ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีเพื่อความสวยหล่อหน้าเป๊ะร่างเซี๊ยะยุคนี้ มีนวัตกรรมใหม่ออกมาถี่ยิบ ยิ่งกว่าซีรีย์โทรศัพท์มือถือเสียอีก
ปีลิงปีนี้มาอัพเดทกัน ว่าอะไรมาแน่? อะไรฮอตชัวร์? ด้วยเหตุผลอันใด?
1) หุ่นยนต์ปลูกผม ธรรมชาติกว่า จ่ายน้อยกว่า
ปัญหาผมร่วงเป็นปัญหาที่มีมายาวนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องด้วยปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมน เทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษากันมาคือ การผ่าตัด ดึงรากผมจากด้านหลังตรงท้ายทอยมาปักข้างบนข้างหน้า ที่เรียกว่า Hair Transplant
“ปัญหาคือ เกิดแผลเป็นด้านหลังยาว คนไข้ที่ปลูกผมวิธีนี้จึงไม่สามารถตัดผมสั้นหรือโกนหัวได้ เพราะมิฉะนั้นจะเห็นเป็นรอยยาวเลยครับ” กูรูนายแพทย์ วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ Medical Director เฮอร์ทิจูดคลินิก บอกข้อเสียให้ฟัง
“พอตัดไปเรื่อยๆ ตีนผมจะร่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกดึงขึ้นเรื่อยๆ และการปลูกผมต้องทำหลายครั้ง ไม่สามารถทำเสร็จสมบูรณ์ได้ในครั้งเดียว เหมือนการปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่ มันต้องเว้นระยะห่างนิดหนึ่ง ครั้งแรกอาจ 1 ซม. ครั้งที่สอง มาเสียบระหว่างกลางลงไป จึงจำเป็นต้องทำหลายๆ ครั้ง”
แนวโน้มการใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยปลูกผม หรือ Robotic Hair Transplant จึงน่าจะมาแทนการผ่าตัดดำนาปลูกผมด้วยคน
“จริงๆ แล้ว ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ มีหุ่นยนต์ปลูกผมมานานแล้วครับ แต่นับว่ายิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะแทนที่จะใช้คนตัดหนังออกมา แยก hair graft คือ เอามีดเล็กๆ มาตัดผมให้เป็นตอเล็กๆ ซึ่งหนึ่งตอมี 2-3 เส้น เสียบๆ ลงไป ก็ใช้หุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์มีความแม่นยำกว่า กระจายได้มากกว่า ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น”
ใช้เวลาในการผ่าตัดลงลง เจ็บน้อยกว่า โอกาสอักเสบติดเชื้อน้อยลง ที่สำคัญ ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และค่าใช้จ่ายถูกกว่าเยอะเลย
2) วีเชฟหน้าหนูหน้าจิ้งจกดับสนิท รูปหน้าสมส่วนสิเลอค่า
ปีที่ผ่านๆ มา รูปหน้าสุดฮิตต้องเป็นวีเชฟ (V shape) ไม่ว่าจะเป็นทางการแพทย์ หรือเครื่องสำอางค์ พยายามโปรโมททำให้หน้าเรียวเป็นรูปตัว V
ทว่าพอคนไทยรับเทรนด์นี้มาสักพัก รู้สึกเลยว่าดูไม่เป็นธรรมชาติ วิจารณ์ว่าเหมือนหน้าหนูบ้างล่ะ คล้ายกล้วยบ้างล่ะ ดูราวกับสายพันธุ์เดียวกับจิ้งจกบ้างล่ะ
“ดังนั้นเทรนด์รักษาหน้าคนไข้ให้มีรูปหน้าสวย จะไม่พูดถึงเรื่องวีเชฟแล้ว แต่พูดถึงเรื่องของใบหน้าที่สมส่วน (Facial Propotion) แทน แต่ละคนมีรูปหน้าที่สมส่วนต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติ และรูปกะโหลกของแต่ละคน
