1 วัน 6,000 ไลค์, 1 อาทิตย์ 30,000 ไลค์, 1 ปี โกยไป 1,000,000 บาท!! จากแค่แฟนเพจเดียว... ที่เห็นไม่ใช่เรื่องฟลุก แต่ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนที่นักการตลาดออนไลน์รายนี้ เล็งเอาไว้แล้วทั้งนั้น และวันนี้เขาพร้อมจะเอาวิชาอันแก่กล้ามาแชร์ให้รู้โดยทั่วกัน! ใครสนใจ ไม่ต้องเตรียมอะไรนอกจากตัวเปล่าๆ มาลงเรือลำนี้ไปด้วยกัน เรือที่จะพาคุณไปยัง “ฝั่งเงินล้าน” พร้อมอาวุธครบมือ ขอแค่คุณต้องลงแรงพายไปสู่ฝั่งฝันเอง และอย่าเพิ่งหมดแรงไปง่ายๆ เสียก่อนก็แล้วกัน!!
พายเรือสู่ “ฝั่งเงินล้าน” โกยกำไรจากเฟซบุ๊ก!
[แฟนเพจเงินล้าน ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 2 แสนราย]
“Salaryman's Diary” คือเพจที่ทำให้ครอบครัวหาเช้ากินค่ำ กิจการขายเครื่องเขียนที่ติดหนี้ธนาคารกว่า 5 ล้าน กลับมาลืมตาอ้าปากและปลดแอกภาระที่เคยแบกเอาไว้ได้หมด แถมยังทำให้มีเงินเก็บพอให้ใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ
“รายได้จากเฟซบุ๊กเป็นเงินที่ทำให้เราขี้เกียจได้ จากเมื่อก่อนเราต้องหาเงินหลายทาง ต้อง active ลงมือตลอดเวลา แต่พอตั้งเพจนี้ขึ้นมา อยู่เฉยๆ เงินมันก็วิ่งเข้ามาหาเราเอง” ปอนด์-กิตติพงศ์ สุธาทองไทย หนุ่มแว่นร่างเล็กในวัย 29 เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ บอกเล่าความสบายในวันนี้ด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
แต่กว่าจะมานั่งชิลอยู่แบบนี้ได้ บัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายนี้ ก็ต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาหลายขั้นแล้วเหมือนกัน เริ่มจากการจบออกมาเป็น “มนุษย์เงินเดือน” เหมือนนักศึกษาจบใหม่ทั่วๆ ไป รับเป็นโปรแกรมเมอร์ดูแลเว็บไซต์บริษัทเขียนแบบบ้านแห่งหนึ่งที่บ้านเกิด ด้วยความที่บริษัทไม่ได้ใหญ่โตอะไร ปอนด์จึงต้องทำมันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จนได้สั่งสมเรื่องการตลาดไปด้วยในตัว บวกกับได้เรียนรู้งานจากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์หัวก้าวหน้าในเชียงใหม่ เส้นทางการตลาดออนไลน์จึงค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นทุกที
“Digital Creative Online Media” คือตำแหน่งใหม่ที่ช่วยเพิ่มความเก๋าให้กับเขาในสายงานนี้ หลังฝึกมือกับงานแรกอยู่ร่วมปี ปอนด์ก็เปลี่ยนงาน ย้ายเข้าเมืองหลวงมาลองวิชา ลงลึกดูแลด้านการตลาดออนไลน์ให้กับทาง GM Group อยู่ 2 ปี เกือบๆ 100 แบรนด์โฆษณาที่ผ่านการปั้นไลค์จากมือของเขาผ่านแฟนเพจ มั่นใจได้ว่าจะช่วยเรียกไลค์-ชวนให้แชร์ได้อย่างแน่นอน ศึกษากลไกดึงดูดผู้คนบนเฟซบุ๊กอยู่ได้สักระยะ ประสบการณ์ที่สั่งสมเอาไว้ก็ค่อยๆ กลายเป็นทฤษฎีเฉพาะตัว จึงเกิดปิ๊งไอเดีย ขอลองลุยโกยเงินจากแฟนเพจดูสักที หนทางนี้แหละที่ถนัดที่สุด!
“เวลาช่วยดูแลแฟนเพจ มันจะมีการดูแลอยู่ 3 แบบ คือ 1.ช่วยทำให้มันดีขึ้น พอดูเสร็จแล้วก็ปล่อยขายต่อ 2.รับจ้างดูแลสักพักใหญ่ๆ แล้วพอมันดี เขาก็เอาคนอื่นมารับช่วงต่อ และ 3.ตั้งเพจขึ้นมาเอง ดูแลเองเพียวๆ ทำขึ้นมาเพื่อสร้างเงิน เป็นแหล่งรายได้ให้กับเรา”
“Thai Mac Update” คือเพจแรกที่ปอนด์ตั้งขึ้นมาแล้วไม่ได้ส่งไม้ต่อ ตั้งขึ้นมาแล้วดูแลมันเองทุกรายละเอียด โดยทำควบไปกับตัวเว็บไซต์ www.thaimacupdate.com เพื่อสนองอาการคัน จากชอบอ่านข่าวอัปเดตในสายนี้อยู่แล้ว เลยอยากเขียนเรื่องราวผ่านสายตาสาวกเทคโนโลยีตระกูลไอ (iPhone, iPad, iStudio ฯลฯ) รวมเรื่องราวเฉพาะแบรนด์ Apple เอามาไว้ที่เดียวอย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน!
