ม

“พริตตี้ทั้งเชียงใหม่ยกโขยงกันมาดูฝ้ายเลยนะ” เธอกล่าวถึงกองเชียร์ที่มาเต็มแน่นสนามมวย

“ช่วงที่เราเริ่มซ้อมมวยก็มีนักข่าวมาเยอะ เลยรู้สึกกดดัน เพราะว่าเหล็กสยามเหมือนกับให้ข่าวไปว่า เราเป็นนักมวยจริงๆ ซึ่งเราไม่ใช่นักมวยจริงๆ เลย เขาให้ข่าวโอเวอร์ไป จนเรากดดัน เราไม่ได้เป๊ะขนาดที่ต้องเตะต่อยแรง เวลานักข่าวถามอะไรเรามา ก็ต้องอ่านตามที่เหล็กสยามเขาบอกเราไว้

ก็มีกระแสอยู่ว่า ทำไมไม่สงสารฝ้ายเหรอที่ต้องเอาเรามาซ้อมมวยแบบนี้ ทั้งๆที่เขาก็ชกมวยครั้งแรก จริงๆเขาทำงานพริตตี้ ไม่สงสารเหรอ เรายิ่งกดดันมากขึ้น พอเราไปออกรายการ ออกสื่อมากขึ้น เราก็ต้องให้เครดิตของเหล็กสยาม ว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เรามาถึงจุดๆนี้ หนูก็เลยต้องพูดไปตามสคริปต์ที่เขาบอกทุกอย่าง ตอนนั้นเครียดจนร้องไห้เลยว่า ต้องไปโกหกว่าเราเป็นนักมวย ทั้งที่ไม่ได้เป็น แต่เพราะเราไปเซ็นสัญญากับเขาเลย เราก็เลยต้องพูดไปตามสคริปต์ที่เขาทำขึ้น



ไฟต์แรกของฝ้าย เลยต้องต่อยกับนักมวยจริง ชกไป 3 ยก ปรากฏว่าแพ้ แต่ไม่ได้น็อก แพ้คะแนน เพราะบนเวทีไม่มีเวลาได้คิดอะไรเลย คู่ต่อสู้บุกตลอด เพราะเขาเป็นนักมวยอาชีพ แม้เราได้เปรียบความสูงก็จริงแต่เขาเป็นนักมวยจริงๆ ก็เลยแพ้ไป



เราก็ชกจริง เจ็บจริง แต่ที่เราตกใจ และกดดัน คือ ฝรั่ง ชาวต่างชาติ คนจีน มาดูมาเชียร์เราเยอะมาก เพราะแรงโปรโมตไป ทั้งทางทีวี โทรศัพท์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ คนจึงมาเยอะมาก เราก็รู้สึกว่า เป็นประสบการณ์ เหล็กสยามเขาก็บอกเราว่า ไม่ได้ให้ชกแล้วนะ ให้แค่เป็นพรีเซนเตอร์เฉยๆ ไปออกบูธ ก็จะเอารูปเราไปตั้ง เอาเราไปถ่ายรูป จะออกไปในแนวนี้”

สุดปลื้ม!ไฟต์สองชนะ ให้ของขวัญ "วันพ่อ"

ความพ่ายแพ้จากครั้งแรกทำให้เธอมีแรงฮึด และอยากชนะในศึกครั้งที่ 2 เธอศึกษาข้อบกพร่องจากการชกครั้งแรก ด้วยการดูยูทิวบ์ ดูซ้ำไปซ้ำมา นำมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้มือในครั้งที่ 2


คุณพ่อมาให้กำลังใจเกาะขอบสังเวียน
“มีพี่นักข่าวจากกรุงเทพฯ คนหนึ่งมาติดต่อให้ฝ้ายลองชกมวยดูที่สนามหลวง ชกในวันพ่อ 5 ธันวา เราก็คิดว่าไหนๆ ไฟต์แรกเราชกวันแม่แพ้แล้ว วันพ่อก็ขอชนะหน่อย เพราะพ่อจริงจังมากเรื่องการชกมวย เขาให้เวลาเรา 2 เดือน เราก็ไปซ้อม เราเริ่มจริงจัง เพราะว่าปกติเราต้องทำงานกลางคืน กลางวันก็เรียน