เพราะฉะนั้นเวลาปรับรูปหน้าคนไข้ ต้องดูก่อนว่ารูปแบบหน้าคนไข้เดิมเป็นแบบไหน สามารถปรับได้แบบไหนให้หน้าของคนไข้ดูมีความกลมกลืนมากขึ้นในลักษณะที่ไม่แปลกไปจากธรรมชาติมากนัก”
หมอวรพจน์ บอกว่าถ้ารูปหน้าคนเราเข้าสู่ความสมดุลย์ ก็จะสวยขึ้น ดูดีขึ้น
“สัดส่วนของใบหน้าต้องดูหลายอย่าง อาทิ หน้าผากถึงหว่างคิ้ว หว่างคิ้วถึงจมูก จมูกถึงปาก มันต้องมีสัดส่วนที่เท่ากัน 1 ต่อ 1 ต่อ 1 บางคนตรงกลางสั้น ก็จะดูสั้นๆ หน้ายุบๆ บางคนด้านล่างคางสั้น ก็จะดูเป็นคนไม่มีคาง รูปหน้าไม่สมส่วน
ไปดูคนหน้าตาสวยหล่อทั่วโลกส่วนใหญ่แล้ว จะ 1 ต่อ 1 ต่อ 1 หรือใกล้เคียงที่สุด
นอกจากนี้ ต้องดูสัดส่วนระหว่างตากับจมูก จมูกกับปาก ดู curve ระหว่างหน้าผากกับโหนกแก้ม ดู curve ระหว่างหน้าผากเทียบกับระหว่างความยาวของจมูก เทียบกับความสูงของคาง มันมี shape หลายอย่างให้พิจารณา เป็นสัดส่วนระหว่างใบหน้าส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง”
มิน่า “นานะ After School” นักร้องเกาหลีที่มีรูปหน้าได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบที่สุด ขึ้นหิ้งเจ้าของใบหน้าที่สวยที่สุดในโลกสองปีซ้อน
3) โบท็อกซ์ยังอยู่ แต่ปรับเทคนิคฉีดให้ดูเป็นธรรมชาติ
พอพูดหน้าโบท็อกซ์ปั๊บ พากันนึกถึงใบหน้าตึงเป๊ะเว่อร์ ทว่าไร้อารมณ์สุดฤทธิ์ คนที่ไปฉีดโบท็อกซ์ ก็มักขวยเขินไม่กล้ายอมรับว่าฉีดโบท็อกซ์มา แต่หนังหน้าพฤติกรรมบ่งชัด เวลาหัวเราะต้องปกปิดปากตัวเอง เนื่องจากเขยิบปากไม่ได้ตามธรรมชาติ กลายเป็นคนไม่มั่นใจตัวเองไปเลย
“เมื่อก่อนฉีดโบท็อกซ์ จะฉีดให้หน้าตึงเกลี้ยง ไร้ริ้วรอย เนียนเลย แต่ตอนนี้เทรนด์เปลี่ยนแล้ว การฉีดโบท็อกซ์ต้องฉีดให้หน้า soft ลง คนไข้ต้องมี motion ด้วย”
เป็นเทคนิค Motion Free Botox คนไข้ขยับหน้าแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ มีริ้วรอยบ้างจากการขยับหน้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว”
เรียกว่า มีริ้วรอยเล็กน้อยแต่พองามจากการแสดงสีหน้า ให้ผู้คนจับไม่ได้ว่าไปฉีดโบท็อกซ์มา ภาพรวมเบ้าหน้ายังปิ๊งเป๊ะอยู่ เซเลบดาราฝั่งอเมริกาหันมายึดเทรนด์นี้กันแล้ว
4) ผ่าตัดดูดไขมันเสี่ยงเกิน ใช้พลังงานสลายเฉพาะส่วนชัวร์กว่า
ความที่การผ่าตัดดูดไขมันเป็นวิธีที่ค่อนข้างเสี่ยง ดั่งเห็นข่าวประมาทพลาดถึงชีวิตมาแล้ว กระแสจึงเปลี่ยนจากการดูดไขมันมาฆ่าสลายไขมันเฉพาะส่วน โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้พลังงานแทน หลักๆ มี 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