[Thai Mac Update เพจแรก ตั้งเพื่อแก้อาการคัน]
“คิดแค่ว่าอยากทำขึ้นมาสนุกๆ ถ้าเกิดมีคนเข้ามาอ่านวันละสัก 500 คน 1,000 คน เราเอาไปขอสปอนเซอร์จาก iStudio มาลง ขอ iPod เขาสักอันนึง ได้แค่นั้นก็พอแล้ว แต่มันก็ไม่ได้นะ (หัวเราะ) เพิ่งมาได้หลังจากทำมาเข้าปีที่ 3 ปีที่ 4 ตอนที่เว็บเราเริ่มดังแล้ว แต่ตอนหลังเริ่มมีที่อื่นๆ ทำเหมือนเราเป็นร้อย จากเคยเก็บกินค่าโฆษณาได้เดือนละเป็นแสน หายไปเหลือหลักหมื่น รายได้เราหายไปเยอะ กลายเป็นช่วงขาลง ก็เลยคิดว่าถึงเวลาสร้าง product ของเราอย่างอื่นขึ้นมาเพิ่มบนพื้นที่ออนไลน์แล้ว แต่เพจตัวหลังนี้ เราไม่สร้างเว็บขึ้นมาเสริมกันแล้วครับ กะหาเงินจากมันด้วยตัวเฟซบุ๊กอย่างเดียวเลย!”
และเพจโกยเงินที่พูดถึงเพจนั้นก็คือ “Salaryman's Diary” เพจที่ดำเนินเรื่องด้วยลายเส้นกระยึกกระยือ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ “มนุษย์เงินเดือน” คนหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยแง่มุมตลกโปกฮา ปะปนไปกับอารมณ์จิกบ่นเจ้านายพอให้คลายเครียดตามประสา หยิบเอาเรื่องราวที่เคยพบเจอมาในฐานะอดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าเพื่อหาพวก จนได้พวกเดียวๆ กันบนเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็ว คิดดูว่าเร็วขนาดไหน โพสต์ไป 24 ชั่วโมงทำยอดได้ 6,000 ไลค์, ผ่านไป 1 อาทิตย์ ยอดพุ่งสูงถึง 30,000 ไลค์ จึงเป็นแฟนเพจแรกในชีวิตที่ประสบความสำเร็จ โกยเงินล้านได้อย่างว่องไวภายในเวลาเพียง 1 ปี!! และผลที่เห็นทั้งหมดนี้ บอกเลยว่าเกิดจากการเดินหมากและเล่นตามเกมของตัวเองที่คาดคะเนเอาไว้แล้วทั้งนั้น!!
“เราคิดไว้ก่อนตั้งเพจแล้วว่า เราจะไปเอาตังค์ก้อนไหน มาจากใคร คิดจากว่าอยากได้ตังค์จากแบรนด์ทุกแบรนด์ที่เป็นแนวไลฟ์สไตล์ เลยมองว่ากลุ่มมนุษย์เงินเดือนนี่แหละครับที่จะช่วยรวมแบรนด์เหล่านั้นเข้ามาหาเราได้ ถ้าเรารวมกลุ่มพวกเขาเอามาไว้ในที่เดียวได้ ถ้าทำได้ แบรนด์พวกนั้นแหละที่จะมาจ่ายตังค์ให้เรา ซึ่งมันมีเยอะมากนะ ทำปั๊บ โอกาสได้ตังค์มันได้สูงอยู่แล้วแน่นอน ก็เลยเริ่มตั้งเพจเลย
ปิ๊งไอเดียมาจากสิ่งที่ตัวเองถนัดก่อนครับ เพราะเพจพวกนี้ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่เราชอบทำหรือไม่ได้มีประสบการณ์ตรง มันทำลำบากนะ อย่างเราเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อนประมาณ 4 ปีได้ ชีวิตทุกวันก็จะมีเรื่องตลกโปกฮาที่ชอบเอามาเล่าให้เพื่อนฟังบ่อยๆ ก็แค่เปลี่ยนมาเล่าลงแฟนเพจแค่นั้นเอง
[คนแห่เข้ามากดไลค์อย่างไว ภายใน 24 ชั่วโมง]
ส่วนใครที่กำลังคิดว่าจะตั้งเพจอะไร ก็ยังมีอีกเยอะครับ แฟนเพจที่จะสามารถดึงแบรนด์พวกนั้นมาได้ เราแค่ต้องคิดก่อนว่าเราจะไปเอาตังค์จากใคร ถ้าเราอยากได้ตังค์จากแบรนด์ตลาด ก็ต้องไปรวมกลุ่มคนที่เป็น mass ที่แบรนด์นั้นๆ ต้องการมา ซึ่งกลุ่มมนุษย์เงินเดือนนี่แหละครับเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดแล้ว คนกลุ่มใหญ่ที่แบรนด์ต้องการสื่อสารด้วย หลักคิดมันง่ายๆ แค่นี้เอง ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ส่วนตัวคอนเทนต์หรือรูปแบบเพจจะนำเสนอออกมาเป็นแบบไหน ก็อยู่ที่ตัวเราแล้วว่าถนัดด้านไหน และเรามีจุดเด่นอะไรที่จะดึงมาขายได้บ้าง
ถามว่าเพจ Salaryman's Diary ได้เงินเร็วไหม? ก็ถือว่าเร็วกว่าที่วางแผนไว้พอสมควรเลยครับ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ค่อยอยากให้มองว่าจะสำเร็จเร็วหรือไม่เร็ว แต่อยากให้มองว่าพื้นที่ตรงนี้ มันสามารถทำเงินได้ง่ายๆ อย่างที่คนยังไม่ค่อยรู้มากกว่า เอาง่ายๆ เลย คนที่เล่นเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ ไม่รู้เลยว่าเพจเพจนึง มันสามารถทำเงินได้เป็นล้านเลยนะ โดยที่ไม่ต้องขายของ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ! ส่วนใครทำแล้วจะได้เงินเร็ว-ไม่เร็วนี่ บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน แต่มั่นใจว่ามันทำเงินได้แน่นอน!!”
