xs
xsm
sm
md
lg

สะเทือนวงการศึกษาไทย! หมอโพสต์ "พ่อขอโทษที่ปลูกข้าวผิดนา"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


โพสต์สะเทือนระบบการศึกษาไทย "รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์" แพทย์ชื่อดัง ในฐานะคุณพ่อลูกสอง เปรียบการศึกษาไทยเหมือนผืนนาที่แห้งแล้ง ทำลูกสาวที่เปรียบเหมือนข้าว ปลูกขึ้นยาก ไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านการเรียน เชื่อลูกสาวเป็นเด็กเก่ง หลังไปเรียนต่อป.โทที่ญี่ปุ่นถึงกับทึ่ง ลูกสาวได้เกรด 3.9-4.0 ทุกเทอม การมองชีวิต สังคม และโลกเปลี่ยนไปมาก เผยญี่ปุ่นมีความเจริญกว่าไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะ "ความคิด" ที่ไทยยังไม่เข้าใจเลยว่าคืออะไร

"ลูกเป็นข้าวพันธุ์ดี แต่นาที่บ้านเมืองเราแห้งแล้งเกินไป เลยปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น และนี่คือความจำเป็นที่ลูกต้องมาเรียนไกลบ้านซึ่งมีที่นาดีกว่าเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าข้าวของพ่อเป็นข้าวพันธุ์ดี ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พ่อเคยฝังไว้ในความคิดและความจำมาตลอดเวลา ขอโทษนะลูก" เป็นส่วนหนึ่งของข้อเขียนที่โพสต์บนเฟซบุ๊ก "อาจารย์วิทยา ถิฐาพันธ์" คุณพ่อลูกสองที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการศึกษาในไทย

แม้จะมีความคิดเห็นทั้งแบบนิ่มนวล และดุเดือดเลือดพล่านเข้ามาจำนวนมากจากการได้อ่านข้อเขียนฉบับเต็ม แต่เขาก็ยินดีน้อมรับเพื่อการเรียนรู้ และมีความหวังว่า ประเทศไทยจะกลับมาจริงจังกับการแก้ไข และพัฒนาระบบการศึกษาไปในทางที่ดีขึ้น เข้าใจเด็กมากขึ้น

นี่คือข้อเขียนฉบับเต็มที่ทีมข่าวผู้จัดการ Live ขออนุญาตหยิบยกมานำเสนอต่อ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าในทัศนะของคุณพ่อคนหนึ่งที่สะท้อนถึงระบบการศึกษาไทย และต้องการสื่อสารไปถึงพ่อแม่ทุกคน โดยเฉพาะการมองลูกให้ออกว่าเป็นคนอย่างไร เพื่อส่งเสริมอย่างถูกทาง และช่วยให้ลูกมีความสุขในเส้นทางของตัวเอง

"พ่อขอโทษที่ปลูกข้าวผิดนา

3 เมษายน พ.ศ. 2559 ผม และภรรยาเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อส่งลูกสาวคนโตกลับไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยไปส่งหลายครั้งแล้ว หวังว่าอีกไม่นานเราก็จะไม่ต้องพบกับสภาพ "พานพบเพื่อพลัดพราก จำใจจากเพื่อรอเจอ" กันอีกแล้ว ผมมีลูกสาวสองคน ลูกคนโตของผมเป็นคนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเรียนในระบบของประเทศไทยสักเท่าไร เพราะผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์แค่เอาตัวรอดได้เท่านั้น

พ่อขอโทษที่ปลูกข้าวผิดนา3 เมษายน พ.ศ. 2559 ผมและภรรยาเดินทางไปสนามบินสุวรรณภุมิเพื่อส่งลูกสาวคนโตกลับไปเรียนต่อที่ญี่ป...

