ไม่ใช่นางเอกพิมพ์นิยม ไม่ใช่นางเอกหน้าวีเชฟ แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์ "มาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า"
ด้วยรูปหน้ากลมๆ คางเหลี่ยมนิดๆ แก้มป่องหน่อยๆ ดูไม่สวยประชานิยม แต่ก็เป็นที่ชื่นชมของแฟนละครหลายคน เพราะไม่ว่าจะเล่นบทเรียบร้อย กวนๆ หรือ เกรียนๆ ก็ดูน่ารัก น่ามันเขี้ยว แถมยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในนางเอก "เคมีสาธารณะ" ที่เล่นกับใครก็อิน ชวนจิ้นกันไปหมด
ฉันนี่แหละ "มาร์กี้ ราศรี"
"ดีใจค่ะที่มีคนชอบหนูในแบบที่หนูเป็น หน้ากลมๆ หน้าบานๆ (หัวเราะ) และยังชอบการแสดงของหนูที่ไม่ยึดติดว่าต้องเล่นกับคนนี้เท่านั้น แต่ชอบที่หนูเล่นกับใครก็ได้ ซึ่งก็เป็นข้อดีนะคะ (ยิ้ม) เพราะมันเพิ่มโอกาสให้หนูได้เล่น ได้แสดงละครใหม่ๆ คู่กับใครก็ได้"
นางเอกสาวลูกครึ่งไทย-สเปน ลูกหม้อวิก 3 วัย 25 ปี พูดถึงกระแสตอบรับจากคนดู และขอบคุณที่ให้โอกาส และรักในตัวผู้หญิงขายาวๆ หน้าบานๆ ก่อนจะยอมรับตรงๆ ว่าเคยคิดจะไปทำศัลยกรรมเหมือนกัน แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า "การเป็นนางเอก หรือการอยู่ในสังคม มันไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมดก็ได้"
"คนรอบๆ ตัวเกือบทุกคนคือหน้าวีเชฟ (หน้าเรียว) กันหมด ตอนนั้นยอมรับว่าเป๋ๆ นิดหนึ่งนะคะ เอ๊ะ! หรือว่าสิ่งที่ถูกต้องคือ วีเชฟ แล้วหนูก็คิดไปเองว่า ถ้าเราวีเชฟ เราอาจจะดูดีกว่านี้หรือเปล่า อยากไปโบท็อกซ์มาก (ลากเสียงยาว) คือจะไปแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกขึ้นมาเองว่า เฮ้ย! ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมดก็ได้หรือเปล่า
ถ้าฉันอยู่มาได้ขนาดนี้ ทำงานในวงการบันเทิงมาได้ 10 กว่าปีขนาดนี้ แปลว่าวีเชฟ หรือไม่วีเชฟ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยค่ะ หนูก็เลยคิดว่าเอาเวลาไปพัฒนาฝีมือ หรืออย่างอื่นเช่น ดูแลสุขภาพ ดูแลหุ่นให้เฟิร์ม ดูดี เพราะเอาจริงๆ คนไม่ได้ดูหรอกว่า เราหน้าวีเชฟ หรือไม่วีเชฟ"
ดังนั้น ความสวยในแบบ "มาร์กี้ ราศรี" นี่แหละคือสิ่งที่เธอภูมิใจ แถมคุณพ่อยังสั่งห้ามไม่ให้ฉีดอะไรเข้าร่างกายเด็ดขาด เพราะนอกจากความเสี่ยงที่อาจไม่ได้โชคดีเหมือนคนอื่นแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบในระยะยาวตามมาด้วย
"หนูเป็นคนที่หน้าไม่วีเชฟ (เอามือจับหน้าตัวเอง) ซึ่งก็มีคนที่ชอบในแบบนี้กับคนที่รู้สึกว่าหน้าบาน ไปทำเถอะ แต่ส่วนตัวมองว่า ทุกคนมันไม่ต้องหน้าวีเชฟป่ะ แต่ถ้าน้ำหนักเราโอเค หุ่นเราโอเค หน้าวีเชฟ หรือหน้าตุ๊กตาบาร์บี้ก็คงไม่จำเป็นสำหรับหนู ซึ่งก็มีความสวยที่แตกต่างกันออกไป สำหรับหนูจะหน้ากลมๆ มีกรามชัดๆ ซึ่งมันคือข้อดีนะ สามารถเปลี่ยนเป็นผู้หญิงหวานๆ ก็ได้หรือจะออกแนวแมนๆ ลุยๆ ก็ยังได้เลย"