รู้ไหม? ทำไมไปไม่ถึงฝั่งฝัน
“ปัญหาของแฟนเพจส่วนใหญ่คือ ไม่รู้เปิดมาทำไม? ไม่มีจุดประสงค์ เปิดมาเพราะอยากจะเปิดโดยที่ไม่มีเหตุผล นั่นแหละคือปัญหาใหญ่สุดที่ทำให้ไปไม่ถึงฝั่ง” หนุ่มหน้าตี๋ช่วยวิเคราะห์ทางตันของหลายๆ คนเอาไว้ให้เสร็จสรรพ ด้วยแววตาจริงจังภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมหลังเลนส์
“แฟนเพจที่ไม่มีมูลค่าอะไรเลย ถ้าให้ยกตัวอย่าง สำหรับผมคือพวกแฟนเพจ “มั่นใจว่าคนไทย 1 ล้านคน...” จะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นเพจที่สมัยก่อนมีเยอะมากๆ ชวนคนมากดไลค์ แต่แล้วมันยังไงต่อ? เพจแบบนี้มันไม่มีประโยชน์ในเชิงสร้างรายได้เลยครับ คือมันก็อาจจะมีเหตุผลของการเกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็เอามาทำอะไรต่อไม่ได้เลย หรือบางเพจที่ชวนคนเข้ามาเล่นกันสนุกๆ ล่อคนเข้ามาเยอะๆ แล้วหาทางไปต่อไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้อะไร เพราะเพจที่จะทำตังค์ได้ จริงๆ แล้วมันไม่ต้องมีคนตามเข้ามากดไลค์ตามเยอะมากขนาดนั้นก็ได้ครับ แต่มันก็ทำตังค์ได้ของมัน”
206,200 กว่าราย คือยอดไลค์ของเพจ Salaryman's Diary ทุกวันนี้ เมื่อเอาตัวเลขนี้ไปเทียบกับเพจยอดนิยมอื่นๆ ที่มียอดไลค์สูงกว่านี้อีกหลายเท่า คงชวนให้หลายคนคิดไปว่าคงโกยเงินได้ยิ่งกว่าที่ปอนด์ได้รับแน่ๆ แต่เจ้าของเพจเงินล้านบอกเลยว่า เป็นการประเมินที่ผิดหลักการตลาดออนไลน์ไปมากเลยทีเดียว
“มันอยู่ที่คนที่มากดไลค์ด้วยครับว่ากลุ่มเป้าหมายตรงนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นแฟนเพจ Salaryman's Diary ซึ่งหมายถึงมนุษย์เงินเดือนจำนวน 2 แสนคน มันย่อมเป็นที่ต้องการมากกว่าใครก็ไม่รู้จำนวนล้านคนแน่ๆ เพราะฉะนั้น ยอดไลค์อย่างเดียวอาจจะไม่ได้บอกอะไรมาก ยังไงแบรนด์ก็ยังอยากเทเงินเข้ามาหากลุ่มเป้าหมายมากกว่าอยู่ดี
บางเพจ คนไลค์เป็นล้านเลยนะ แต่กว่าจะได้โฆษณาทีนึงก็นาน สมมติได้ครั้งละ 2 หมื่น แต่ 2 เดือนเข้ามาแค่ทีเดียว แต่อย่างเพจเรา คิดครั้งละหมื่นก็พอ ไม่แพง แต่เดือนนึงมีแบรนด์ติดต่อเข้ามา 20 ครั้ง เราก็เก็บกินไปได้แล้วเดือนละ 2 แสน มันง่ายกว่าเยอะ ยิ่งบางแบรนด์ เป็นแบรนด์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ งบเขาเยอะ เขาจะซื้อเราแบบเหมา ขอลงโลโก้โฆษณาทีละ 12 รูป คิดราคาแสนสอง! จ่ายทีเดียว แบรนด์ที่มีความเข้าใจเรื่องการตลาดจริงๆ ส่วนใหญ่ เขาจะชัดเจนว่าต้องการซื้อแบบไหน แล้วก็เหมาซื้อเป็นแพกใหญ่ๆ เลยครับ
[มีโฆษณามาลง โกยเงินไปได้เดือนละเป็นแสน]
[เอเยนซีติดต่อขอลงโฆษณา ขอให้มีโลโก้แปะไว้บนเนื้อหาที่นำเสนอ]