ไฟต์นี้เราขอชนะ นัดล้างตาหน่อย เพราะเราแพ้มา ก็เลยฟิตซ้อม ไฟต์วันพ่อก็เลยชนะ เราต่อยกับนักมวยจริง แต่ประสบการณ์เท่ากัน ฝีมือพอๆกัน

เพราะประสบการณ์ในครั้งแรกของการชกมวยทำให้เราทำการบ้านมากขึ้น ฝ้ายจะเปิดยูทิวบ์ดูจุดบกพร่องของตัวเอง ดูไปร้องไห้ไป เพราะเรารู้สึกว่าเราทำให้คนที่มาเชียร์เรา ให้กำลังใจเรา เขาผิดหวัง เราก็มานั่งดูว่า วันนั้นทำไมเราหันหลังให้เขา ทำไมเราไม่ดันเขา ไม่กอดคอเขา ดูหลายครั้งมาก ดูทั้งวันทั้งคืน ดูจนแบบอายไปเลย ไม่อยากให้ใครมาดูคลิปนี้เลย


ใจหนึ่งเราก็กลัวนะ ไฟต์ที่ 2 กลัวที่จะแพ้เหมือนครั้งแรก แต่เราก็ระวังมากขึ้น คู่ต่อสู้เขาไม่บุกเหมือนคนแรก ต่างคนต่างดูท่าทีกัน

ฟีดแบ็กจากกองเชียร์ คนรอบข้างดีมาก บอกว่าเราเก่ง มีคนชมเยอะ ก็ดีใจที่ไฟต์วันพ่อชนะ นอกจากนี้ เรายังภูมิใจมาก เพราะพ่อมาดูด้วยที่สนามหลวง เป็นการชกในวันพ่อ และชนะด้วย ก็เหมือนเป็นให้ของขวัญวันพ่อไปด้วย นักข่าวก็สัมภาษณ์พ่อก็ยืนอยู่ด้วย ตอนนั้นเราร้องไห้เลย เพราะเป็นวันพ่อพอดี เราก็กอดพ่อ” เธอเล่าถึงการชนะครั้งแรกในการขึ้นเวทีชกมวยเพราะฝึกซ้อมอย่างตั้งใจจริง

จากนั้นก็มีไฟต์ที่ 3 ค่ะ ชกที่กรุงเทพฯ เป็นช่วงวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงที่ฝ้ายทำงานเยอะมาก ไม่มีเวลาไปซ้อมเลย เพราะตอนเช้าก็ต้องเรียน ตอนกลางคืนก็ต้องทำงานพริตตี้ ช่วงนั้นครอบครัวต้องการใช้เงิน ในค่าใช้จ่ายต่างๆ เพราะเวลาเราทำงานเราได้เงินสดเลย



ไฟต์ที่ 3 นี้ คู่ชกเขาเป็นคนลำปาง เขาอยู่บนดอย เขาได้ออกกำลังกายในธรรมชาติ วิ่งขึ้นดอย ปอดจะดีกว่าเรา เราทำงานกลางคืน ตื่นมาก็ไปเรียน และไม่ได้พักผ่อน ร่างกายโทรม กำลังถดถอย เราไม่พร้อมเลย ทำให้ครั้งนี้แพ้ไป

คนที่ติดต่อเข้ามาเขาอยากจะให้เราชกเพื่อเรียกคนดู ทำโปสเตอร์ เขาก็เลยให้ฝ้ายชกเป็นคู่แรก 3 ยก แต่ถ้าเป็นนักมวยจริงๆจะชก 5 ยก เรารู้ตัวเลยว่าเราไม่พร้อม แต่ก็พยายามยื้อให้ชกให้ได้ 3 ยก ทำดีที่สุดแล้ว”

ข่าวดี! สำหรับการชกครั้งที่ 4 นั้น เธอบอกให้รอติดตาม เพราะมีคนมาติดต่อไว้ให้ขึ้นชกในวันพ่อ ปลายปีนี้

“มีติดต่อมาให้ชกวันพ่อที่จะถึงเหมือนกัน แต่ฝ้ายยังไม่ได้ให้คำตอบ”

ดาวมหา’ลัย สู่พริตตี้…ล้างหนี้ให้พ่อ

สำหรับเส้นทางความเป็นมาในการเป็น “พริตตี้” ของเธอนั้น เธอยอมรับว่า เป็นคนรักสวยรักความ ชอบแต่งหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาทำงานเป็นพริตตี้ ทำงานกลางคืน แต่ด้วยความจำเป็นในชีวิต เนื่องจากครอบครัวล้มละลาย ซ้ำร้ายตอนนี้ยังเป็น “คนไร้บ้าน” เพราะพ่อต้องขายบ้านล้างหนี้

