“ลูกหยี” ตัวละครที่กำลังพูดถึงกันอย่างล้นหลามในโลกโซเชียลฯ นางร้ายหน้าสวยดึงดูดทุกสายตา ท้าทายอารมณ์ไปกับฝีมือการแสดงของ “แพร- พิชชาภา” ที่ตีบทแตกถึงใจ ถึงอารมณ์ บวกกับบุคลิกท่วงท่าที่แฝงไปด้วยความมีเสน่ห์ พร้อมกับใบหน้าอันสวยใสของเธอ ยิ่งทำให้กระแสของนางร้ายคนนี้มาแรงแบบสุดๆ และครองใจคนดูทั้งประเทศ!!
สวย แซ่บ ร้าย!
เรียกว่ากระแสมาแรงจนฉุดไม่อยู่เลยทีเดียวสำหรับละครแซ่บเวอร์ “ไฟล้างไฟ” เรื่องราวที่ดุเดือด เชือดเฉือน เกี่ยวกับการแก้แค้น ที่แฝงไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น กระแทกใจคนดู จนแฟนละครต่างติดกันงอมแงม เฝ้าหน้าจอรอลุ้นทุกตอนเลยทีเดียว และปฏิเสธไม่ได้ว่า อีกหนึ่งบทบาทเด่นที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดในขณะนี้คงนี้ไม่พ้น “ลูกหยี” ที่รับบทโดย “แพร-พิชชาภา พันธุมจินดา” นางร้าย หน้าสวย ลูกคุณหนู ขี้วีน ที่ตามจิกสามีเจ้าชู้จากผู้หญิงไร้ยางอายทั้งหลาย เสียงแว้ดๆ ของเธอผู้นี้จึงดังก้องอยู่ในทุกฉาก ทุกตอน
M-Lite สัปดาห์นี้ก็ไม่พลาดที่จะคว้าตัวเธอมาร่วมพูดคุย หลังจากกล่าวคำทักทายกันได้สักพักหนีไม่พ้นประเด็นคำถามแรกรู้สึกอย่างไรที่เพียงชั่วข้ามคืนไม่มีใครไม่รู้จัก “ลูกหยี” จากผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งผ่านผลงานมาเพียงไม่กี่เรื่อง จนกระทั่งได้มาเล่นละครเรื่องไฟล้างไฟก็ดังเป็นพลุแตกจนฉุดไม่อยู่กับบทร้ายได้ใจ ทำให้เธอกลายเป็นสาวฮอตขึ้นมาทันที... และบรรทัดต่อจากนี้คือบทสนทนาระหว่างเรา
“จริงๆ แล้วแพรเป็นคนที่ทำงานแล้วไม่คาดหวังนะคะ แต่ตอนแรกก็แอบคิดอยู่นะว่าอาจจะมีกระแสบ้างแต่ไม่คิดว่าจะแรงขนาดนี้เพราะว่าเหมือนคนไทยจะชอบละครมันๆ สนุกๆ ตัวแพรเองก็ชอบละครแรงๆ นะ แต่ว่าไม่คิดว่าจะมีคนติดตามแล้วไม่ใช่ดูแค่ความบันเทิงดูดีเทลทุกอย่างทั้งแต่งหน้า แต่งหน้านอนหรือเปล่าฉากเป็นยังไง
ก่อนละครออกกังวลมากว่าผลออกมามันจะเป็นยังไง เพราะตอนถ่ายตัวแพรเครียดเหมือนกัน แต่พอผลมันออกมาแบบนี้มันหายเหนื่อย แล้วก็ดีใจกับทีมมากๆ เวลาไปไหนมาไหนก็จะมีคนเข้ามาชมละครของเรา ถามว่าลูกหยีต่อไปจะเป็นยังไง ก็ดีใจที่หลายๆ คนติดตามละคร ไม่ใช่แค่กับตัวเองที่เหมือนเราก้าวผ่านไปอีกขั้นของการแสดงแล้วก็ดีใจกับทีมงานด้วย เพราะทุกคนตั้งใจทำงานกันมากค่ะ” เธอเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าภูมิใจไม่น้อย