นางเอกสาวเชื่อมั่นในความสวยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เข้าสู่ "กรอบความงามตามมาตรฐานของสังคม" เธอจึงมองว่า มันน่าเสียดายถ้าผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อยๆ แปลงร่างไปสู่ความสวยพิมพ์นิยม หรือความสวยจากการตัดสินด้วยไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้
เมื่อถามเล่นๆ ว่าความสวยของมาร์กี้อยู่ตรงไหน "มีน้อยมากค่ะ (หัวเราะ)" เธอเอ่ยขึ้นทันที "ที่มั่นใจก็คงจะเป็นขาค่ะ มันดูยาว ดูเรียว หนูก็จะมั่นว่าขาฉันยาว ขาฉันเล็ก บางทีก็มีใส่กางเกงขาสั้นบ้าง อะไรบ้าง (ยิ้ม) หลายคนถามว่าทำยังไงให้ขาเรียวเล็ก ตรงนี้น่าจะมาจากกรรมพันธุ์ค่ะ พ่อเป็นคนแขนขาเล็ก แต่เป็นคนเอวหนา หนูก็เลยเป็นคนเอวหนาไปด้วย เป็นเอวกลมๆ หมุน 360 ก็จะเท่าๆ กัน" พูดจบก็หัวเราะยาว
นางเอก (หนัง) เรื่องแรก
หลังจากชวนกันคุยเรื่อง "มาตรฐานความสวย" ซึ่งนับวันจะยิ่งกลายเป็นรูปแบบเดียวกันไปหมด เราก็ชวนคุยกันต่อเรื่อง "ภาพยนตร์" เพราะเธอกำลังจะมีผลงานหนังเรื่องแรกในชีวิต "มหาลัยเที่ยงคืน" ของค่าย M39 (เอ็ม เทอร์ตี้ ไนน์)
"หนูชอบดูหนังค่ะ อยากลองเล่นหนังมานานแล้ว อยากรู้ว่ามันจะเหมือนละครหรือเปล่า มันจะง่ายกว่า หรือยากกว่า คือพูดตรงๆ ว่าหนูอยากเล่นหนังใหญ่มาตลอด แต่ว่า (เว้นช่วง) ด้วยความที่หนูเล่นละครแล้วมันใช้เวลาค่อนข้างเยอะ อีกอย่างคือทางผู้ใหญ่ก็บอกว่าเอาละครเป็นหลักนะ หนูก็เลยยังไม่มีโอกาสที่มีช่วงว่างเล่นหนังใหญ่ บางค่ายโทร. มาชวนหนู แต่หนูติดถ่ายละคร กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลา 6 เดือน บางทีทางค่ายหนังก็รอเราไม่ไหว
แต่พอทางค่าย M39 ติดต่อเข้ามา แล้วหนูมีช่วงว่างพอดี มันเลยโชคดีมาก (น้ำเสียงตื่นเต้น) หนูก็บอกไปว่า พี่ หนูอยากเล่นนะ แต่ถ้าเล่น เดือนหนึ่งถ่ายเสร็จไหม เพราะว่างแค่เดือนเดียว พอทางนั้นโอเค หนูก็ตอบรับเล่นเลยค่ะ" พูดจบก็เผยในสิ่งที่ดูขัดแย้งกันมากๆ
"หนูดูหนังได้ทุกแนวเลยนะ ยกเว้น...ผี (หัวเราะ) แล้วหนูก็มาได้เล่นหนังผี มันช่างดูขัดแย้งกันมากๆ (ลากเสียงยาว) ตอนนั้นหนูไม่รู้เลยว่าเป็นหนังผี ตอนที่ติดต่อเข้ามาเขาบอกหนูว่าเป็นหนังคอมเมดี้ คือสุดท้ายแล้วมันก็คือคอมเมดี้ ซึ่งมันตลกตรงที่ว่า ไอ้คนที่เจอผี มันตลก แต่...มันก็มีพาร์ตของผีที่เป็นพาร์ตผีจริงจัง ไม่ใช่ผีกุ๊กกู๋
ถามว่าเล่นได้ไหม เล่นได้ค่ะ แต่ถ้าให้มานั่งดูในโรงหนังจอใหญ่ๆ ตรงนี้ไม่ไหวค่ะ เพราะหนูเป็นคนกลัวเสียง เรื่องของเรื่องคือไม่ได้กลัวผีนะ แต่จะกลัวเสียงซาวด์ที่มันทำให้เราสะดุ้ง คือ เกลียดมาก (ลากเสียงยาว) แต่เรื่องนี้ก็โอเคค่ะ หนูเป็นคนเล่น เราก็จะรู้ว่าเสียงตกใจมันจะมาตอนไหน"