“พ่อล้มละลายเป็นหนี้บัตรเครดิตเยอะมาก 3-4 ใบ ใบละเกือบแสน ตอนนี้ก็เป็นเหมือนบุคคลล้มละลาย ซื้ออะไรไม่ได้เลย ตอนนี้ธนาคารตามพ่ออยู่ แม่หาเงินทางเดียว แม่ก็เหนื่อย อยากแบ่งเบาภาระแม่ เรามาทำงานพริตตี้ก็ได้เงินมาใช้จ่ายส่วนตัวไม่ต้องรบกวนแม่ ช่วยค่าน้ำค่าไฟ บางทีเราไปทำงานได้ทิปมา เราก็เก็บไว้ เงินค่าจ้างเราก็ให้แม่ ได้ทิป 60-80 บาท เราก็เอามากินข้าวในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว

เมื่อก่อนไม่คิดว่าจะทำงานกลางคืน เป็นพริตตี้เลยนะ เพราะเมื่อก่อนพ่อดูแเลเราดีมากเลย อยากได้อะไรก็ได้ แต่พอพ่อล้มไปก็ลำบาก เพราะพ่อขายสิ่งมีชีวิต(สุนัข) ซึ่งมันไม่แน่นอน คอกหนึ่งก็หลายหมื่น เวลาติดโรคก็ติดทั้งคอกเลย ตอนนี้ตลาดขายหมาก็เริ่มเงียบ คนหันมาเลี้ยงแมวเลี้ยงกระต่ายกันมากขึ้น ตลาดจตุจักรก็เป็นแหล่งเชื้อโรคเหมือนกัน จากเชียงใหม่ที่ไม่เคยมีเชื้อโรค เราไปส่งกรุงเทพฯ ก็เลยทำให้ติดเชื้อโรค เขาก็เลยบอกว่า ติดเชื้อโรคมาจากเชียงใหม่ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ ตลาดขายหมาที่เชียงใหม่เลยได้ผลกระทบตรงนี้”

สำหรับการเริ่มต้นการเป็นพริตตี้นั้นเธอบอกว่า เริ่มมาจากการเป็นพนักงานเชียร์เบียร์มาก่อน

“ตั้งแต่ ม.6 มาไม่เคยขอเงินพ่อแม่เลย อยากได้อะไรก็เก็บเงินเอง เพราะตอนเด็กๆ เราขอเขามาเยอะแล้ว ตอนนี้เลยหาเงินซื้อของที่อยากได้เอง

ทำงานเป็น PG(พนักงานส่งเสริมการขาย) เบียร์ช้าง ไฮเนเกน มีพริตตี้คนหนึ่งเขาก็บอกว่าทำไมไม่ไปทำพริตตี้ล่ะ ได้เงินเยอะกว่าอีก สบายกว่าไม่ต้องไปยกทาวเวอร์เบียร์ เสิร์ฟ รินเบียร์ ตอนนั้นยังแต่งหน้าอะไรไม่เป็นเลย พี่พริตตี้ก็สอนแต่งหน้าทำผม สอนให้เรายืน ฝึกบุคลิกภาพ ตอนเริ่มมาทำพริตตี้ตอนนั้นอยู่ ม.6 คุณพ่อคุณแม่ไม่คัดค้าน เพราะแค่ถ่ายรูปเฉยๆ ดีกว่าไปรินเบียร์เหมือนเมื่อก่อน

คือเป็นคนรักสวยรักงาม ชอบดูรีวิวบล็อกเกอร์แต่งหน้าต่างๆ บางทีตัวจริงของฝ้ายก็ไม่เหมือนในรูปนะ ตอนไปทำงานจะสวยมาก ตอนไปเรียนก็เป็นอีกคนหนึ่งเลย(หัวเราะ)

ในการทำงานกลางคืนแน่นอนต้องมีผู้ชายมาเกาะแกะ และแซว เธอบอกว่า จะพูดตรงๆกับเขาเลยว่า “ไม่ชอบ”
“มีมาขอไลน์ ขอเบอร์ ค่ะ แต่ถ้าสมมติเขาจะมาจับเนื้อต้องตัว จะบอกตรงๆเลยว่าไม่ชอบ อย่ามาจับค่ะ หน้าฝ้ายจะดุ ดูแรงอยู่แล้ว เขาก็ไม่จับ

สังคมกลางคืนเราต้องเข้าใจ เรามาทำงานเพื่อต้องการเงิน ไม่ได้ต้องการอะไร เรายอมเหนื่อยเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าใช้จ่าย ทำงานเพื่อหาเงินจริงๆ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น

ทุกคนมีความคิดไม่เหมือนกัน เกิดมาก็เลี้ยงดูไม่เหมือนกัน ทำไมเราถึงมาทำงานกลางคืน หน้าตาแบบนี้ ทำไมไม่ตั้งใจเรียน แต่ถ้าเราแคร์คนอื่นมากไปก็จะทำให้เราเสียกำลังใจ ทำงานได้ไม่เต็มที่ งานออกมาก็ไม่ดี เขาก็จะไม่จ้างงานเราต่อ เราทำงานที่สุจริต ไม่เดือดร้อนใคร ไม่ได้ขอใครกิน เรารับเงินเขามาก็ทำงานให้เขาเต็มที่ ครอบครัวของเราตอนนี้กำลังตกต่ำ เราต้องทำ เราไม่เคยบอกให้ใครซื้อรถให้เราหน่อย ให้ตังค์เราหน่อย เราทำงานเก็บเงินทีละน้อยจ่ายค่าเทอมภูมิใจกว่า”

เธอบอกว่า ปัจจุบันนี้เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเข้าชั้นปีที่ 3 แม้งานพริตตี้จะเยอะขึ้น แต่ก็เรียนก็เยอะเช่นกัน งานวิจัย โปรเจ็กต์เพียบ ทำให้ไม่ค่อยรับงานพริตตี้มากเท่าไหร่

ความเอ็กซ์เซ็กซี่…เธอได้แต่ใดมา

เธอเล่าว่า เมื่อก่อนไม่มีหน้าอก จึงจำเป็นต้องทำศัลยกรรมเสริมอึ๋มเพื่องาน นอกจากนี้ ยังชอบถ่ายรูปแนวเซ็กซี่ โชว์เรือนร่างสุดฟิตแอนด์เฟิร์ม
Before  & After ศัลยกรรมหน้าอกสุดอึ๋ม
“เมื่อเราเริ่มมาทำงานพริตตี้ จึงจำเป็นต้องศัลยกรรมหน้าอก ทำมา 450 ซีซี ช่วงพักฟื้นแม่ก็คอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ เพราะช่วงพักฟื้นเจ็บมาก ตอนที่ทำตอนนั้นอายุ 19 ปี ต้องให้พ่อแม่เซ็นยินยอมก่อนทำศัลยกรรม ถ้าย้อนไปดูรูปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จะเห็นเลยว่า ฝ้ายไม่มีนม แต่ช่วงสะโพกเราใหญ่มาก มีพี่พริตตี้แนะนำว่าไปทำนมไหม พอทำเสร็จปุ้บก็มีงานมาเต็ม งานโฆษณา งานถ่ายแบบ ที่เราทำหน้าอกเพราะเราคิดว่าจะไปประกวดพวก FHM หรือ Maxim ที่เขาเน้นเซ็กซี่ไปเลย เราอยากไปทางนั้นเพราะเราชอบถ่ายรูป ชอบให้คนอื่นถ่ายนะคะ ไม่ชอบถ่ายตัวเอง ชอบไปงาน ถ่ายรูปสวยๆ ให้กล้องแบบมือโปรถ่าย

ฝ้ายเป็นพริตตี้ได้ทุกแนวนะ เรียบร้อยก็ได้ เซ็กซี่ก็ได้ ถึงแม้จะมีพริตตี้ไม่ดี หรือดี ฝ้ายไม่รู้นะ แต่เราทำงานกลับบ้าน เราเลิกงานตรงเวลา ทำให้พ่อแม่สบายใจ ถึงเราทำงานกลางคืนแต่เรากลับบ้านหาเขาทุกวัน ทำให้เขาสบายใจว่าเราไม่ได้ไปไหน หรือไปเมาที่ไหน

แน่นอนว่าเราต้องดื่มเหล้าบ้าง เพราะเราต้องเอ็นเตอร์เทนลูกค้า แต่เราต้องรู้ตัวเอง ว่าเราขับรถมานะ พ่อแม่รออยู่ พรุ่งนี้มีประชุม มีเรียน จะกินน้อย รู้ลิมิตตัวเอง”

แนะเคล็ดลับหุ่นเป๊ะ ซิกแพ็กเปรี๊ยะ!