สำหรับละครเรื่องนี้ไม่ใช่ละครเรื่องแรก แต่สาวแพรผ่านการแสดงมา 3 เรื่องด้วยกัน และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 4 ถึงแม้สาวแพรจะเคยได้เล่นบทร้ายมาก่อนในละครก่อนหน้านี้คือเรื่อง “ภพรัก” แต่สำหรับเรื่อง “ไฟล้างไฟแล้ว” สาวแพรบอกว่าถือว่ายากมากและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะตัวลูกหยีเป็นคนเหมือนจะร้ายแต่จริงๆ เป็นคนคิดดี และเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เรียนการแสดงเพิ่มเท่านั้น แต่ถึงขั้นต้องไปเรียนออกเสียงเพิ่มเติมเลยทีเดียว
“ร้ายเรื่องนั้นกับร้ายเรื่องนี้มันต่างกันมาก (ลากเสียงยาว) เรื่องก่อนจะเป็นร้ายเก็บกดแล้วก็จะเป็นคนที่คิดร้ายแต่ว่า ตัวละครตัวนี้จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนร้ายแต่เหมือนนิสัยไม่ดี เรื่องนี้ใช้พลังเยอะมากค่ะ ตอนเล่นแพรก็จะมีเสียงแหบบ้าง พี่ก็จะแนะนำให้ไปเรียนเสียงเพิ่ม ออกเสียง
เพราะตัวละคนตัวนี้จะตะโกนตลอดเวลา บางทีเสียงแหบเสียงหายเสียงหลบใน ก็พยายามกินน้ำเยอะๆ ทำการบ้านคืออ่านบทและพยายามทำความเข้าใจกับมันให้มากที่สุด และตัวละครตัวนี้มันไม่ได้คิดซับซ้อนแต่มันคิดไปไกลเหมือนเป็นคนสุดโต่งสมมติว่าโมโหเต็ม 10 ให้ 15 เกิน แรกๆ ก็จะมีแอ๊กติ้งไม่ถึงจุดที่ผู้กำกับต้องการได้ ก็จะให้ไปเวิร์กชอปก่อนก็จะเรียกมาพูดคุยแล้วก็จะมีแนะนำก็จะช่วยได้เยอะเลย”
ถึงแม้จะเป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ และยังมีความใหม่ในวงการบันเทิงอยู่แต่เธอก็มีความโชคดีเพราะจากละครแต่ละเรื่องที่เธอผ่านมานั้นเธอได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ มากฝีมือทั้งนั้น ทำให้ตรงจุดนี้เองเธอจึงเก็บเกี่ยวประสมการณ์ เรียนรู้จากพี่ๆ นักแสดงให้ตัวเองได้พัฒนาฝีมือการแสดงไปได้อีกหลายขั้น
“ยากมากแล้วตอนแรกกลัวมากออกมา อย่างที่เห็นในเรื่องเลยแต่ละคนจะมีแต่นักแสดงรุ่นใหญ่แต่ละคนคับคั่งมาก เหมือนเราเป็นใคร (หัวเราะ) เราเพิ่งเล่นมาไม่กี่เรื่องแล้วบทที่ได้ก็เด่นมากเป็นบทที่ดำเนินเรื่องปะทะพี่แมท ก็ประหม่าแต่พอออกผลตอบรับดีก็รู้สึกว่าเราได้ก้าวไปอีกขั้น
เป็นตัวละครที่คิดเยอะส่วนตัวนี้มันยากตรงที่เรารู้สึกยังไงอย่างที่บอกรู้สึกยังไงต้องเล่นเกิน แรกๆ แพรไม่เข้าใจนะ มันมีบางฉากที่ตัวละครทำไข่เจียวให้สามีกินแล้วคนใช้ใส่พริกหยวกแล้วเราโมโห มีทุบโต๊ะด้วยนะยืนเหวี่ยงโวยวาย ตอนเล่นก็มีไม่เข้าใจตัวละคร แบบขนาดนั้นเลย (หัวเราะ) พี่แมทก็จะแนะนำว่าเราต้องดึงสมาธิเราต้องใช้ความคิดของตัวละครไม่ใช่ตัวเรา แล้วก็ทำให้มันผ่านไปได้ด้วยดี”