ถามว่าทำไมเขาถึงอยากให้ลงต่อเนื่อง เพราะว่าถ้าเราเป็นเพจใหญ่ๆ มีคนกดไลค์อยู่ระดับแสน ถ้าลงโฆษณาไปโพสต์นึง มีโลโก้ของแบรนด์นั้นขึ้นมาครั้งเดียวแล้วหายไป... มันไม่มีผลอะไรเลยนะในความเป็นจริง ส่วนใหญ่เขาเลยจะเลือกซื้อกันแบบเป็นแพกครับ ถ้าใน 1 อาทิตย์ เจอโลโก้แบรนด์นี้เข้าไปทุกวัน ทั้งหมด 7 รูป มันก็ต้องมีผลมากกว่าอยู่แล้ว
อย่างเพจใหญ่ๆ บางเพจ ที่ปกติจะโพสต์แต่เรื่องบ่นๆ ด่าๆ ประชดสังคม เพจแบบนี้พอจะขายของทีก็ลำบากนะ ถ้าจะเอาอะไรมาขายในเพจ มันต้องโพสต์เชียร์สินค้า อาจจะทำอะไรมากไม่ได้ และมาบ่อยๆ ไม่ได้ คือต้อง Hard Sale อย่างเดียว ไม่งั้นก็ต้องขายที่ระลึกของตัวเอง หรือรับจ้างโพสต์ดันเพจอื่น แต่ถ้าเป็นเพจที่ทำแบบ community ดีๆ มีคอนเซ็ปต์ชัดๆ เราจะสามารถให้ลงโฆษณาต่อเนื่องได้ไปเรื่อยๆ อาจจะคิดถูกๆ เลย ครั้งละหมื่นพอ หรือถ้าซื้อเยอะ ก็คิดหลักพัน เน้นถูกไว้ก่อนแต่เน้นลงให้ต่อเนื่องก็ได้ เอาไปเอามา แบบนี้มันดีกว่าเพจที่เก็บทีละ 2 หมื่น แต่นานๆ ลงโฆษณาได้ที และต้องรอไป 5 ปี 10 ปี นู่นแหละครับ กว่าจะถึงหลักล้าน”
[ต่อยอดรายได้ ด้วยการขายของที่ระลึก]
อาจมีโอกาสไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ที่ทำเพจแล้วจะได้ยอดไลค์เป็นหลักล้าน แต่โอกาสที่ทำแล้วจะได้รับทรัพย์ มันมีแน่ๆ!! ถ้าคอนเซ็ปต์ที่เซตเอาไว้ มันดีมาตั้งแต่ต้น กูรูโซเชียลมีเดียยอดนิยม ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อย่างภาพแรกที่วาดและโพสต์ในเพจ Salaryman's Diary ผมวาดรูปการแบ่งเวลาในการทำงานของมนุษย์เงินเดือน ประมาณว่าอู้งาน มีเวลาทำงานอยู่เท่านี้ แอบไปเข้าห้องน้ำ แอบไปซื้อของ แอบไปนู่นนี่เพื่อให้เวลามันหมดๆ ไป (พูดไปยิ้มไป) ยอมรับเถอะว่าทุกคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเคยทำหมดแหละ ซึ่งแปลว่าถ้าลงเรื่องนี้ไปมันต้องเชื่อมโยงกับคน ต้องมีคนไลค์-มีคนแชร์แน่นอน แต่จะเท่าไหร่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดครับ ปรากฎผ่านไป 24 ชั่วโมง โพสต์ไป 4 รูป ห่างกัน 3 ชั่วโมง ขึ้นมา 6,000 ไลค์
[โพสต์แรก สร้างปรากฏการณ์ 24 ชั่วโมง 6,000 ไลค์!! | ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ Salaryman's Diary]
แต่จริงๆ แล้ว โพสต์แรกของเราคนจะไลค์เยอะไหม มันอาจจะไม่สำคัญเท่ากับ รอดูต่อไปว่าคนจะเข้ามาในเพจเราและกดไลค์เพจเราเยอะแค่ไหนมากกว่าครับ และสิ่งที่ต้องรู้ไว้อย่างนึงสำหรับคนจะทำเพจสมัยนี้ก็คือ ระบบเฟซบุ๊กมันเปลี่ยนไปพอสมควร อย่างยุคที่ผมเริ่มทำ มันยังไม่กีดกันจำนวนคนเข้าถึงโพสต์ของเราเท่าทุกวันนี้ ก็ถือว่าคงเกิดยากหน่อยสำหรับการตั้งเพจให้คนมาตามไลค์ในตอนนี้ แต่ถ้าคอนเทนต์คุณดีจริง คุณก็ยังเกิดอยู่ดี ถ้าคอนเซ็ปต์ดีและมีอะไรที่กระแทกใจคนได้จริงๆ”
กูรูเงินล้าน! ท้าให้ลองพิสูจน์!!