สำหรับความยากง่ายในการเล่นละครกับภาพยนตร์ แม้จะมีความเหมือนกัน แต่ก็มีความต่างกันในหลายๆ เรื่อง
"ต่างกันที่จังหวะการเล่นค่ะ เวลาถ่ายละครมันต้องรอให้เขาสลับมาที่หน้าเรา แต่หนังคือเล่นไปเลยเต็มที่ ไม่ต้องสนใจกล้องเลย ที่สำคัญคือ ต้องเล่นอินเนอร์เยอะๆ แต่ไม่ต้องแสดงออกทางสีหน้าเยอะมากก็ได้ค่ะ" เธอบอก
ไม่เชื่อ...อย่าลบหลู่
ไม่ถามไม่ได้ถึงประสบการณ์ขนหัวลุกในการเล่นหนังผีเรื่องแรก โดยเฉพาะหนังเรื่องนี้ที่ใช้สถานที่จริง ซึ่งมีการเล่าขานปากต่อปากในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ จริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ส่วนใหญ่บอกว่าจริง (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) เช่น อาคาร 10 มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังย่านกล้วยน้ำไทที่เล่ากันว่า มีห้องเรียนอยู่ห้องหนึ่ง บางครั้งจะมีนักศึกษาไม่ได้รับเชิญแต่งชุดดำมานั่งเรียนด้วย พอหันไปมองอีกทีปรากฏว่าไม่มีใคร
หรือชั้น 15 ของตึกคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชื่อดังแห่งหนึ่ง เล่ากันว่า เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมีนักศึกษาหญิง ถูกข่มขืน และถูกฆ่าตายที่ชั้น 15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปชั้นนั้นคนเดียวในช่วงเย็น เพราะวันดีคืนดีอาจได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ หรือบางครั้งเข้าห้องน้ำแล้วมองออกไปที่กระจกก็จะเห็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าอยู่ แต่พอเปิดประตูออกไปก็ไม่พบใคร
"แต่หนูไม่เจออะไรเลยนะ" เธอเอ่ยขึ้นเมื่อถูกถามถึงประสบการณ์ขนหัวลุก "หนูเป็นคนไม่มีเซนซ์อะไรในเรื่องนี้เลยค่ะ (ยิ้ม) ส่วนตัวไม่ได้เชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หนูก็ไม่ได้ไปลบหลู่นะ ตอนถ่ายพี่ๆ ทีมงานก็ไม่ได้บอกอะไรหนูนะ พี่ๆ เขาคงไม่อยากให้หนู และนักแสดงคนอื่นเกิดอาการกลัว หรือหลอนอ่ะค่ะ"
สตาร์ VS มาร์กี้
"เป็นลูกคนเดียว บ้านรวย พ่อตามใจ สวยด้วยไง (หัวเราะ) ก็เลยเป็นดาวมหา'ลัย มั่นไปอีก ผู้ชายชอบ มองไปอีก แต่ก็มีความโก๊ะ แถมยังโง่ภาษาอังกฤษ เรียนไม่จบ เรียนแล้วเรียนอีก พ่อก็เลยบอกว่า ถ้ายังเรียนไม่ผ่าน พ่อจะไม่ส่งไปเรียนเกาหลี ซึ่งเป็นความฝันของเราในการจะไปเป็นนักร้อง และเป็นซูเปอร์สตาร์"
ทั้งหมดนี้ คือคาแร็กเตอร์ของตัวละคร "สตาร์" ที่เธอรับเล่นในหนังเรื่องนี้ ถามว่ามีความเหมือนหรือต่างกับตัวตนมากน้อยแค่ไหน นางเอกสาวนิ่งคิด ก่อนจะตอบว่า "ความโก๊ะเลยค่ะ (หัวเราะ) และมันก็จะมีบางจุดที่คล้ายๆ กัน เช่น เนี่ยแหละมั่น เนี่ยแหละสวย เนี่ยแหละเซ็กซี่สุดๆ (หัวเราะ) แต่ภาพความมั่นใจที่เราคิด มันอาจจะขัดแย้งกับคนที่มองเข้ามา ซึ่งเขาก็จะแบบ..เหรอ สวยแล้วเหรอ เซ็กซี่แล้วเหรอ