หน้าสวย แต่ขี้เหวี่ยง
เห็นในจอดูขี้เหวี่ยง ขี้วีน เอามากๆ อดสงสัยไม่ได้เลยว่าเมื่อออกนอกฉากกลายเป็นตัวเองแล้วเธอจะเอานิสัยลูกคุณหนูจอมโวยวายติดกับไปบ้านบางหรือเปล่า? สาวแพรอมยิ้มพลางบอกว่าตัวจริงแพรไม่ได้เป็นคนแบบนั้นนะ
“ (หัวเราะ) ไม่มีค่ะ ไม่มีติด แพรเป็นคนแยกแยะได้ พอออกนอกฉากปุ๊บก็เป็นตัวของตัวเอง บทนี้แตกต่างมากทั้งนิสัยแล้วก็ภายนอก ตรงที่ตัวลูกหยีแต่งตัวเยอะ คืออยู่บ้านก็ขอต่างหูนิดหนึ่งตามสไตล์ลูกคุณหนู แต่ตัวจริงแพรไม่ได้ลูกคุณหนูไม่ได้ติดแบรนด์เนม แพรจะง่ายๆ สบายๆ มากกว่า ลูกหยีจะเอาแต่ใจส่วนตัวแพรเป็นคนเฉยๆ
ถ้าชีวิตจริงเจอสามีแบบนี้ คงโห..! เครียดนะ ถ้าแต่งงานกันไปแล้วเจอแบบนี้จริงๆ ก็อาจจะปรับความเข้าใจมั้ง ถ้าปรับไม่ได้ก็แหมสวย รวย ขนาดนี้ ก็หาใหม่สิคะ”
สาวแพรผ่านงานละครมาแล้วหลายเรื่อง โดยแต่ละเรื่องนั้นได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือทั้งนั้น และในเรื่องนี้ต้องปะทะกับบอย-ปกรณ์ และ แมท-ภีรนีย์ ซึ่งเป็นพระ-นาง เบอร์ต้นๆ เลยทีเดียว
“ตอนแรกเกร็งมากเพราะว่าตอนแรกพี่สาวแพรเป็นแฟนคลับพี่บอย นางก็จะชอบเปิดผลงาน ตัดต่อรูป เซปรูปหน้าตัวเองกับพี่บอย เราก็จะเห็นผลงานพี่บอยมาก่อน พอเราเจอครั้งแรกเราก็เกร็งๆ แต่ก็อย่างที่รู้คือพี่บอยตลก เฟรนด์ลี่ แล้วก็น่ารัก มันก็ทำให้เราเหมือนกล้าคุยกับเขา ก็จะแนะนำอะไรหลายๆอย่าง
ส่วนพี่แมทไม่กล้าเข้าหาพี่แมทเลยค่ะ ลุคแรกที่มองคือเขาจะนิ่งเราก็จะกลัวเขาเหมือนต้องไปปะทะกับเขาด้วยบางทีเขาเล่นแล้วส่งอารมณ์มาน่ากลัว เราก็รู้สึกกลัวผู้หญิงคนนี้ พอนอกฉากพี่แมทจะน่ารัก”
และถึงแม้ละครเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของการแก้แค้น แต่ก็จะมีเรื่องผู้ชายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่เพียงแต่จะให้ความมันเท่านั้นแต่เรื่องนี้ก็ยังคงสอดแทรกแง่คิด และคติสอนใจเอาไว้มากมายโดยถ่ายทอดจากตัวละครที่ชื่อว่าป้าเพ็ญ
“จริงๆ แล้วแพรว่าไม่ใช่แค่ตัวบทแพร ตัวบทบุคคลมันสอนทุกคนจะมีข้อคิดอยู่แล้ว จะมีตัวละครที่ชื่อป้าเพ็ญที่จะคอยสอนแม่ของเรา แกจะพูดข้อคิด พูดสรุปข้อคิดของแต่ละวันไปในตัวบทคำพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น จะสรุปออกมาเป็นข้อคิด จริงๆ แล้วในเรื่องมีข้อคิดเยอะมาก แต่ข้อคิดหลักๆคือความสุขมันอยู่ที่ใจ เหมือนคำว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”