“5,800 ล้านบาท” คือมูลค่างบโฆษณาเฉพาะสื่อออนไลน์ของประเทศไทยประจำปี 2014... ถ้าอยากตกเบ็ด ขอเกี่ยว “1 ล้าน” จากงบก้อนใหญ่ก้อนนี้มาเข้ากระเป๋าของตัวเองให้ได้ ก็ต้องท่องเคล็ดลับการตั้ง “แฟนเพจโกยทรัพย์” เหล่านี้ให้จำขึ้นใจ!!
ตอบให้ได้ว่า... 1.คนที่จะมากดไลค์เพจเรา เขาจะกดไลค์ทำไม 2.คนที่มากดไลค์เรา เขามีไลฟ์สไตล์แบบไหน และ 3.คนที่มากดไลค์เรา ต้องการอะไร ถ้ารู้ 3 ข้อนี้ เป็นเงินแน่นอน!!
“อย่างเพจ Salaryman's Diary ลองเอามาตอบ 3 ข้อนี้ดูก็ได้ 1.ถามว่าคนมากดไลค์เราทำไม ก็เพราะคนชอบคอนเทนต์ตลกโปกฮา แชร์แล้วสนุกดี อ่านแล้วขำระหว่างทำงาน 2.นิสัยลูกเพจเราเป็นคนยังไง ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนไง ก็ต้องชอบกิน ชอบเที่ยว ชอบดื่มอยู่แล้ว และ 3.ถามว่าเขาต้องการอะไร ถ้ามองในมุมขายของ ก็มองว่าเขาต้องการอะไรบางอย่างที่สอดคล้องกับวิธีชีวิตเขา นั่นก็คือสินค้า ทีนี้เราก็มาเจาะไปแต่ละเอเยนซีโฆษณาว่า เราจะไปเอาเงินจากเขามาได้ยังไง”
รับประกันทฤษฎีที่พิสูจน์มาเองกับมือ ทั้งยังการันตีซ้ำอีกทีในฐานะเจ้าของคอร์สอบรม “สร้างเฟสบุ๊คเงินล้าน (ด้วยตัวเอง)” บอกเลยในจำนวนเงินหลายพันล้านในมือเอเยนซี ถ้าจะมีลูกศิษย์คนไหนในคอร์สนี้มาแบ่งโกยปึกแบงก์เข้ากระเป๋าไปบ้าง เจ้าของทฤษฎีก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
“ยังไงเราก็ไม่อดตายอยู่แล้วครับ (ยิ้ม) หรือถ้าส่วนแบ่งมันจะลดลง มันก็ไม่ทำให้เราเจ๊ง ใครอยากทำก็ทำเลย อีกอย่าง ผมก็ยังสามารถทำเพจใหม่ๆ ออกมาได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว เราทำแบบนี้มา 6-7 ปี ทำจนอยู่ในจุดที่... ถ้าทำเพจใหม่ขึ้นมาใหม่ก็ได้ตังค์ตลอดแล้วน่ะครับ เฮ้ย..เบื่อแล้ว อยากทำเพจใหม่แล้ว อยากได้เงินจากก้อนนั้น เล็งเอาไว้แล้วพอไปทำ เราก็ได้เงินก้อนนั้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะทำกี่เพจๆ มันก็ได้เงินจริงๆ ก็เลยอยู่ในจุดที่มั่นใจว่าเราสอนคนอื่นได้แล้ว
[“แม่เป็นคนตลก” เพจใหม่ที่กำลังไปได้ดี จากกูรูเงินล้านคนเดียวกัน]
ทุกอย่างมันมาจากประสบการณ์ของเราที่กรองมาจนไม่เหลืออะไรแล้ว ต่อให้คุณไม่ได้อยากจะได้เงิน วิชาที่เราสอนไป มันก็เอาไปประยุกต์ใช้ได้ตลอดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการดีไซน์คอนเทนต์ เรื่องการรวมคนนิสัยเดียวๆ กันมาอยู่ด้วยกัน เรื่องการทำยังไงให้คนแชร์ ฯลฯ มันใช้ได้กับทุกเพจเลยครับ ไม่ว่าคุณจะทำเพจอะไรอยู่ก็ตาม จุดประสงค์หลักเลยคือคุณต้องทำให้คนที่นิสัยเดียวกัน มาอยู่ด้วยกันที่เดียวให้ได้
ผมคงรับประกันไม่ได้อยู่แล้วว่าทุกคนจะได้เงินล้านจากการสอนให้ทำเพจ เพราะเดี๋ยวจะถูก สคบ.ฟ้อง (ยิ้ม) ชื่อคอร์ส “เฟซบุ๊กเงินล้าน” มันมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้วครับ คือเราอยากจะบอกว่า เฟซบุ๊กมันสร้างเงินล้านได้นะ เงินล้านมันคือปลายทาง หน้าที่ของคอร์สนี้คือทำให้คนรู้ว่า การสร้างรายได้บนเฟซบุ๊กมันต้องทำยังไง เราเอาอุปกรณ์ให้หมดแล้ว เพราะเราเคยไปถึงตรงนั้นมาแล้ว และรู้ดีว่าต้องทำยังไงถึงจะไปถึงมันได้ ก็อยู่ที่เขาแล้วล่ะว่าจะใช้อุปกรณ์ที่เราให้ไปหรือเปล่า อยู่ที่แต่ละคนแล้วว่าจะไปถึงไหม ถ้าใช้เยอะ ตั้งใจใช้ มีไอเดียดี มีการพลิกแพลง ก็คงไม่พลาด
