xs
xsm
sm
md
lg

อย่าเชื่อ! 9 เรื่องสุขภาพที่แชร์สนั่นโซเชียล มีเหตุผลทางแพทย์มาบอก/นพ.กฤษดา ศิรามพุช

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ Health Insight โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช

ท่วงทำนองของเพลงที่เกี่ยวกับสายน้ำ มักให้ความรู้สึกเย็นจนบางทีหลับตาคิดเรื่อยเปื่อยแล้วเห็นกระแสน้ำไหลเรื่อยผ่านหน้าไป ซึ่งเพลงประเภทนี้ เช่น บลูดานู้บ หรือลุ่มเจ้าพระยาแบบบ้านเรา ต่างก็ให้ความรู้สึกสุขเย็นสบายอกสบายใจได้เหมือนกัน

ยุคนี้อยากฟังเสียงเบลาเออร์โดเนา ก็แค่กระดิกนิ้วเปิดยูทูบ์ฟังก็ได้ยินเสียงสายน้ำกล่อมที่บ้านและออฟฟิศได้ จะเลือกเอาเวียนนาไควร์บอยกล่อมหรือวงออเคสตร้าไหนก็ตามสบาย ซึ่งเรื่องของข้อมูลออนไลน์ทั้งหลายนั้นหาได้แค่ปลายนิ้วแสนสะดวกสบาย

ทำให้คนที่ต้องรีบใช้ข้อมูลหยิบไปใช้ได้ทันท่วงที

ส่วนข้อเสียก็คือ คนที่ไม่ได้กลั่นกรองก็อาจ “เชื่อ” แล้ว “ทำตาม” หรือว่าเชื่อแล้วคิดว่าเรื่องราวเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำให้คนที่ถูกใส่ความนั้นตกเป็นจำเลยสังคม

เรียกว่าเป็นเหยื่อโซเชียลไป

คนไม่รู้ไม่ผิดครับ แต่คนที่รู้แล้วยังไม่แก้นั้นน่าห่วงจริงๆ ด้วยทุกวันนี้มีสิ่งที่กระจายกันไปในโซเชียลแพล็ทฟอร์ม ซึ่งหลายอย่างเป็นกิจกรรมน่าสะพรึง แต่คนที่ไม่ทราบรายละเอียดทางการแพทย์ดีพอก็อาจเผลอไปทำตามได้ จึงขอรวบรวมมาให้เป็นหมวดหมู่

จะได้จับตาดูแล้วคอยระวังกิจกรรมต่อไปนี้ครับ

9 กิจกรรมสายโหดที่อาจเป็นโทษได้

1) อดอาหารเพื่อลดน้ำหนักหรือหน้าเด็ก การลดหุ่นแบบ “อดมื้อกินมื้อ” ถือว่ามีข้อเสียต่อสุขภาพ เช่น ถ้าอดมื้อเช้าก็จะมีความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2, โคเลสเตอรอลพุ่ง, ความดันขึ้น และโรคหลอดเลือดหัวใจ (CHD) เพิ่มขึ้น ดังมีการศึกษาจากฮาร์วาร์ดที่ลงตีพิมพ์ใน Circulation ยืนยันอยู่

ส่วนถ้าอดมื้อเย็นดังเช่นในไลน์ที่แชร์กัน ก็จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริง แต่สิ่งที่เสี่ยงคือ อาจเกิดอาการกรดไหลย้อนกำเริบ,โรคกระเพาะถามหาหรือว่านอนไม่หลับ ซึ่งทางออกเพื่อให้เราปลอดภัยด้วยก็คือ กินมื้อเย็นให้เบาลงเช่นสลัดผัก, ผลไม้สด หรือนมถั่วเหลืองครับ

2) ดื่มน้ำมะนาวโซดา การหาเครื่องดื่มที่โด่งดังในโลกออนไลน์ว่าแก้มะเร็งได้นั้นต้องทราบความจริงให้หมดว่ายังไม่มีการศึกษาเชิงประจักษ์ในทางการแพทย์รับรอง