สาวแพรบอกว่าการเล่นละครเรื่องนี้ถือว่ายากทุกฉาก เพราะต้องใช้พลัง อารมณ์ในการแสดงเยอะมากๆ และทั้งหมดทั้งมวลคาแร็กเตอร์ของลูกหยีก็ต่างกับเธออย่างสิ้นเชิง
“จริงๆ แล้วหินทุกฉาก เพราะว่าเป็นตัวละครที่ใช้สวิงอารมณ์เยอะมาก ฉากหินสำหรับแพรคือฉากโกรธมากๆ กับเสียใจมากๆ ของตัวละคร เพราะในความรู้สึกโกรธมันต้องโกรธแบบจริงจัง ถ้าเป็นชีวิตจริงอย่างตัวแพรถ้าโกรธแพรก็จะเงียบ นิ่ง แต่ว่าตัวละครนี้ต้องออกมาให้หมด แพรรู้สึกว่ามันยากเพราะมันขัดกับตัวจริงของเรา ก็เหมือนทำความเข้าใจ
บทดรามาของลูกหยีจะไม่ดรามาแบบน่าสงสารแบบสวยงามเท่าไหร่ แต่ว่าจะเหมือนดรามาแล้วก็โกรธด้วยเหมือนเวลาร้องไห้แต่ก็โกรธอยู่นะ เราเลยรู้สึกว่าการที่คนโกรธจริงมันเสียใจ โกรธจนแบบร้องไห้ขนาดนั้น ตัวแพรไม่เข้าใจ แต่หลังๆ ก็เหมือนทำความเข้าใจมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่ายากตอนก่อนจะออนแอร์ก็กลัวว่ามันจะออกมาดีรึเปล่า”
แต่พอเห็นผลงานของตัวเองแล้ว เธอก็บอกว่าภูมิใจอยู่ไม่ใช่น้อยเพราะผมตอบรับดีเกินคาด มีคนชมเธอเยอะขึ้นมากๆและเธอก็เอากำลังใจตรงส่วนนี้เป็นแรงผลักดันให้ตัวเองพัฒนาต่อไป และสาวแพรยังอ้อนแฟนละครขอฝากละครทิ้งท้ายเอาไว้ว่าบทลูกหยีจะแซ่บขึ้นเรื่อยๆ และเวอร์ชันไฟล้างไฟนี้ไม่เหมือนเวอร์ชันเก่าแน่นอน!!
“จริงๆ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงแพรทำมันออกมาดีที่สุดแล้วแพรก็ภูมิใจนะ พอมันออกมาดีเกินคาด มีผู้ใหญ่มาทักเราเรื่องการแสดงคือเห็นพัฒนาการของเราก็รู้สึกดีใจค่ะ แล้วก็มีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป
เริ่มต้นก็ดรามาแล้ว จุดจบต้องยิ่งกว่านั้นสิคะ จริงๆ มีหลายคนไปอ่านบทโทรทัศน์มาก็จะรู้บ้าง บางคนก็ไปหาดูตอนเก่ายูทิวบ์ แต่ก็จะบอกว่าเวอร์ชันนี้ไม่เหมือนเวอร์ชันก่อนก็ลองติดตามดูนะคะ”
เด็กธรรมดา สู่เส้นทางนางร้าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกำลังเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังมาแรงในเส้นทางสายของนางร้ายหน้าเหวี่ยงที่ ณ ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “ลูกหยี” ในบทบาทลูกคุณหนู ขี้เหวียง ขี้วีน เอาแต่ใจ และหวงสามี อย่างแน่นอน...