[ไอเดียทั้งหมดที่วาด ล้วนมาจากประสบการณ์ตรงในฐานะ "อดีตมนุษย์เงินเดือน" | ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ Salaryman's Diary]
ทุกอย่างที่เราเอามาแชร์กัน เราไม่เคยเรียนจากตำราอะไรมาก่อน เราไม่เคยเป็นลูกศิษย์ใคร การตลาดออนไลน์ทุกอย่างเกิดจากการลองผิดลองถูกของเราเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราจะรู้ว่าทางไหนผิด ทางไหนถูก เราอาจไม่ได้แน่นทฤษฎี แต่เราแน่นปฏิบัติครับ (ยิ้ม) เราเอาสิ่งที่เราเคยปฏิบัติและมันสำเร็จ มาย่อยเป็นทฤษฎีอีกที ผิดกับบางคนที่อาจจะแน่นทฤษฎีแล้วเอามันมาสอนต่อ แต่กลับไม่เวิร์กเพราะทฤษฎีทั้งหมดนั้นมันยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์อะไรเลย”
ไลค์/ เมนต์/ แชร์... จากตัวเลือกทั้งหมดที่อยู่บนเฟซบุ๊ก คุณครูปอนด์ขอแนะให้แอดมินเพจทั้งหลายให้ความสำคัญกับฟังก์ชัน “แชร์” มากที่สุด
“เพราะแชร์ คนไม่ได้จะกดกันง่ายๆ มันไป timeline เขาเลย โอกาสที่คนอื่นจะเห็นมันเยอะกว่า และมันแสดงถึงตัวตนว่าฉัน support คอนเทนต์นี้มากๆ แต่ถ้าเป็นคอมเมนต์ มันหมายถึงเขาแค่อยากจะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนไลค์ก็แค่แสดงความชื่นชอบ ถ้า mention ก็เรียกเพื่อนมาดูด้วยกัน แต่แชร์มันคือการ represent ตัวเองว่าฉันเชื่อมั่นในคอนเทนต์นี้ แชร์มันเลยสำคัญที่สุด ก็เลยจะสอนให้ทำแล้วคนแชร์อย่างเดียวเลย ทำยังไงก็ได้ให้คนแชร์
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ Salaryman's Diary]
ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้สนับสนุนให้ทุกคนต้องมาทำแบบนี้หรอกนะครับ แต่เราแค่อยากบอกว่า เราทำแฟนเพจจนไม่ต้องทำงานประจำ ออกมานั่งกินนอนกิน วันๆ นอน 7 โมงเช้า ตื่นบ่าย 2 แทบจะทุกวัน จะเรียกว่ามีอิสระก็เรียกได้ ไม่ต้องไปวนอยู่ใน loop อะไรอีกแล้ว หลุดมาได้เพราะใช้เฟซบุ๊กทำเงินอย่างเดียว
ทุกวันนี้ก็ถือว่ามาไกลกว่าที่คิดไว้มากเลยล่ะครับ จาก 3 ปีที่แล้ว ที่ขับ Mitsubishi Landser รุ่นเก่า ความใฝ่ฝันตอนนั้นคือแค่เปลี่ยนจากรุ่นเก่าเป็นรุ่นใหม่ คันละ 7 แสน นั่นก็หรูแล้ว แต่พอมาทำเฟซบุ๊กแล้วกลายเป็นไม่มีคู่แข่ง ตอนนั้นเงินที่ไม่รู้จะลงที่ใคร มันก็มาลงที่เราหมดเลย เราเลยได้รายได้มหาศาลจนซื้อรถ Audi คันละ 3 ล้านกว่าได้สบายๆ
เมื่อก่อนมาทำงานที่กรุงเทพฯ ปีแรก ไม่มีเงินเช่าคอนโดฯ ต้องไปอยู่กับเพื่อน จ่ายค่าไฟให้เขาเพราะเราไม่มีตังค์ พอทำไปปี 2 ปี มีรายได้ปุ๊บ ก็ไปเช่าคอนโดฯ ห้องละ 6 ล้านอยู่ได้ จ่ายค่าเช่าเดือนละ 2-3 หมื่น ผ่อนรถอีกเดือนละ 3-4 หมื่น รายจ่ายเดือนละ 7-8 แสน จ่ายได้สบายๆ เมื่อก่อนไปเที่ยวต่างประเทศ ไกลสุดก็ได้แค่พม่า (หัวเราะ) ฮ่องกงนี่คือที่สุดของชีวิตแล้ว แต่ตอนนี้พาแม่ไปเที่ยวยุโรปได้ เขาอยากไปสวิสฯ ก็ได้ไป ก็ถือว่าสำเร็จมากๆ แล้วล่ะครับสำหรับตัวเอง คืออาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็นคนรวย แต่ก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำไปเยอะแล้วเหมือนกัน