ใช้คลื่นวิทยุ ซึ่งพัฒนาการคลื่นวิทยุในปัจจุบัน นอกจากสลายไขมันแล้ว ยังค่อยๆ ฆ่าเซลล์ไขมันให้ตายลงไปเรื่อยๆ เพื่อไม่มีไขมันกลับมาสะสมในส่วนเดิมซ้ำ มีข้อเสียคือ ต้องทำหลายครั้งทุกสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6-8 สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง
ใช้ความเย็นสลายไขมัน โดยวางเฉพาะจุด และแช่แข็งไขมันในอุณหภูมิติดลบ ทำครั้งเดียว แต่ต้องรอเวลาสามเดือน เซลล์ไขมันจะค่อยๆ ตายไปเอง
ใช้อัลตร้าซาวด์ บีบพลังงานให้แคบลง และยิงพุ่งไปที่เซลล์ไขมัน
“ต้องออกกำลังกายมาก่อน และค่อยมาสลายฆ่าไขมันเฉพาะที่ครับ ถึงได้ผล มิเช่นนั้นไขมันก็กลับมาสะสมได้อีก” หมอวรพจน์ อธิบาย
“การกำจัดไขมันส่วนเกิน จริงๆ แล้วเป็นการกำจัดไขมันเฉพาะส่วนเท่านั้น ไม่ใช่การลดน้ำหนัก เพราะการลดน้ำหนักอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของคนเรา แนะนำให้ออกกำลังกายลดน้ำหนักจนรูปร่างฟิต ถ้ายังมีไขมันสะสมเฉพาะส่วน ก็ใช้เทคโนโลยีช่วยกำจัดไขมันส่วนนั้นออก จะได้ผลกว่า”
5) ศัลย์ปากทรมานเว่อร์ ฉีดฟิลเลอร์ปากสวยรับทรัพย์มาแน่
ปีที่ผ่านมา ฮอตฮิตทำศัลยกรรมรูปปากกระจับปากปีกนกกันเหลือเกิน ยิ่งพอมีดาราไปทำ และบอกว่าตั้งแต่ทำมา งานเข้าตรึม เงินเข้าตูม ผู้คนก็สนใจอยากปากสวยเรียกทรัพย์บ้าง
ทว่าในกระบวนการทำศัลยกรรมที่ต้องผ่าตัด เย็บแผล ดูแลแผล ประคบเย็น แล้วค่อยประคบร้อน สองอาทิตย์แรกต้องอยู่กับอาการบวมระบม เจ็บเสียว เคี้ยวก็ไม่ได้ กินก็ลำบาก แถมบางคนต้องหมั่นทาลิปสติกกลบรอยจากการผ่าตัด
ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงยังชั่งใจ ไม่กล้าพาตัวเองไปขึ้นเขียงกรีดปาก
“แนวโน้มตอนนี้แม้แต่หมอศัลยกกรรมเองทั้งในยุโรปอเมริกามาทาง Non Surgical พยายามผ่าตัดให้น้อยที่สุด หรือไม่ผ่าตัดเลยดีที่สุด เรื่องศัลยกรรมปากเช่นกัน มีการใช้เทคนิคฟิลเลอร์สร้างสรรค์รูปปากแทน
แต่ต้องเป็นฟิลเลอร์เฉพาะสำหรับริมฝีปากเท่านั้น เพราะมีโมเลกุลค่อนข้างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดเป็นก้อนที่ริมฝีปาก และไม่บวมน้ำ เวลาฉีดเข้าไป จะได้รูปตามที่หมอต้องการเลย ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีบทบาทในการฉีด ทำให้ปากสวยงามได้มากขึ้น” หมอวรพจน์ เตือน
“ห้ามเอาฟิลเลอร์ที่ทำให้บวมน้ำได้ค่อนข้างมาก มาฉีดนะครับ เพราะเวลาฉีดเสร็จ จะสวยแค่ช่วงแรก พอเวลาผ่านไปหลายเดือน ปากคนไข้จะหนาและบวมยิ่งขึ้น
อีกอย่าง ระวังเรื่องฟิลเลอร์ปลอมด้วย เพราะน้ำหนักค่อนข้างมาก เกิดพังผืดได้ง่าย”
ไม่ว่านวัตกรรมเครื่องไม้เครื่องมือ หรือโบท็อกซ์ฟิลเลอร์ เทรนด์นิยมรูปหน้าแบบไหนกำลังมาก็ตาม ขอให้เป็นของจริงของแท้ และรักษาดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีทักษะประสบการณ์จริง
สวยหล่อไม่พอ ต้องปลอดภัยด้วย
ปีลิงปีนี้มาอัพเดทกัน ว่าอะไรมาแน่? อะไรฮอตชัวร์? ด้วยเหตุผลอันใด?
