เป็นเรื่องดีที่คนในสังคมช่วยกันจับตาระวังภัย แต่ในยุคออนไลน์ที่ความไวมาก่อนข้อเท็จจริงคงต้องระวัง เพราะอาจเข้าข่าย "มโนโซเชียลฯ" กล่าวหากันมั่วนิ่มจนเสี่ยงถูกประจานและฟ้องกลับได้ ล่าสุดกรณีแชร์ภาพคนขับแท็กซี่หื่นทำอุจาดตาด้วยการควักเจ้าโลกออกมาสไลด์โชว์ สุดท้ายคดีพลิก เมื่อสิ่งที่เห็นกับความจริงมันเป็นคนละเรื่องกัน
เป็นอีกหนึ่งมโนโซเชียลฯ ที่มีต้นเรื่องมาจากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า "Ploy Maneerat" ได้มีโพสต์คลิปวิดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือของเพื่อน ความยาว 19 วินาที โดยในคลิปปรากฏภาพชายคนขับแท็กซี่รายหนึ่ง คล้ายกำลังพยายามใช้มือขวาช่วยตัวเอง เพื่อสำเร็จความใคร่ขณะขับรถให้บริการ โดยไม่เกรงกลัวต่อสายตาเธอกับเพื่อนๆ เลยแม้แต่น้อย
ทันทีคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีการส่งต่ออย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลฯ โดยส่วนใหญ่เข้ามารุมสวดพฤติกรรมความหื่นของคนขับแท็กซี่รายนี้ ร้อนไปถึงกรมขนส่งทางบกต้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อนจะกลายเป็นที่มาของความเงิบอย่างแรงหลังจากได้ฟังความจริงจากปากของคนขับที่ถูกสังคมก่นด่า พิพากษาไปแล้วด้วยคำว่า "ไอ้หื่น" "ไอ้โรคจิต"
เรื่องนี้ สุกรี จารุภูมิ ผู้อำนวยการกองตรวจการขนส่งทางบก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า แท็กซี่ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ มีอาการคันตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ พร้อมได้นำเอกสารใบรับรองแพทย์มาประกอบคำชี้แจง และยังเปิดให้ดูร่องรอยบริเวณขาหนีบและลำตัว จึงได้บันทึกถ้อยคำไว้เป็นหลักฐาน และกำชับให้เพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้แสดงท่าท่างที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้อีกต่อไป
กรณีในข้างต้น ชวนให้นึกถึงกรณีการแชร์ภาพเตือนภัยชายหนุ่มใส่ร้องเท้ามีรูท่านหนึ่ง โดยถูกกล่าวหาว่าติดกล้องไว้รองเท้าด้านซ้ายที่มีลักษณะเป็นรูเพื่อแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวๆ บนรถไฟฟ้า BTS แต่หลังจากภาพดังกล่าวถูกแชร์ และส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว ก็พากันเงิบเมื่อเพื่อนของผู้เสียหายได้ออกมาให้ข้อมูลว่า เพื่อนของตนต้องเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้า BTS ทุกวัน ส่วนรองเท้าที่เป็นรูนั้น เพราะโดนสะเก็ดเชื่อมแอร์จากการทำงาน
สำหรับผลกระทบที่ตามมาจากการโพสต์ ส่งผลให้ชายที่ถูกกล่าวหาต้องเปลี่ยนการเดินทางจากรถไฟฟ้า BTS เป็นรถแท็กซี่แทน เพราะได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่เรื่องที่แชร์ในโลกออนไลน์ไม่เป็นความจริง แต่คนโพสต์ และคนอ่านเอาไป "มโน" กันเอง ซึ่งสามารถเอาผิดตามกฎหมายได้
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์สอนใจคนชอบแช๊ะ ชอบแชร์โดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน แม้ความหวังดีที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น แต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นอาจเป็นการฆ่าตัวเองในภายหลังเพราะโดนประจานและถูกฟ้องกลับได้ ดังที่อาทิตย์ สุริยวงศ์กุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต เคยให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งพอจะนำมาสรุปทิ้งท้ายเพื่อเตือนสติได้เป็นอย่างดีว่า
"...เจตนาดีนี่แหละ แต่มันด่วนตัดสินไปนิดนึง มันจึงทำให้คนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในภาพ หรือคนที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นั้นๆ ต้องได้รับความเดือดร้อน และถูกวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นทำอย่างไรที่จะไม่เป็นศาลเตี้ย ก็คือว่าตัวเราแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะเห็นพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล แต่เราก็อาจจะไม่มีข้อมูลมากพอที่จะรู้ได้แน่ๆ ว่าเขาทำจริงหรือไม่ทำจริง
ส่วนตัวมองว่า ถ้าอยากจะถ่ายรูปต่างๆ เก็บไว้เป็นหลักฐานก็ถ่ายไว้ แต่ว่าอย่าเพิ่งเอาไปแชร์ต่อได้มั้ย ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยตรวจสอบก่อนได้มั้ย ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็ประจานกันอย่างเดียว สุดท้ายก็ควบคุมไม่ได้ เพราะเรื่องที่แชร์ไม่รู้ลามไปถึงไหนต่อไหนแล้ว"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754