“ก็ดีใจค่ะ ตรงที่เหมือนเราตั้งใจทำงานอะไรออกมาแล้วผลมันออกมาเกินคาดมันทำให้เราอยากทำให้มันดีขึ้น เหมือนอยากรักษามาตรฐานตัวเองเอาไว้ และก็ดีใจที่คนเข้ามาติ ชม มีคนจำได้เยอะขึ้นแต่จะมีเวอร์ชันหน้าสดเหมือนเคยไปทรัตเมนต์หน้าที่ห้างแล้วเดินออกมาหน้าสดๆ ไม่มีใครจำได้เลย (ยิ้มขี้เล่น) แต่ถ้าแต่งหน้าบ้างคนก็จะ อ๋อ ลูกหยีๆ แฟนคลับแพรก็จะชื่นชมผลงานมากกว่าเพราะว่าเหมือนเขาจะติดตามผลงานอยากรู้ว่าเราจะมีผลงานอะไรต่อไป”
เธอจับพลัดจับผลูก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงจากการเข้ามาทำงานในโมเดลลิ่ง ด้วยความที่มีใบหน้าสวย ใส บวกกับความสามารถที่เธอมี ทำให้เธอได้มีโอกาสได้เล่นโฆษณา MV หลายต่อหลายตัวก่อนจะได้มารับบทเด่นเล่นละครกับทางช่อง 3
“โมเดลลิ่งสเตลล่าติดต่อมาตอนมหา’ลัยค่ะ มีคนแนะนำพี่เขามาอีกทีเป็นเพื่อนกับแพรเอง เหมือนจะหาเด็กเข้าสังกัด ตอนแรกตื่นเต้นมากกำลังอยากหางานทำพอดี คิดอยู่ว่าจะไปขายป๊อบคอร์นที่โรงหนังแต่คุณแม่ไม่ให้ตอนนั้นอยู่ปี 1 เคยคิดตอนม.ปลายว่าจะทำงานพาสไทม์
เคยดูหนังเกาหลีมั้ยที่นางเอกทำงานพาสไทม์ก็อยากทำอยากเก็บตังค์ แต่เหมือนบังเอิญได้มีโอกาสเจอพี่เขาก่อนเราก็ไปเสิร์ชดูในเน็ตว่าโมเดลลิ่งนี้ของจริงหรือของปลอมเพราะมันจะมีข่าวโมเดลลิ่งปลอมแม่ก็กลัว พอดูปุ๊บสเตลล่าเชื่อถือได้ก็เลยลองเข้ามาดู
ได้มีโอกาสได้แคสต์โฆษณา แล้วก็มีถ่ายนิตยสาร หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้เข้ามาแคสต์ละครของค่ายแล้วก็ได้เล่นเรื่องแรกเลย แพรเคยเล่น MV ได้เล่นช่วงเดียวกับที่ได้ละครเรื่องแรก คือถ่ายคู่กันไป โฆษณาก็เคยถ่ายก่อนที่จะเข้าช่องมีถ่ายมา 3 ตัวค่ะ
ละครกับ MV มันต่างกันตรงที่ ละครจะมีที่มาที่ไป สมมติว่าเป็นลูกหยีเราก็ต้องดูพื้นฐานตัวละครว่าเขาเกิดมายังไง เรียนยังไงทำไมเขาถึงชอบแบบนี้ เราต้องหาประวัติของเขาหมดเลย แต่ว่า MV อยู่ๆ เราเล่นขึ้นมาแล้วร้อยได้ ก็อาจจะมีหาประวัติของตัวละครแต่มันไม่ได้ลึกเท่าละคร เพราะเวลาเล่นมันสั้นมันไม่เหมือนในละคร ชอบละครมากกว่าเพราะเราได้เห็นพัฒนาการของคนคน หนึ่ง ที่เราได้เข้าไปเป็นคนนั้นแล้วมันสนุก”
เธอได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการเข้ามายืนตรงจุดนี้ เธอมีมุมมองที่กว้างมากขึ้น ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอหลงรักในการแสดงเข้าอย่างจัง
“ถ้าแพรไม่ได้มาทำงานตรงนี้เป็นนักศึกษาทั่วไป แพรก็จะเห็นแค่มุมมองชีวิตของตัวเองกับคนรอบข้าง แต่พอเราได้เข้ามาเป็นนักแสดงเราได้มาเป็นอีกคนหนึ่งเลยคือไม่ได้แค่นั่งมอง แต่เราเข้าไปเป็นเลย อย่างบทคนใช้ชีวิตจริงเราคงไม่ได้ไปทำงานบ้านในบ้านคนอื่น เรื่องลูกหยีอยู่ๆ ก็ได้เป็นคุณหนู อยู่ๆ ก็ได้แต่งงาน อยู่ๆ ก็ได้ตบคนก็สนุกดี (หัวเราะ)