1) หุ่นยนต์ปลูกผม ธรรมชาติกว่า จ่ายน้อยกว่า
ปัญหาผมร่วงเป็นปัญหาที่มีมายาวนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องด้วยปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมน เทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษากันมาคือ การผ่าตัด ดึงรากผมจากด้านหลังตรงท้ายทอยมาปักข้างบนข้างหน้า ที่เรียกว่า Hair Transplant
“ปัญหาคือ เกิดแผลเป็นด้านหลังยาว คนไข้ที่ปลูกผมวิธีนี้จึงไม่สามารถตัดผมสั้นหรือโกนหัวได้ เพราะมิฉะนั้นจะเห็นเป็นรอยยาวเลยครับ” กูรูนายแพทย์ วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ Medical Director เฮอร์ทิจูดคลินิก บอกข้อเสียให้ฟัง
“พอตัดไปเรื่อยๆ ตีนผมจะร่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกดึงขึ้นเรื่อยๆ และการปลูกผมต้องทำหลายครั้ง ไม่สามารถทำเสร็จสมบูรณ์ได้ในครั้งเดียว เหมือนการปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่ มันต้องเว้นระยะห่างนิดหนึ่ง ครั้งแรกอาจ 1 ซม. ครั้งที่สอง มาเสียบระหว่างกลางลงไป จึงจำเป็นต้องทำหลายๆ ครั้ง”
แนวโน้มการใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยปลูกผม หรือ Robotic Hair Transplant จึงน่าจะมาแทนการผ่าตัดดำนาปลูกผมด้วยคน
“จริงๆ แล้ว ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ มีหุ่นยนต์ปลูกผมมานานแล้วครับ แต่นับว่ายิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะแทนที่จะใช้คนตัดหนังออกมา แยก hair graft คือ เอามีดเล็กๆ มาตัดผมให้เป็นตอเล็กๆ ซึ่งหนึ่งตอมี 2-3 เส้น เสียบๆ ลงไป ก็ใช้หุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์มีความแม่นยำกว่า กระจายได้มากกว่า ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น”
ใช้เวลาในการผ่าตัดลงลง เจ็บน้อยกว่า โอกาสอักเสบติดเชื้อน้อยลง ที่สำคัญ ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และค่าใช้จ่ายถูกกว่าเยอะเลย
2) วีเชฟหน้าหนูหน้าจิ้งจกดับสนิท รูปหน้าสมส่วนสิเลอค่า
ปีที่ผ่านๆ มา รูปหน้าสุดฮิตต้องเป็นวีเชฟ (V shape) ไม่ว่าจะเป็นทางการแพทย์ หรือเครื่องสำอางค์ พยายามโปรโมททำให้หน้าเรียวเป็นรูปตัว V
ทว่าพอคนไทยรับเทรนด์นี้มาสักพัก รู้สึกเลยว่าดูไม่เป็นธรรมชาติ วิจารณ์ว่าเหมือนหน้าหนูบ้างล่ะ คล้ายกล้วยบ้างล่ะ ดูราวกับสายพันธุ์เดียวกับจิ้งจกบ้างล่ะ
“ดังนั้นเทรนด์รักษาหน้าคนไข้ให้มีรูปหน้าสวย จะไม่พูดถึงเรื่องวีเชฟแล้ว แต่พูดถึงเรื่องของใบหน้าที่สมส่วน (Facial Propotion) แทน แต่ละคนมีรูปหน้าที่สมส่วนต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติ และรูปกะโหลกของแต่ละคน