[แฟนเพจไม่ได้สร้างแค่เงิน แต่ยังสร้างโอกาสในฐานะ “นักเขียน” ด้วย]
เฟซบุ๊กมันเป็นช่องทางนึงในการทำรายได้ แต่ก่อนหน้านี้ เราก็เป็นคนทำงานเยอะอยู่แล้ว วางรากฐานไว้หลายอย่าง มีเปิดโรงเรียนสอนศิลปะในห้างฯ ที่เชียงใหม่ด้วยครับ แล้วก็นำเข้าของหลายๆ อย่างมาขายตามเว็บสนุกๆ ทำเว็บนู่นนี่ มีรายได้มาจากหลายทาง และเราก็เอาทั้งหมดไปต่อยอด
ที่สำคัญ ต้องอย่าลืมว่า ยังไงเฟซบุ๊กมันเป็นรายได้ที่มาจากอากาศ เราก็ควรจะต้องเอาเงินจากตรงนี้ไปสร้างรายได้จริงๆ ขึ้นมา มีกิจการของตัวเองจริงๆ ก็ยังดีกว่ามีธุรกิจลอยๆ อยู่ในเฟซบุ๊ก ถ้าวันใดวันนึง เกิดสปอนเซอร์ขี้เกียจลงโฆษณากับเราแล้ว เราจะได้ไม่ซวยมาก แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น เราก็มีธุรกิจมากมายในมือแล้ว เหมือนกับทุกวันนี้ที่เรากล้าชิล เพราะช่วงก่อนหน้านั้น เราขยันจนแทบไม่มีเวลาพัก เราเก็บตังค์ปูทางทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว”
เฉลยทริก “เฟซบุ๊กเงินล้าน”!! Q: การลงโฆษณาบนแฟนเพจทำได้กี่แบบ และแบบไหนให้ผลดีสุด? A: รูปแบบการลงโฆษณา หลักๆ มี 3 แบบครับ คือ 1.สปอนเซอร์แบบแปะโลโก้ 2.Tie-in โฆษณาแฝง และ 3.Hard Sale โพสต์ขายโฆษณาไปเลย ที่ผมชอบสุดคือแบบแรกนะ แบบแปะโลโก้ เพราะแบบนี้จะไม่มีใครมายุ่งกับคอนเทนต์ของเราได้ คอนเทนต์ยังเหมือนเดิม แค่มีโลโก้โผล่มาเล็กๆ ไม่มีใครว่าอะไรเราได้แน่นอน อย่างตอนอธิบายให้เอเยนซีฟัง เราก็จะบอกผลลัพธ์เขาเอาไว้หมดเลยว่า โพสต์โฆษณาแต่ละแบบแล้วจะมีผลออกมายังไง เราจะทำโมเดลการซื้อโฆษณาเอาไว้ให้เขาเลือกเลยว่า ถ้าเลือก choice แรก เป็นแบบที่เราคิดว่าดีที่สุด แบบนี้จะ win ยังไงบ้าง แล้วก็มี choice ที่ 2 จะดีรองลงมา และ choice ที่ 3 คือห่วยสุดเลย ราคาเท่านี้ๆ นะ ให้เขาจิ้มมาเลย ถ้าจิ้ม choice ที่ 3 เลือกแบบ Hard Sale ก็ต้องทำใจว่าผลลัพธ์มันต้องมี negative ตามมาชัวร์ๆ มีคนบ่นแน่ๆ มีคน unlike บ้างแน่นอน แต่เพราะเราทำเป็นธุรกิจไงครับ เรารับเงินมา มันก็ต้องมีที่มาที่ไปแบบนี้แหละ [วาดล้อกระแส ดึงคนอ่าน แถมได้โฆษณาลง | ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ Salaryman's Diary] Q: ก่อนโพสต์โฆษณา ควรโพสต์บอกแฟนเพจหรือแนบคำอธิบายอะไรไหม? A: อยู่ที่นิสัยแฟนเพจครับ เพราะบางคนก็รับได้ บางคนรับไม่ได้ก็อาจจะต้องบอกเขาก่อน ประเด็นมันอยู่ที่คุณทำเรื่องดีหรือไม่ดี อย่างเรา เราโพสต์คอนเทนต์ตามปกติและมีโลโก้สปอนเซอร์โผล่ขึ้นมา ถามว่าแฟนเพจเสียหายไหม ไม่เสียหายอะไรเลยนะ win-win ทั้งแฟนเพจ win, เจ้าของเพจ win, แบรนด์ win ก็มีแต่ดี แต่ถ้าเป็นโฆษณาแบบ Hard Sale โพสต์ขายของแบบโต้งๆ เลย ไม่ต้องเอาคอนเทนต์มาแปะ เอาโฆษณานี่แหละโพสต์เลย แฟนเพจก็จะไม่ค่อย win เพราะรู้สึกเหมือนถูกขายของใส่ แต่แบรนด์ win ซึ่งการโพสต์แบบนี้ บางคนก็เลือกที่จะโพสต์บอกแฟนๆ ที่ติดตามก่อน แต่การโพสต์บอก ก็จะทำให้ตัวแบรนด์ไม่ค่อย win เท่าไหร่แล้ว มันก็แล้วแต่เราเลยว่าจะจัดระเบียบยังไง ดีที่สุดเลยคือ win-win เอาให้ดีต่อทุกฝ่ายครับ Q: คนกด Unlike เท่าไหร่ ถึงจุดที่คนดูแลเพจควรกลัว? A: อยู่ที่เปอร์เซ็นต์ของเพจด้วยครับ อย่างของเรามี 2 แสน unlike 20 ก็ตามสบายครับ จริงๆ ถ้าหายไปสัก 500 ก็ยังพอรับได้อยู่นะ มันอยู่ที่เปอร์เซ็นต์ครับ คือถ้าหายไปสัก 5-10 เปอร์เซ็นต์ก็คงโหดมาก หายระดับหลักหมื่นภายใน 1 วัน อันนี้เราถึงคราวซวยแล้ว Q: ควรตั้งเพจให้ทำเงินทีละหลายๆ เพจ หรือค่อยๆ ทำทีละเพจ? A: ถ้าเกิดยังไม่มีอะไรสำเร็จสักอันนึงเลย ผมว่าทำให้มันสำเร็จสักเพจนึงก่อนครับ เพราะถ้าสำเร็จแล้ว เพจต่อไปจะง่ายมาก อย่างเพจ Salaryman's Diary ทำยอดได้แล้ว ต่อไปเราอยากสร้างเพจเพิ่ม สมมติชื่อ AE Story เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของพนักงานขาย แล้วเอาเพจเดิมที่อยู่ตัวแล้วมาช่วยโปรโมต คิดว่าเพจนั้นจะดังไหม? เดือนเดียวคนคงกดไลค์เป็นแสน Q: จำเป็นแค่ไหนในการซื้อโฆษณาจากเฟซบุ๊กเพื่อโปรโมต? A: จำเป็นครับ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะโพสต์แล้วคนเห็นเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ คงต้องเสียตังค์ให้เขา [ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ Salaryman's Diary] Q: ต้อง Boost Post เสียตังค์ให้เฟซบุ๊กเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม? A: ถ้ามันโปรโมตไปได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เสียเท่าไหร่ก็คุ้มครับ สมมติ อยากให้แฟนเพจวิ่งมาหาเราสัก 1,000 คน เสียค่าโพสต์ 2,000 ก็ยังได้เลย ตกหัวละ 2 บาทเอง เพราะพันคนนี้เขาก็อยู่กับเราไปตลอดเลยนะ ก็ถือว่าไม่แพงมากถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้ แต่ภายใน 2 เดือน ควรจะตั้งงบไว้ว่าห้ามเกิน 5,000 ครับ แบ่งมาใช้วันละ 200, 500 แล้วโปรโมตไปเรื่อยๆ ก็น่าจะพอแล้ว แต่ถ้าบางโพสต์ โพสต์ขายโฆษณาชิ้นเดียวก็คืนทุน ก็ควรค่าแก่การลงทุน อย่างเพจ Salaryman's Diary เราคิดไว้ว่าแบรนด์ที่จะมาลงโฆษณาต้องมีตังค์แน่ๆ คิด 5,000-10,000 นึง เขาลงอยู่แล้ว เราก็ตัดสินใจ Boost Post ไป ซื้อโพสต์ของเฟซบุ๊กครั้งละพัน ซื้อไป 5 ครั้ง 10 ครั้ง จ่ายไปหมื่นนึง แต่พอโฆษณาเข้าชิ้นเดียว จ่ายมาทีนึงแล้วคืนทุน แบบนี้ยังไงก็คุ้มครับ ถ้าฐานแฟนเพจเดิมของเราช่วยดึงแบรนด์มาได้ แต่ถ้าไม่มีทุนจริงๆ คุณก็ต้องลงเวลา วันนึงก็ต้องโพสต์รัวๆ เลย อย่างช่วงแรกๆ ที่ทำเพจ ผมโพสต์วันละ 3-4 รูปต่อวันเลยนะ ต้องวาดเยอะ คิดเยอะ คิดเผื่อไว้วันนึงเป็นสิบรูปเลยถึงจะพอ |
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “Salaryman's Diary”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754