เธอแนะนำการดูแลรูปร่างสำหรับคนที่มีเวลาน้อย ไม่ต้องไปฟิตเนสก็ทำได้ แต่อย่าขี้เกียจเด็ดขาด

“ฝ้ายไม่ได้ดูแลเรื่องการกินเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าเราต้องรู้ว่าถ้าวันนี้เรากินเยอะ วันต่อมาเราต้องไปออกกำลังกาย เบิร์นสิ่งที่เรากินของเมื่อวานออกไป ยิ่งเราออกกำลังกายเหนื่อย ทำงานเหนื่อย แล้วเรากินเยอะ เราต้องเอาออก ฝ้ายชอบกินหมูกระทะมากเลยนะ แบบบุฟเฟ่ต์ อย่างวันนี้กินวันรุ่งขึ้นฝ้ายก็ไปวิ่งเลย การวิ่งช่วยได้ดีเลย

แต่ที่ทำบ่อยคือซิทอัป คือจะเอาขาไว้ใต้เตียง และก็ซิทอัปเอง คือเป็นคนที่ต้องถ่ายรูปบ่อย เน้นสัดส่วน เลยต้องมีซิกแพ็ก ถ้าขามีเซลลูไลท์จะไม่สนใจเพราะเราวิ่งอยู่แล้ว จะเน้นหน้าท้องกว่ากว่าส่วนอื่น

เพราะในร่างกายฝ้ายชอบหน้าท้องของตัวเองมากที่สุด ตามเทคนิคของฝ้ายเอง คนทำงานกลางคืนจะไม่มีเวลาดูแลตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็จะออกกำลังกายแค่ตอนที่กำลังจะอาบน้ำ สักครึ่งชั่วโมง ก็ไปอาบน้ำ ทำงาน วันไหนไม่มีงานก็ไปวิ่ง ชวนเพื่อนไปตีแบดมินตัน คือขอให้อาทิตย์หนึ่งเสียเหงื่อ สัก 3 วัน มันก็จะช่วยได้แล้ว อย่าขี้เกียจ ทำในห้องก็ได้ ซิทอัปไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนส หรือต้องมีอุปกรณ์ ในห้องนอนเราก็ทำได้ โซฟา ก็ทำได้

ถ้าเรามีเวลาเยอะก็ซิทอัปไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ทำไปเรื่อยๆหากเวลาเหลือ อย่างค่ายมวยเวลาไปซ้อม อันดับแรกไปถึงค่ายมวยเราจะวิ่ง กระโดดยาง ซ้อมนวม กระสอบทราย ลงนวมกับคู่ชก เสร็จแล้วเราก็จะซิทอัป คือซิทอัปจะทำเป็นสิ่งสุดท้ายของการซ้อมมวย เหมือนกับท้องเราได้หายใจเยอะแล้ว อย่างเวลาเราซ้อมมวยเราจะต้องเกร็งท้อง เวลาจะมีคนมาใส่เข่าเราที่ท้องเราต้องเกร็งท้อง เราจึงจำเป็นซิทอัปให้หน้าท้องเราแข็ง แต่เวลากินข้าวเสร็จหน้าท้องก็ป่องเหมือนกัน หรือในช่วงมีประจำเดือน คือฝ้ายจะซีเรียสเรื่องหน้าท้องมาก”

ชีวิตผูกพันน้องหมา

คุณพ่อของเธอทำธุรกิจเพาะพันธุ์สุนัขจึงมีความผูกพันกับสัตว์มาตั้งแต่เด็ก เพราะเธอมีหน้าที่ให้อาหาร และพาสุนัขออกไปเดินเล่น และขับถ่าย ทุกวัน

“คุณพ่อทำธุรกิจเพาะพันธุ์ที่เป็นพ่อพันธุ์ เพื่อให้ผสมพันธุ์ เช่น พันธุ์พิทบูล ไซบีเรีย ล็อตไวเลอร์ แต่ปัจจุบันนี้จะเน้นขายลูกสุนัข เพาะพันธุ์แล้วส่งขายที่ตลาดนัดสวนจตุจักร