เราบังเอิญได้มีโอกาสมาทำงานตรงนี้คือตอนแรกก็ตื่นเต้น อุ้ย..! ได้เข้าช่องเหรอจะเป็นยังไง พอทำงานตรงนี้แล้วก็รู้สึกอยากทำไปเรื่อยๆ นะเพราะมันสนุก ไม่เหมือนที่มองไว้เลยค่ะตอนแรกมองว่าต้องหน้าตาดี หุ่นดี ต้องร้องเพลงเก่ง เต้นได้
แต่พอเราเข้ามาแล้วส่วนที่เราคิดเป็นส่วนที่น้อยมากเพราะว่าความสวยความหล่อของคนคือมันไม่มีอะไรเป็นมาตรฐาน บางคนมองว่าดาราคนนี้หล่อ แต่บางคนไม่หล่อแต่ดังก็มี เพราะว่าอาจจะมีอะไรบางอย่าง พอเราเข้ามาทำถึงรู้ว่ามันไม่ได้มีแค่สิ่งภายนอกเท่านั้นมันมีเรื่องมารยาท วินัย เรื่องนิสัยก็มีส่วน เพราะแพรรู้สึกว่าคนนิสัยไม่ดีมาทำงานตรงนี้ได้ไม่นาน”
ในความฝันของเด็กหลายๆ คนอาจมีความฝันว่าโตขึ้นฉันจะต้องเป็นดาราหรือนางงาม แต่สำหรับสาวแพรนั้นการเป็นอะไรพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของเธอเลย เธอมีความคิดที่แปลกออกไป ด้วยความที่เธอนับถือศาสนาคริสต์และได้เข้าโบสถ์บ่อยๆ ทำให้เธอคิดอยากจะบวช...
“ไม่เคยเลยที่จะคิดว่าตัวเองอยากเป็นดารา ตอนเด็กๆ ออกแนวอยากบวชนะ ตัวแพรเองนับถือศาสนาคริสต์แล้วเข้าโบสถ์บ่อย ทางด้านคุณพ่อจะเคร่งแล้วเหมือนให้เราผูกพันกับศาสนาเลยขอคุณแม่ไปบวชตอนนั้นเด็กมากอายุประถมปลายๆ
คุณแม่ก็บอกถ้าไปบวชแล้วคุณแม่จะอยู่กับใครล่ะ ตอนนี้ยังเด็กอยู่เลยโตขึ้นเดี๋ยวคิดอีกทีมั้ย คุณแม่ก็คงจะเหมือนดูว่าความต้องการของเราเป็นยังไง แต่พอเราโตขึ้นเราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างทัศนคติเราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”
สาวหลายบุคลิก
หากถามถึงอะไรคือจุดเด่นในตัวเอง สาวแพรนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่แล้วบอกว่าน่าจะเป็นโก๊ะๆ ตรงๆ เพราะคนรอบตัวจะพูดถึงตัวเองแบบนี้เสียส่วนใหญ่ และหากย้อนกลับไปตอนวัยเรียนมัธยมเธอเองก็ไม่มีจุดเด่นอะไร และไม่ได้เป็นดาวเด่นของโรงเรียนด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้สาวแพรก็งงอยู่เหมือนกันตัวเองมีอะไรดีถึงได้รับโอกาสมากมายในวงการบันเทิงขนาดนี้
“ตอนแรกไม่รู้ว่ามีจุดเด่นอะไรแต่มันก็อาจจะมีบางอย่างนะแต่เราไม่รู้ ส่วนมากจะมีคนพูดว่าแกก็ตรงดีเนอะ นิสัย แกก็บ้าเนอะ โก๊ะ อะไรแบบนี้ แต่ไม่ได้โก๊ะแบบน่ารักนะเป็นโก๊ะกะโหลกกะลา เราก็ไม่รู้นะว่าเราเข้ามาตรงนี้ได้ยังไงแต่คิดว่าคงมีอะไรบางอย่าง ขนาดตอนแพรอยู่มัธยม แพรยังไม่ได้ประกวดนางนพมาศ ไม่เคยเป็นตัวสวยๆ อยู่ในโรงเรียนเลย เคยทาสีสแตน นั่งพับกระทง เราก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรเรา เป็นเด็กกิจกรรมแต่จะอยู่เบื้องหลัง
ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ได้ถึงขั้นขี้อาย อยู่กับเพื่อนก็เฮฮาปกติ แต่ถ้าจะให้ออกไปงานโรงเรียนไปยืนหน้าเวทีก็แบบทำไม่ได้ แต่ตอนนี้พอได้เข้าเรียนการแสดงก็รู้สึกว่ามั่นใจมากขึ้น”
มองเผินๆ แล้ว จะสาวหวานก็ใช่ มาดนิ่งก็ใช่ หรือแม้แต่สาวร่าเริงก็ใช่ เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่าจริงๆ แล้ว สาวแพรเป็นคนยังไงกันแน่? เจ้าตัวนิ่งคิดแล้วตอบว่า “แพรไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง”
“รู้สึกว่าตัวเองมีหลายด้าน มีหลายบุคลิก เพียงแต่ว่าตอนนั้นเราอยู่ในโหมดอะไร เป็นคนยังไงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จริงๆ ชอบอะไรก็ได้แต่ไม่จัดไปทางด้านใดด้านหนึ่งชอบอะไรกลางๆ ตัวเองเป็นคนกลางๆ บางทีอารมณ์ก็แต่งหน้า อารมณ์ดีมากก็ติดขนตาออกจากบ้าน”
ตรงมาก็ตรงกลับนี่คือนิสัยและตัวตนของเธอ เธอไม่ชอบโกหก หรือเฟกใส่ใคร และเธอก็เชื่อว่าหากปฏิบัติตัวอย่างไรกับใครแล้ว เธอก็จะได้รับสิ่งๆ นั้นกลับมาเหมือนกัน
“เป็นคนที่มีความจริง เป็นคนไม่เฟก แต่ก็ไม่ถึงกับเปิดเผยแต่ว่าถ้าใครตรงมาก็ตรงกลับ เราก็ไม่ได้ไปโกหกหรือคิดแง่ลบกับเขาแต่ว่าเราไม่ได้เฟกกับใคร รู้สึกจริงใจมากกว่า เคยมีคิดว่าแพรหยิ่งนะเหมือนเวลาแพรนั่งนิ่งๆ เวลาไม่มีอะไรทำ นั่งเหม่อนะหน้าก็คงบึ้งๆ
เคยมีคนบอกแพรเป็นคนหน้าดุนะ หลายคนพอมารู้จักแพรก็บอกว่าไม่ดุเลย ก็ถ้าอยู่กับเพื่อนก็จะร่าเริง เฮฮาเหมือนวัยรุ่นทั่วไป เล่นกันบ้าๆ บอๆ ถ้าอยู่กับผู้ใหญ่ก็จะนิ่งลงมาหน่อยไม่ถึงขั้นเราต้องแอ๊บนิ่งนะ เรียกว่าเรารู้กาลเทศะมากกว่า ส่วนถ้าเราอยู่กับคนทั่วไปเราก็อาจจะนิ่งบ้าง เล่นบ้าง ก็เหมือนคนปกตินะ มีอารมณ์ดีไม่ดีบ้าง”
“ก้น” เป็นสิ่งที่ชอบที่สุดในร่างกาย เพราะรู้สึกว่าสวยและสมดุลที่สุดแล้ว และหากช่วงไหนออกกำลังก็จะหลงรักตัวเองเป็นอย่างมาก สาวแพรเล่าขณะที่ถามว่าคิดว่าอะไรสวยและมีเสน่ห์ที่สุดในร่างกาย
“ในตัวแพรเป็นคนชอบก้นตัวเองนะ แพรรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนก้นสวย ชอบยืนส่องกระจกดูโรคจิตปะ (หัวเราะ) แพรรู้สึกว่ามันเป็นส่วนที่มันสมดุล หุ่นแพรไม่ได้เป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าช่วงไหนออกกำลังกายจะรักตัวเองมาก แบบหุ่นดีจังเลย ถ้าเป็นช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายก็จะชอบแค่บางส่วน เป็นคนชอบออกกำลังกายแต่ไม่ได้ถึงขึ้นติด ก็จะเล่นโยคะ ฟิสเนต ยกน้ำหนัก”
หนังสือที่ฉันรัก