เพราะฉะนั้นเวลาปรับรูปหน้าคนไข้ ต้องดูก่อนว่ารูปแบบหน้าคนไข้เดิมเป็นแบบไหน สามารถปรับได้แบบไหนให้หน้าของคนไข้ดูมีความกลมกลืนมากขึ้นในลักษณะที่ไม่แปลกไปจากธรรมชาติมากนัก”
หมอวรพจน์ บอกว่าถ้ารูปหน้าคนเราเข้าสู่ความสมดุลย์ ก็จะสวยขึ้น ดูดีขึ้น
“สัดส่วนของใบหน้าต้องดูหลายอย่าง อาทิ หน้าผากถึงหว่างคิ้ว หว่างคิ้วถึงจมูก จมูกถึงปาก มันต้องมีสัดส่วนที่เท่ากัน 1 ต่อ 1 ต่อ 1 บางคนตรงกลางสั้น ก็จะดูสั้นๆ หน้ายุบๆ บางคนด้านล่างคางสั้น ก็จะดูเป็นคนไม่มีคาง รูปหน้าไม่สมส่วน
ไปดูคนหน้าตาสวยหล่อทั่วโลกส่วนใหญ่แล้ว จะ 1 ต่อ 1 ต่อ 1 หรือใกล้เคียงที่สุด
นอกจากนี้ ต้องดูสัดส่วนระหว่างตากับจมูก จมูกกับปาก ดู curve ระหว่างหน้าผากกับโหนกแก้ม ดู curve ระหว่างหน้าผากเทียบกับระหว่างความยาวของจมูก เทียบกับความสูงของคาง มันมี shape หลายอย่างให้พิจารณา เป็นสัดส่วนระหว่างใบหน้าส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง”
มิน่า “นานะ After School” นักร้องเกาหลีที่มีรูปหน้าได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบที่สุด ขึ้นหิ้งเจ้าของใบหน้าที่สวยที่สุดในโลกสองปีซ้อน
3) โบท็อกซ์ยังอยู่ แต่ปรับเทคนิคฉีดให้ดูเป็นธรรมชาติ
พอพูดหน้าโบท็อกซ์ปั๊บ พากันนึกถึงใบหน้าตึงเป๊ะเว่อร์ ทว่าไร้อารมณ์สุดฤทธิ์ คนที่ไปฉีดโบท็อกซ์ ก็มักขวยเขินไม่กล้ายอมรับว่าฉีดโบท็อกซ์มา แต่หนังหน้าพฤติกรรมบ่งชัด เวลาหัวเราะต้องปกปิดปากตัวเอง เนื่องจากเขยิบปากไม่ได้ตามธรรมชาติ กลายเป็นคนไม่มั่นใจตัวเองไปเลย
“เมื่อก่อนฉีดโบท็อกซ์ จะฉีดให้หน้าตึงเกลี้ยง ไร้ริ้วรอย เนียนเลย แต่ตอนนี้เทรนด์เปลี่ยนแล้ว การฉีดโบท็อกซ์ต้องฉีดให้หน้า soft ลง คนไข้ต้องมี motion ด้วย”
เป็นเทคนิค Motion Free Botox คนไข้ขยับหน้าแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ มีริ้วรอยบ้างจากการขยับหน้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว”
เรียกว่า มีริ้วรอยเล็กน้อยแต่พองามจากการแสดงสีหน้า ให้ผู้คนจับไม่ได้ว่าไปฉีดโบท็อกซ์มา ภาพรวมเบ้าหน้ายังปิ๊งเป๊ะอยู่ เซเลบดาราฝั่งอเมริกาหันมายึดเทรนด์นี้กันแล้ว
4) ผ่าตัดดูดไขมันเสี่ยงเกิน ใช้พลังงานสลายเฉพาะส่วนชัวร์กว่า
ความที่การผ่าตัดดูดไขมันเป็นวิธีที่ค่อนข้างเสี่ยง ดั่งเห็นข่าวประมาทพลาดถึงชีวิตมาแล้ว กระแสจึงเปลี่ยนจากการดูดไขมันมาฆ่าสลายไขมันเฉพาะส่วน โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้พลังงานแทน หลักๆ มี 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