Posted by อาจารย์วิทยา ถิฐาพันธ์ on Monday, April 4, 2016


ไม่เคยได้เกรด 4 ทุกวิชา ไม่ใช่นักเรียนชั้นแนวหน้าของห้องเรียน ยิ่งถ้าพูดลงลึกเข้าไปอีก ต้องบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างสมองมาเพื่องานทางวิทยาศาสตร์ให้กับเธอเลย เพราะผลการเรียนทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เธอแย่มาก ทุกครั้งที่สอบวิชาเหล่านี้ พ่อแม่ต้องลุ้นระทึกเสมอ

แต่เพราะผม และภรรยาช่วยกันเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ไม่ฝากใครเลี้ยง ไม่มีพี่เลี้ยงเด็ก ผมดูลูกอย่างใกล้ชิดมาตลอด ผมสังเกตว่า ลูกสาวคนโตของผมเป็นคนช่างซัก ช่างถาม ช่างสงสัยตั้งแต่เด็ก เช่น ทำไมเราต้องเรียนเรื่องร้อยละ ทำไมเรียนแค่บวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้หรือ ทำไมต้องเรียนเรื่องเลขยกกำลัง ทำไมต้องเรียนถอดสมการที่ยุ่งยาก ทำไมนิวตันต้องสร้างกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ยุ่งยากและจับต้องไม่ได้ให้เธอเรียน

ทุกคำถามของเธอ ไม่เคยมีใครให้คำตอบที่ถูกใจเธอเลย ส่วนมากของคำตอบจากครูบาอาจารย์และสารพัดผู้รู้ในประเทศนี้ ก็คือ เรียนๆ ไปแล้วก็จะเห็นประโยชน์เอง ผมมีความรู้สึกลึกๆ แต่ไม่กล้าบอกใครว่า ลูกสาวคนโตของผมน่าจะเป็นเด็กเก่งอยู่เหมือนกัน แต่ในแนวที่ไม่ค่อยจะเหมือนเด็กเก่งที่พบกันดาษดื่นในประเทศไทย และเชื่อว่าโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในเมืองไทยดูลูกผมไม่ออก บอกไม่ได้ และหาโรงเรียนที่เหมาะกับลูกผมยาก

ภายหลังจบปริญญาตรีที่จุฬาฯ ผมเสนอเชิงขอร้องให้เธอไปเรียนปริญญาโทต่อที่ต่างประเทศจะในสาขาวิชาอะไรก็ได้ และในมหาวิทยาลัยอะไรก็ได้ โดยหวังเพียงให้เธอได้ไปเรียนรู้วิธีคิดที่ดีกว่าในบ้านเรา เธอตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่ Keio University ประเทศญี่ปุ่นในสาขา Innovative Design เพราะถูกจริตและมีเนื้อหาวิชาให้คิดสิ่งใหม่ๆ มากมาย

เกือบสองปีแล้วที่เธอไปอยู่ญี่ปุ่นกับการเรียนในแบบที่เธอชอบ คือ การมีโอกาสได้แสดงความคิด ความสามารถ ให้คนอื่นรับรู้ ไม่ต้องนั่งท่องจำ หรือทำข้อสอบประเภทต้องเลือกข้อที่ถูกตามความเห็นของคนออกข้อสอบ ผลการเรียนของเธอดีกว่าในเมืองไทยอย่างชัดเจน การมองชีวิต สังคม และโลก ของเธอเปลี่ยนไปมาก

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผลการเรียนของเธออยู่ในเกณฑ์ดีมาก ประมาณ 3.9-4.0 ทุกเทอม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมฝันอยากได้ ที่ผมอยากได้และผมได้แล้วก็คือ ลูกผมเข้าใจแล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นมีความเจริญกว่าไทยในทุกด้านอย่างเทียบกันไม่ได้เลย และสิ่งสำคัญที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็เพราะ "ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่เคยหยุดนิ่งทางความคิด" ในขณะที่ประเทศไทยนั้นยังไม่เข้าใจเลยว่า "ความคิด" คืออะไร

ผมเคยคิดว่าลูกสาวผมเป็นข้าวพันธ์ุไม่ค่อยดีปลูกขึ้นยาก แต่เมื่อเปลี่ยนให้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นจึงทำให้ผมได้รับรู้ว่าผมเข้าใจผิดมาตลอด