อย่างเวลาไปเที่ยวผับกับกลุ่มเพื่อน หนูก็มั่นใจของหนูว่า เต้นท่านี้แซ่บสุด แต่พอเพื่อนๆ มองเข้ามา แกเต้นท่าอะไร เก็บท่านี้กลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ ท่าไม่ผ่าน หนูก็ได้แต่บอกว่า เหรอๆ แต่ฉันว่ามันโอเคนะ เกาหลีเขาก็เต้นกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ เพื่อนก็บอกว่า ท่าเดียวกัน แต่เธอเต้นออกมาไม่เหมือนเขาเลย อะไรทำนองนี้ค่ะ" เล่าไปหัวเราะไปกับความมั่นของตัวเองที่บางครั้งคนที่มองเข้ามาก็อาจไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
"ชีวิต" ไม่ต้องคิดเยอะก็ได้
ด้วยสภาพครอบครัวที่เลี้ยงดูมาในแบบง่ายๆ ไม่เครียดอะไร ออกแนวตลกๆ โปกฮาทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ทำให้เธอเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่คิดอะไรมาก เพราะเธอมองว่า "คิดน้อย สุขเยอะ คิดเยอะ สุขน้อย" นี่คือหลักคิดในการใช้ชีวิตของนางเอกสาวคนนี้
"หนูเติบโตในครอบครัวปกติ ธรรมดาทั่วไปค่ะ แม่ก็สอนเสมอว่าตรงต่อเวลานะ อย่าบ่น งานทุกงานมันเหนื่อยเหมือนกันหมด ต่างกันแค่ว่าจะเหนื่อยแบบไหน แต่มันไม่มีงานไหนที่มันไม่เหนื่อยหรอก นอกจากนั้นจงทำในสิ่งที่เรามีความสุข และไม่เดือดร้อนคนอื่น นี่คือสิ่งที่แม่จะสอนหนูค่ะ ส่วนความโก๊ะๆ เปิ่นๆ ก็เพราะครอบครัวหนูเป็นครอบครัวที่ตลกค่ะ ง่ายๆ ไม่เครียดอะไร เสาร์อาทิตย์พากันทะเล ที่บ้านเลี้ยงดูแบบปล่อย ลงไปดิ้นกับพื้นได้ (หัวเราะ) แต่ต้องอยู่ในขอบเขต ไม่ได้เลี้ยงแบบคุณหนูหรือเจ้าสำอาง"
ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า "ครอบครัว" มีผลอย่างมากต่อทัศนคติในการมองโลกของเธอ ยกตัวอย่างการลงรูปบนอินสตาแกรมที่ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเยอะขนาดนั้น "บางทีก็มีคนสอนหนูเหมือนกันนะคะว่า ถ้าลงรูปคู่ในไอจีต้องมีลงรูปนี้คั่น หรือถ้าขายของก็ต้องเอาอันนี้คั่น หนูรู้สึกแบบ...มันเยอะไปไหมอ่ะ ชีวิตไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นก็ได้มั้ง ส่วนตัวอยากลงอะไรก็ลงค่ะ
หรือบางทีช่วยเพื่อนขายของก็มีคนมาบอกว่า อย่าเพิ่งขายของให้คนนั้นสิ เพิ่งขายของให้คนนี้ไปเอง มันติดกันเกินไปหรือเปล่า หนูมองว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย คือ..ไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นก็ได้ อะไรที่เราทำได้เราก็ทำ อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วย อะไรที่เราอยากลงเราก็ลง แค่นั้นเองค่ะ ชีวิตจะไปอะไรมาก แต่การลงภาพก็ต้องดูด้วยว่ามันถูกกาลเทศะหรือเปล่า หรือส่งผลกระทบต่อใครหรือเปล่า"