แต่ข้อดีคือมันก็ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด ถ้าเราดื่มอย่างไม่คิดว่ามันต้องเป็นยารักษามะเร็ง (ไปรักษาเป็นเรื่องราวจะปลอดภัยกว่า) แล้วในคนที่ว่ามันเป็นน้ำด่างนั้น ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่าน้ำมะนาวเป็นกรดอยู่แล้วส่วนโซดาก็เป็นกรดคาร์บอนิก ดังนั้นท่านที่มีปัญหากรดไหลย้อนหรือโรคกระเพาะจึงไม่ควรดื่มตอนท้องว่าครับ

3) กินผลไม้ก่อนอาหาร มีคำถามถึงกิจกรรมนี้ว่าจริงหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วผู้ฟังที่ถามผมขณะบรรยายมักเป็นท่านที่มีประสบการณ์ดูแลสุขภาพมาเป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องนี้ก็ยินดีไขให้ว่า “ไม่จำเป็น” ครับ คนเราสามารถกินผลไม้หลังอาหารได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ควรกินผักที่เป็นพืชก่อนอาหารเช่นกันสิครับ

สำหรับข้อเสียของการกินผลไม้ก่อนอาหารนั้น อาจทำให้ท้องอืดง่ายขึ้นและกินอาหารได้น้อยหรือในท่านที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวนอยู่แล้วจะชวนให้อึดอัดได้มากขึ้นครับ

4) กินไข่ดิบดองน้ำส้มสายชู เคยเป็นราวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์สาขาหนึ่งเมื่อนานมา ซึ่งในตอนนั้นผมเคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไว้ว่าเป็นห่วงเรื่องการกิน “ไข่ดิบ” เพราะไข่ดิบนั้นอาจมีเชื้อโรคทางเดินอาหารคือ “ซัลโมเนลล่า”

ส่วนในทางโภชนาการนั้นโปรตีนไข่ดิบก็ไม่ใช่จะย่อยง่ายนัก ซึ่งถ้าจะว่าแช่อยู่ในน้ำส้มสายชูแล้วน่าจะปลอดภัยแล้วได้คุณค่า---มันเก๊าะบ่แน่ดอกนาย

5) บริโภคใบทุเรียนเทศแก้มะเร็ง เรื่องนี้ no no อย่างแรงครับ เพราะใบทุเรียนเทศมีประโยชน์อยู่ที่สาร “แอนโนนาซิน” ที่ชื่อเพราะราวกับสาวงามแต่มาพร้อมความตายของเซลล์ประสาทเพราะมันคือ พิษต่อประสาทและอาจทำให้เกิดการเสื่อมของเนื้อสมอง พร้อมอาการคล้ายพาร์กินสันสั่นงั่กครับ

พูดให้เคลียร์ก็คือ สารนี้มีคุณและโทษไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นการกินใบทุเรียนเทศสดจึงเท่ากับกินบุญและบาปเข้าไปด้วย ซึ่งผลเสียนั้นน่ากลัวกว่า เพราะมันทำให้สมองเสื่อมได้อย่างถาวร

6) กินทุเรียนลดความอ้วน ราชาแห่งผลไม้นี้มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ตรงที่มีสารช่วย “ลดไขมัน” ที่ต้องไม่เข้าใจผิดว่า “ลดความอ้วน” นะครับ เพราะการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าทุเรียนหมอนทองที่สุกกำลังดีนั้นช่วยลดไขมันร้ายในเลือดได้จริง

แต่ก็ไม่ได้หมายความให้รับประทานกันทีละลูกหรือกินในปริมาณจุใจเพื่อให้ลดไขมันได้นะครับ เพราะการลดไขมันในเลือดที่แท้จริงนั้น จะต้องประกอบด้วยอาหารที่หลากหลายและออกกำลังกายเรียกไขมันดีด้วยครับ