“เวลาเรารักตัวไหน ลูกค้าก็จะซื้อตัวนั้นไปตลอด”

ด้วยความที่เธอเลี้ยงสัตว์ ช่วยพ่อดูแลหมา มาตั้งแต่เด็ก จึงมีความรักสัตว์เป็นพิเศษ

“เวลาเห็นข่าวหรือคลิปที่ทำร้ายสัตว์ จะรับไม่ได้เลย ร้องไห้ เคยเห็นคลิปเขาเอาไฟมาลนแมว จนมันก็ตาย เรายิ่งร้องไห้หนัก 

ดีมากเลยนะ ที่มี พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ออกมา เพราะอย่างสุนัขเขาจะเชื่อง และรู้ภาษานะ อย่างเราบอกให้มา ก็มา มนุษย์เรายังไปทำร้ายเขาอีก

ฝ้ายชอบหมาพันธุ์พิทบูล พวกหมาขนสั้น คือมันดุก็จริงแต่ถ้าเราเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็ก เกิดมาได้ 10- 45 วัน เขาจะเริ่มปลูกฝังที่เราสอน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลี้ยงเขายังไง ถ้าเราเลี้ยงแบบขัง เขาก็ะดุ ถ้าเลี้ยงปล่อยเขาก็จะอีกนิสัยหนึ่ง ก็เหมือนเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง ต้องดูจากพื้นฐานสิ่งแวดล้อม"

วาดฝันอนาคต เก็บเงิน - มีบ้าน” ให้ได้

“คือตอนนี้ฝ้ายไม่มีบ้านอยู่นะ เพราะพ่อกับแม่ขายบ้านไปแล้ว เนื่องจากเป็นหนี้ ตอนนี้เลยคิดว่าขอเก็บเงินเยอะๆทำงาน ซื้อบ้านให้พ่อแม่ใหม่ อยากมีบ้านใหม่

ตอนขายบ้านไปช่วงแรกๆ รู้สึกแย่มาก ผ่านบ้านเก่าก็ยังรู้สึก อยากเข้าไปอยู่ คิดถึงตอนเด็กๆ ตอนนี้ฝ้ายอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยหารกับเพื่อน ส่วนพ่อกับแม่ก็อยู่ที่ร้านขายหมาในตลาด เวลาร้านปิดก็นอนกับหมา

คิดว่าเขาลำบากมาก เพราะไม่มีมีบ้าน ไม่มีเงิน อนาคตเลยอยากจะเก็บเงินซื้อบ้านใหม่ให้พ่อกับแม่
สำหรับเรื่องเรียนต่อนั้น เธอมีความคิดว่า อยากจะไปเรียนฝึกภาษาที่ต่างประเทศ และทำงานเพื่อส่งเงินมาให้พ่อแม่ด้วย

“มีคนชวนฝ้ายไปเรียนต่างประเทศ แต่ยังไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะไปดีไหม เพราะอยากฝึกเรื่องภาษาอังกฤษ พอดีมีรุ่นน้องที่ไป เขาก็เรียนด้วยทำงานด้วย ทำงานที่นั่นก็ได้เงินเป็นก้อน สามารถส่งเงินมาให้พ่อแม่ได้

เพราะเวลาทำงานกลางคืน บางทีมีลูกค้าที่รู้จักเรา เขาก็จะจำเราได้ว่าเราเป็นนักมวย เขาอาจจะคิดว่าทำไมถึงมาทำงานกลางคืนแบบนี้ เราก็เลยคิดอยากไปเรียนต่างประเทศ เพิ่มทักษะฝึกภาษาในการทำงานด้วย”

เกลียดคนเจ้าชู้ ไม่ชอบผู้ชายแบบพ่อ!