ส่วนอีกเรื่องที่งานเข้าเต็มๆ ก็คือ ความสงสัยเกี่ยวกับระบบการฝากร้านในอินสตาแกรมที่โพสต์ข้อความชวนแฟนๆ มาร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องการฝากร้าน โดยระบุว่า 1.ทำไมถึงต้องฝากร้านในไอจีคนอื่น 2. คิดว่าการฝากร้านในไอจีคนอื่นมันโอเคเหรอ 3.กดฝากกันเองหรือจ้างคนอื่นทำคะ จุดประเด็นดรามาชวนให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และแฟนคลับเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างดุเดือด ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่บอกว่าไร้น้ำใจ และฝ่ายที่ไม่สนับสนุนให้ไปฝากร้าน เพราะดารา แฟนคลับก็ต้องการอ่านคอมเมนต์ที่พูดคุยถึงรูปนั้นๆ มากกว่า
"ที่โพสต์ตอนนั้น คนก็คิดเยอะกันเกินไป หนูแค่อยากรู้ว่ามันเวิร์กมั้ย มันได้ผลจริงเหรอ ส่วนตัวคิดว่าอาจจะได้ผลแค่บางร้านที่กำลังเป็นกระแส เช่น ช่วงนี้นิยมแว่นรุ่นนี้ คนอยากได้พอดี การฝากร้านก็อาจจะช่วยได้ แต่อะไรที่กว้างมากๆ เสื้อผ้าเกาหลี ยาลดน้ำหนักก็อาจจะไม่เวิร์ก ส่วนตัวก็ไม่ได้อะไรค่ะ ภาพที่ไม่อยากอ่านคอมเมนต์อะไรมากก็จะไม่ปิดกั้น อนุญาตให้ฝากร้านได้เลย แต่บางภาพ ถ้าหนูอยากอ่านคอมเมนต์ ภาพนั้นก็จะเขียนว่า 'งดฝากร้าน' แต่ก็ยังมีคนฝากกันอยู่ ซึ่งก็มีน้อยค่ะ พอมีเข้ามาหนูก็ลบค่ะ ลบๆๆ (หัวเราะ)"
ภาพคู่มาถี่ ภาพงานไม่ค่อยมี?
หากใครได้ติดตามอินสตาแกรมของนางเอกสาวคนนี้ @margie_rasri อาจไม่ค่อยได้เห็นเบื้องหลังการทำงานเหมือนดาราคนอื่นๆ สักเท่าไร เรื่องนี้เธอชี้แจงว่า "เวลาทำงานหนูจะไม่จับมือถือเลยค่ะ หนูจะทิ้งไว้ในห้องแต่งตัว จากนั้นก็ออกไปถ่ายละคร หนูก็เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสถ่ายเบื้องหลังกองละคร ซึ่งหนูจะได้เบื้องหลังจากกล้องของทีมงาน แต่กว่าพี่ๆ เขาจะเอารูปมาให้ก็ตอนละครจะออนแอร์แล้ว หนูก็เลยมีรูปเบื้องหลังเอามาโปรโมตในตอนนั้น"
ส่วนภาพคู่กับหวานใจไฮโซ "ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์" ที่ดูจะลงถี่มากกว่าภาพงาน ตรงนี้เธอบอกสั้นๆ ว่า "หนูก็ลงสลับๆ กันไปค่ะ เอาจริงๆ หนูไม่ค่อยชอบถ่ายรูปนะ บางทีลงไอจีวันละรูป หายไป 2 วันก็มาลงอีกรูปหนึ่ง ส่วนตัวเข้าใจค่ะ บางคนอยากเห็นเบื้องหลังกองละคร ซึ่งคงต้องถ่ายให้มากขึ้นหรือเปล่า" พูดจบก็หยิบเรื่องกระแส Live สดขึ้นมาเชื่อมโยง "ล่าสุดหนูเพิ่งทำเฟซบุ๊ก ซึ่งทำมาเพื่อ Live โดยเฉพาะ แต่ยังไม่ได้เล่นเลยค่ะ (หัวเราะ)
ตรงนี้อาจจะทำให้มันดูน่าสนใจ และน่าติดตามมากว่าในไอจี เพราะภาพหนึ่งภาพไม่น่าจะอธิบายอะไรได้เยอะขนาดนั้น ดังนั้น Live มันน่าจะตอบโจทย์มากกว่าในเรื่องการดูเบื้องหลัง เช่น วันนี้เรามาทำงานกับใคร มีอะไรน่าสนใจบ้าง ก็จะทำให้ดูสัก 5-10 นาที"