ใช้คลื่นวิทยุ ซึ่งพัฒนาการคลื่นวิทยุในปัจจุบัน นอกจากสลายไขมันแล้ว ยังค่อยๆ ฆ่าเซลล์ไขมันให้ตายลงไปเรื่อยๆ เพื่อไม่มีไขมันกลับมาสะสมในส่วนเดิมซ้ำ มีข้อเสียคือ ต้องทำหลายครั้งทุกสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6-8 สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง
ใช้ความเย็นสลายไขมัน โดยวางเฉพาะจุด และแช่แข็งไขมันในอุณหภูมิติดลบ ทำครั้งเดียว แต่ต้องรอเวลาสามเดือน เซลล์ไขมันจะค่อยๆ ตายไปเอง
ใช้อัลตร้าซาวด์ บีบพลังงานให้แคบลง และยิงพุ่งไปที่เซลล์ไขมัน
“ต้องออกกำลังกายมาก่อน และค่อยมาสลายฆ่าไขมันเฉพาะที่ครับ ถึงได้ผล มิเช่นนั้นไขมันก็กลับมาสะสมได้อีก” หมอวรพจน์ อธิบาย
“การกำจัดไขมันส่วนเกิน จริงๆ แล้วเป็นการกำจัดไขมันเฉพาะส่วนเท่านั้น ไม่ใช่การลดน้ำหนัก เพราะการลดน้ำหนักอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของคนเรา แนะนำให้ออกกำลังกายลดน้ำหนักจนรูปร่างฟิต ถ้ายังมีไขมันสะสมเฉพาะส่วน ก็ใช้เทคโนโลยีช่วยกำจัดไขมันส่วนนั้นออก จะได้ผลกว่า”
5) ศัลย์ปากทรมานเว่อร์ ฉีดฟิลเลอร์ปากสวยรับทรัพย์มาแน่
ปีที่ผ่านมา ฮอตฮิตทำศัลยกรรมรูปปากกระจับปากปีกนกกันเหลือเกิน ยิ่งพอมีดาราไปทำ และบอกว่าตั้งแต่ทำมา งานเข้าตรึม เงินเข้าตูม ผู้คนก็สนใจอยากปากสวยเรียกทรัพย์บ้าง
ทว่าในกระบวนการทำศัลยกรรมที่ต้องผ่าตัด เย็บแผล ดูแลแผล ประคบเย็น แล้วค่อยประคบร้อน สองอาทิตย์แรกต้องอยู่กับอาการบวมระบม เจ็บเสียว เคี้ยวก็ไม่ได้ กินก็ลำบาก แถมบางคนต้องหมั่นทาลิปสติกกลบรอยจากการผ่าตัด
ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงยังชั่งใจ ไม่กล้าพาตัวเองไปขึ้นเขียงกรีดปาก
“แนวโน้มตอนนี้แม้แต่หมอศัลยกกรรมเองทั้งในยุโรปอเมริกามาทาง Non Surgical พยายามผ่าตัดให้น้อยที่สุด หรือไม่ผ่าตัดเลยดีที่สุด เรื่องศัลยกรรมปากเช่นกัน มีการใช้เทคนิคฟิลเลอร์สร้างสรรค์รูปปากแทน
แต่ต้องเป็นฟิลเลอร์เฉพาะสำหรับริมฝีปากเท่านั้น เพราะมีโมเลกุลค่อนข้างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดเป็นก้อนที่ริมฝีปาก และไม่บวมน้ำ เวลาฉีดเข้าไป จะได้รูปตามที่หมอต้องการเลย ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีบทบาทในการฉีด ทำให้ปากสวยงามได้มากขึ้น” หมอวรพจน์ เตือน
“ห้ามเอาฟิลเลอร์ที่ทำให้บวมน้ำได้ค่อนข้างมาก มาฉีดนะครับ เพราะเวลาฉีดเสร็จ จะสวยแค่ช่วงแรก พอเวลาผ่านไปหลายเดือน ปากคนไข้จะหนาและบวมยิ่งขึ้น
อีกอย่าง ระวังเรื่องฟิลเลอร์ปลอมด้วย เพราะน้ำหนักค่อนข้างมาก เกิดพังผืดได้ง่าย”
ไม่ว่านวัตกรรมเครื่องไม้เครื่องมือ หรือโบท็อกซ์ฟิลเลอร์ เทรนด์นิยมรูปหน้าแบบไหนกำลังมาก็ตาม ขอให้เป็นของจริงของแท้ และรักษาดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีทักษะประสบการณ์จริง
สวยหล่อไม่พอ ต้องปลอดภัยด้วย