"ลูกเป็นข้าวพันธุ์ดี แต่นาที่บ้านเมืองเราแห้งแล้งเกินไป เลยปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น และนี่คือความจำเป็นที่ลูกต้องมาเรียนไกลบ้านซึ่งมีที่นาดีกว่าเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าข้าวของพ่อเป็นข้าวพันธุ์ดี ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พ่อเคยฝังไว้ในความคิดและความจำมาตลอดเวลา ขอโทษนะลูก"

ก่อนจะฝากกลอนทิ้งท้ายว่า "ถ้าเรียนได้ เกรดสี่ วิถีไทย / ถ้ามุ่งมั่น ตั้งใจ ทำตามสอน / ถ้าเลียนแบบ ทำตาม ทุกขั้นตอน / จงว่านอน สอนง่าย ที่ไทยเทอญ / แต่ถ้าคุณ คิดแปลก และแตกต่าง / และมุ่งมั่น ทำอย่าง ที่ใฝ่ฝัน / อย่ารอช้า รีบมา ญี่ปุ่นพลัน / เพื่อรวมฝัน กับความจริง เป็นสิ่งเดียว"

ด้านปฏิกิริยาจากชาวเน็ต หลังจากได้อ่านข้อเขียนดังกล่าว มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งความคิดเห็นแบบนิ่มนวล และดุเดือดเลือดพล่าน เป็นเหตุให้ "รศ.นพ.วิทยา" ต้องโพสต์ชี้แจง และขออภัยหากข้อเขียนดังกล่าวไปแสลงตาแสลงใจคนบางคนโดยไม่เจตนา

อันเนื่องมาจาก…..พ่อขอโทษที่ปลูกข้าวผิดนาภายหลังจากที่ผมเขียนบทความเรื่อง “พ่อขอโทษที่ปลูกข้าวผิดนา” ขึ้นบน facebook ข...

Posted by อาจารย์วิทยา ถิฐาพันธ์ on Tuesday, April 5, 2016


"...ที่ผมเขียนครั้งนี้ความจริงผมต้องการจะเน้นถ้อยคำสำคัญเพียงแค่ว่า สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่คน การมองลูกให้ออกว่าเขาเป็นคนอย่างไร และมองลูกให้ถูกตามที่เขาควรจะเป็น แล้วส่งเสริมให้เขาได้มีโอกาสมุ่งสู่ความฝันตามที่เขาต้องการเพื่ออนาคต และความสุขของเขาเองไม่ใช่ของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรกระทำ เรื่องก็มีเท่านี้เองแหละครับ" เป็นข้อเขียนส่วนหนึ่งที่อยากให้ทุกคนเข้าใจความต้องการในงานเขียนของเขา ก่อนจะระบุไว้ตอนหนึ่งเพื่อลบข้อครหาว่าไม่รักเมืองไทย

"ผมมีลูกศิษย์เป็นแพทย์มากมาย มีมิตรสหายที่เคยเป็นคนไข้ก็ไม่น้อย ผมรักเมืองไทย ผมคิดว่าผมได้แทนคุณบ้านเมืองแล้วโดยตั้งใจเป็นแพทย์ที่ดีของคนไข้ เป็นครูแพทย์ที่ดีของลูกศิษย์มาโดยตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี แล้ว ลูกผมไปญี่ปุ่นเพียงแค่ไปเรียนวิชาครับ ไม่ได้เพ้อคลั่งหรืออยากอยู่ที่ญี่ปุ่นอย่างไร้สติหรอกครับ และเมื่อเรียนจบก็จะกลับมาอยู่เมืองไทยแน่นอน"

ทั้งนี้ เขาทิ้งท้ายข้อเขียนไว้อย่างตรงไปตรงมาถึงระบบการศึกษาไทยว่า "ผมอยากจะฝากข้อคิดไว้สักนิดก็คือ ผมยังคิดว่าบ้านเรามีปัญหาทางการศึกษามากมาย และก็ล้าหลังประเทศอื่นๆ อีกมากเช่นกัน ถ้าทุกคนยอมรับความจริงนี้แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ขมขื่น แล้วคิดช่วยกันแก้ น่าจะดีกว่าการแสดงความโกรธเกลียดคนที่พูดความจริง แล้วทำให้บ้านเมืองหยุดนิ่งหรือถอยหลังอย่างที่เป็นอยู่นะครับ"




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น