ทำไมต้องเป็น "เธอ"
สำหรับความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม "ป๊อก" เธออัปเดตให้ฟังว่า "คบหาดูใจกันได้ 2 ปีแล้วค่ะ พี่ป๊อกก็โอเคนะคะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็เป็นคนเอาใส่ใจ น่ารัก เขาค่อนข้างเป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นๆ รวมถึงตัวหนูด้วย เวลาอยู่ด้วยกันแล้วสนุกดีค่ะ นอกจากนั้นเขายังเป็นที่ปรึกษาในหลายๆ เรื่อง ช่วยคิด ช่วยให้คำแนะนำ อยู่ด้วยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า
ถามว่าคนนี้ใช่ยัง "ก็โอเคอยู่ค่ะ (ยิ้ม) หนูก็ไม่ได้ปรับอะไรมาก อะไรที่ชอบไม่ชอบก็บอกกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกวันนี้ได้เจอครอบครัวพี่เขาตามโอกาสต่างๆ ส่วนอนาคตก็ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) แค่ทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด อันไหนทำแล้วมีความสุขก็ทำกันไป" ยกตัวอย่างการชวนกันไปออกกำลังกาย แม้ช่วงแรกๆ จะไปด้วยกัน แต่ช่วงหลังๆ ทำไมต้องแยกกันไป เรื่องนี้เธอมีคำตอบอยู่ในบรรทัดด้านล่างนี้
"ช่วงหลังๆ ไม่ได้ชวนไปค่ะ เพราะหนูไปสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ การออกกำลังกายของผู้หญิงกับผู้ชายมันไม่เหมือนกันนะ ถ้าฟิตแอนด์เฟิร์มทั่วไป อันนี้ได้ แต่ถ้าเฉพาะส่วนจริงๆ อย่างหนูเล่นก้นกับต้นขา ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องที่พี่ป๊อกจะมาเล่นก้น อยากก้นเด้งเหรอ หรือยังไง (หัวเราะ) ผู้ชายก็คงอัดไปที่ช่วงแขน อก แต่เราแขนอกไม่ได้
หนูเคยไปเล่นกับเขานะ ต้องถือดัมบ์เบล โอ๊ย! มาร์กี้เอ๊ย ไหล่มาใหญ่มากเลยค่ะ เห็นได้ชัดเลยว่าไหล่ใหญ่ เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ไหล่กว้างอยู่แล้ว ยิ่งไปถือน้ำหนัก วิดพื้น ไปกันใหญ่เลยค่ะ หลังๆ ก็เลยแยกกันไปเล่นดีกว่า"
พูดถึงเรื่อง "ออกกำลังกาย" เห็นฟิตอย่างหนักจากภาพที่โพสต์ในอินสตาแกรม "นี่กำลังสร้างกล้ามท้องอยู่หรือเปล่า"
"หนูไม่ได้จะสร้างกล้ามท้องถึงขนาดต้องมีซิกแพกค่ะ" เธอบอก "หนูแค่อยากให้มันดูสมส่วน คือตอนนี้พอหนูแขนขาเล็กมาก แล้วมองข้ามช่วงเอว ช่วงหน้าท้อง มันเลยทำให้เราดูตัวใหญ่ เพราะฉะนั้น ต้องฟิตให้เฟิร์ม ซึ่งการลดน้ำหนักอย่างเดียวมันไม่พอ ยิ่งลด ขาก็ยิ่งเล็กไปอีก แขนก็เล็กไปอีก
ดังนั้น หนูจึงมาเน้นเฉพาะส่วนมากขึ้น ถ้าไม่ทำตอนนี้ หนูก็ยิ่งแก่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรอก็ยิ่งทำยากขึ้น ระบบเผาผลาญก็แย่ลง อายุก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้คือวันที่หนูยังมีกำลัง ยังมีแรงในการออกกำลังกาย วันนี้แหละ ต้องเริ่มตอนนี้เลยค่ะ"