7) กินยากับส้มโอ ข้อนี้ต้องรู้ไว้เพราะในเมืองนอกจะห้ามกินยาบางชนิดกับ “เกรฟฟรุต” แต่ในบ้านเรามีญาติของเกรฟฟรุตเรียก “ส้มโอ” ที่ลูกโตน่ากินรวมถึงญาติกลุ่มซิตรัสของมันอีก ซึ่งการกินยาในกลุ่มลดความดัน (felodipine), ยาลดไขมัน(atorvastatin), ยาหัวใจ(amiodarone), ยานอนหลับ(diazepam) และยากับส้มโอนั้น มีโอกาสที่ไปขวางเอนไซม์ในตับกับผิวลำไส้เล็ก ทำให้ผลลัพธ์คือยานั้นอาจออกฤทธิ์แรงจน “เป็นพิษ” ต่อร่างกายได้

แม้จะดื่มน้ำผลไม้นั้นไปแค่แก้วย่อมๆ แก้วเดียว (โดยเฉพาะยาที่ low therapeutic index) เห็นไหมครับว่าบางทีการกินยากับเครื่องดื่ม หรือผลไม้ที่ดูง่ายๆ ก็เป็นกิจกรรมที่ต้องระวังไว้เช่นกัน

8) กินน้ำมันปลากับแอสไพริน ไม่ควรอย่างแรงครับ เพราะทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสายโหดของการทำให้เลือดออกตามที่ต่างๆ ของร่างกาย ด้วยน้ำมันปลาก็ทำให้เลือดใสไม่จับลิ่มไหลโจ๊กดีอยู่แล้ว แอสไพรินก็ยิ่งไปช่วยให้เลือดไหลคล่องกลายเป็นศึกวันแดงเดือดไป ซึ่งในเรื่องนี้ถูกมองข้ามไปหลายทีเพราะหลายคนลืมนึกถึงหลักอายุรวัฒน์ไปครับ

9) ออกกำลังตอนเช้าแล้วตับพัง ผมว่าออกกำลังยังไม่ใช่สิ่งน่ากลัวขนาดนั้นครับถ้าเราออกอย่างเหมาะสมและดูแลตัวให้ดี นอกจากนี้ตัวผมเองก็ยังไม่เคยเห็นคนไข้ตับวายจากการออกกำลังจนต้องมาเปลี่ยนตับสักที

ดังนั้นการออกกำลังตอนเช้าก็ยังดีกว่าไม่ออกกำลังเลยครับ เพราะสภาพสังคมยุคนี้ผมเข้าใจดีว่าถ้าสะดวกตอนไหนก็ต้องออกตอนนั้นเพียงแต่ต้องพักผ่อนให้พอ และไม่ควรออกกำลังตอนท้องว่างหรือหิวจัดเพราะจะเป็นการทำลายร่างกายจากสาร “คอร์ติซอล” มากกว่า โดยทางออกคือออกกำลังตอนเช้าได้แต่จิบน้ำเต้าหู้รองท้องไว้ก่อนสักแก้วครับ

ดูไปแล้วมีกิจกรรมที่เข้ามาในชีวิตประจำวันเราเยอะอยู่พอดูนะครับ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะเทคโนโลยีที่ชวนให้เราเห็นภาพ และได้ยินเสียงมีอยู่รอบตัวจึงมีข้อมูลเข้ามาอย่างไม่หยุด โดยที่สุดแล้วผู้ที่จะฉลาดกว่าสมองกลออนไลน์พวกนี้ก็คือ “ตัวเรา” ที่เข้าใจหลักอายุรวัฒน์ที่เป็นการแพทย์ทั่วไปที่เน้นเหตุผลและตรรกะอันมีสิ่งรองรับ

ว่าแล้วก็ฟังกัปตันฟอนแทรปป์ครวญเพลงเอเดิลไวส์ต่อไป



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น