ปิดท้ายกับเรื่องราวของความรัก ที่หนุ่มๆ หลายคนน่าจะอยากรู้ เธอยืนยันว่า “เกลียดคนเจ้าชู้” เพราะเห็นแม่เสียใจมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่อยากจะเจอผู้ชายแบบพ่อของเธอ
คุณพ่อกับคุณแม่
“เราไม่ชอบคนเจ้าชู้เลย เพราะพ่อฝ้ายเป็นคนเจ้าชู้มาก คือพ่อหน้าตาดี หล่อ คารมดี เงียบ นิ่ง ขรึม พูดเพราะ พ่อจะเด็กกว่าแม่ ประมาณ 5 ปี ที่ผ่านมามีกิ๊กประมาณ 20 กว่าคน นี่คือที่แม่กับฝ้ายจับได้นะ เชื่อไหม แค่พ่อพูด 3 ประโยคผู้หญิงก็จะหลงเลย

พ่อเป็นพ่อที่ดีสำหรับฝ้ายนะ แต่เป็นผู้ชายที่ไม่ดีสำหรับแม่ รักพ่อค่ะ แต่ไม่ชอบผู้ชายแบบพ่อ เลยไม่อยากเจอผู้ชายเจ้าชู้ ไม่เอาเลยค่ะ ถ้าจับได้ว่านอกใจครั้งเดียวเราก็ไม่เอาแล้ว เราเห็นแม่เสียใจมาพอแล้ว เราไม่อยากเป็นแบบนั้น

พ่อกับแม่หย่ากัน 5 รอบแล้ว ไปมา 4 อำเภอแล้ว จดทะเบียนเสร็จแล้วก็หย่า แล้วก็จดใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ เหมือนเป็นคู่เวรคู่กรรม ตอนนี้ก็ยังเจ้าชู้อยู่ แต่แม่ก็เริ่มปลงแล้ว เขาก็บอกว่า ถ้าจะมีกิ๊กก็ขอให้กิ๊กดูแลเธอได้ แค่ตอนนี้ครอบครัวเรายังอยู่ครบกัน 3 คน ก็โอเคแล้ว”

เธอเผยถึงสเป็กผู้ชายด้วยว่า ไม่ต้องหล่อ ขอแค่รักครอบครัวเราก็เพียงพอ
(ซ้าย)คุณแม่กับฝ้าย (ขวา) คุณพ่อกับฝ้าย
“ถามว่ามีแฟนไหม ตอนนี้ก็มีคุยๆอยู่ค่ะ เพราะพ่อกับแม่ไม่อยากให้จริงจังเรื่องความรักมาก อยากให้โฟกัสเรื่องเรียนมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ห้าม ว่าอย่าคบนะ เขาก็บอกว่าอยากคุยก็ได้นะ แต่อย่าเน้นเรื่องนี้มาก ขอเรื่องเรียนให้พ่อแม่สบายใจดีกว่า เพราะเวลาทะเลาะกับแฟนเราก็ต้องหนีไปหาพ่อกับแม่ พ่อแม่เห็นเราไม่สบายใจก็ทำให้เขาไม่สบายใจไปด้วย

สำหรับสเป็กผู้ชาย ไม่ซีเรียสเรื่องหน้าตา แค่ขอให้เขาดูแลเรา รักครอบครัวเราก็พอแล้ว ขอเป็นคนไม่พูดมาก เพราะเราพูดเยอะแล้ว ถ้าเรามีแฟนแล้วต้องมาทะเลาะ ก็อย่ามีเลยดีกว่า เพราะเราก็ทำงานเหนื่อยอยู่แล้ว ถ้าจะมีแฟนทั้งทีก็ต้องดูแลเราได้ ไม่ถึงกับต้องให้เราอยู่เฉยๆ ให้เงินใช้ต่อเดือน ไม่ต้องขนาดนั้น แค่รับผิดชอบในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบ ดูแลเรื่องพ่อแม่เราได้ ทำให้พ่อแม่สบายใจที่ปล่อยลูกมาอยู่กับเรา ถ้ามีแล้วเรายังเหนื่อยก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งถ้าเราไปหวงหึงยิ่งทำให้เราเศร้าจนไม่อยากไปทำงาน เรียนไม่รู้เรื่อง” เธอกล่าวปิดท้าย


ประวัติ

ชื่อ - นามสกุล    ฐิติรัตน์ บุตรพรม
ชื่อเล่น             ปุยฝ้าย
เกิด                21 ม.ค.2539
อายุ                20 ปี
การศึกษา          กำลังศึกษาที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ คณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ ชั้นปีที่ 3
น้ำหนัก            53 กิโลกรัม
ส่วนสูง            168 เซนติเมตร
ความสามารถพิเศษ เล่นดนตรี ร้องเพลง ชกมวย

สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite

เรื่อง สวิชญา ชมพูพัชร

ขอขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก ณฤดี พุทธธนชัย ,และอินสตาแกรม kanom_nrd ,เหล็กสยาม



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น