ถึงวันนี้ แม้จะทำงานทุกวัน จันทร์ถึงอาทิตย์ แต่บางวันที่ไม่ได้มีงานเต็มวัน เธอจะแบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกาย รวมไปถึงเวลาส่วนตัวกับหวานใจ ปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 12 แล้วสำหรับการทำงานในวงการบันเทิง แม้จะทำมาเกือบหมดแล้วทั้งพิธีกร นักแสดง นักร้อง แต่อีกหนึ่งอย่างที่ยังไม่ได้ทำก็คือ "ละครเวที" และนี่คือความลับที่เธอไม่เคยเปิดที่ไหนมาก่อน
"หนูเป็นคนกลัวเวทีมากค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้ว่าหนูไม่โอเคกับการอยู่บนเวที ไม่ว่าจะเป็นเวทีอีเวนต์ หรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าหนูอยู่สูงกว่าคนทั่วไปแล้วมีคนมองขึ้นมา ตรงนั้นไม่โอเคเลยค่ะ มันจะเกร็ง ตื่นเต้น ประหม่า ทุกอย่างเลย ดังนั้นทุกครั้งที่ขึ้นไปบนเวที อยู่ที่ว่าเราจะซ่อนไม่ให้คนรู้ได้มากน้อยแค่ไหน" ตรงนี้เองที่เป็นอีกหนึ่งตัวสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพที่ไม่มีข้ออ้างใดๆ ในการทำงาน
"หนูตั้งใจทำให้เต็มที่ทุกงานค่ะ จริงจังกับทุกงาน เพราะหนูก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไปจนถึงอายุเท่าไร หรือจะได้เล่นเป็นนางเอกอีกนานแค่ไหน ดังนั้นทุกๆ งานหนูจะทำให้ดีที่สุด เพื่อที่ว่าในอนาคตหนูจะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่า ในวันที่ฉันมีโอกาส ทำไมฉันไม่ทำมัน"
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม @margie_rasri
//////////////////////
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : มาร์กี้ ราศรี บาเล็นซิเอก้า
วันเกิด : 22 สิงหาคม 2533
อายุ : 25 ปี
การศึกษา : มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) คณะบริหารธุรกิจ เอกการโรงแรม
ความสามารถ : กีฬาเทควันโด, บาสเกตบอล, ขี่ม้า, เวคบอร์ด, ภาษาอังกฤษ และสเปน
ผลงานปัจจุบัน : กำลังจะมีละครเรื่องอาคมประกบคู่ 'เจมส์ มาร์' และภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต "มหาลัยเที่ยงคืน" รับบท "สตาร์" ร่วมกับ โทนี่ รากแก่น, บริบูรณ์ จันทร์เรือง (เข้าฉาย 28 กรกฎาคม 2559)
รางวัลที่ได้รับ : ดาวรุ่งหญิงจากเวทีสีสันบันเทิงอวอร์ด ปี 2551, รางวัลเซเวนทีนชอยส์อวอร์ดส สาขานักแสดงคู่ขวัญ เคมีตรงกันแบบสุดๆ ร่วมกับปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ปี 2556, รางวัลฮาว อวอร์ด 2015 สาขานักแสดงหญิงมากความสามารถและเป็นที่ยอมรับของประชาชน, รางวัลดาวเมขลา สาขานักแสดงมากความสามารถ ปี 2559 เป็นต้น
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754