พูดถึงเวลาว่าง สาวแพรก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป มีไปเที่ยว ดูหนัง เล่นโทรศัพท์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สาวแพรติดมากหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะต้องอยู่กับสิ่งนั้นทันทีนั่นก็คือ “หนังสือจิตวิทยา”
“แพรชอบอ่านเกี่ยวกับจิตวิทยาเพราะแพรรู้สึกว่าจิตวิทยาจะเกี่ยวกับมนุษย์ แล้วแพรรู้สึกว่าคนมันมีอะไรที่น่าสนใจ เช่น บางทีเรานั่งกับใครแพรก็อยากรู้ว่าเขาคิดยังไง เราดูจากภาษากายของเขาได้ แพรรู้สึกว่าอ่านเรื่องนี้มันได้ความรู้แล้วมันเอาไปใช้แล้วมันง่ายต่อการที่จะติดต่องาน มันง่ายที่จะเข้าหาตนอื่นมากกว่า
อ่านแล้วไม่เครียดนะคะ ไม่ได้คิดตลอดเวลาแต่มันจะเป็นอัตโนมัติคือไม่ได้คิดเยอะเลย มันก็เหมือนสัญชาตญาณของคนทั่วไป แต่ว่าการที่เราศึกษาเรื่องนี้เพิ่มมันทำให้สัญชาตญาณตัวเองมันชัดมากขึ้น เราก็จะได้รู้ว่าบางเวลาเราควรทำตัวยังไงให้เหมาะสมแต่ว่าก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องทำตัวยังไงตลอดเวลา”
จุดเริ่มต้นที่ได้มาอ่านหนังสือแนวนี้คือ มาจากการเรียนการแสดงเหมือนเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งเพื่อจะได้อ่านคู่เล่นออกว่าเขารู้สึก หรือคิดยังไงอยู่ เมื่ออ่านหนังสือแนวนี้แล้วทำให้การแสดงของเธอดีขึ้นมาก
“เหมือนมันเริ่มมากจากเรียนการแสดง แล้วรู้สึกว่าการแสดงมันก็คือเป็นศาสตร์หนึ่งที่เราจะอ่านคู่เล่นของเราว่าเขาคิดยังไงอยู่ เหมือนเราเล่นละครเราก็จะดูแอ๊กติ้ง อย่างบางทีเราชมเขาแต่ว่าหน้าเขาบึ้งเล็กๆ เราก็จะรู้ว่าเขาไม่พอใจเราอยู่นะ
มันเป็นแอ๊กติ้งการแสดงแล้วมันก็เชื่อมมากับแพรไปเจอหนังสือที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพวกนี้ ถ้าสมมติเขาเอาแขนมาข้างหน้า หมายความว่าเขากำลังปิดตัวเองนิดนึง ปกป้องตัวเอง แพรอ่านแล้วมันสนุก มันน่าสนใจ เลยพยายามศึกษาแล้วหาอ่านไปเรื่อยๆ
ช่วยในการแสดงเยอะเลยค่ะ มันจะทำให้แพรเห็นกายภาพของคู่เล่นมากขึ้น การแสดงคือแอกชั่น คือการกระทำไม่ใช่การโชว์ดังนั้นเวลาเล่นกันกับคนที่เล่นแล้วแสดงจริงมันจะมีพวกแอกชั่นแบบนี้ออกมา ส่วนคนที่เล่นแล้วโชว์ เช่น เขาทำท่าโกรธเราจะดูออก แล้วมันก็จะทำให้การแสดงเราสมูตขึ้นถ้าเราได้สังเกตพวกนี้”
โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาแล้วกว่า 3 ปี เธอมีไอดอลเป็นนักแสดงสาวสวยมากฝีมืออยู่ด้วยกัน 2 ท่าน ซึ่งเธอบอกให้ฟังว่าเธอจะยึดถือ 2 ท่านนี้แหละเป็นแบบอย่าง
“ชอบพี่นก-สินจัย กับพี่แอน-ทองประสม ด้านการแสดง ใครๆ ก็รู้ว่าพี่แอนเล่นเก่ง แล้วทุกคนก็ยึดพี่แอนเป็นไอดอลซึ่งแพรก็ยึดด้วยเคยติดตามผลงานพี่เขา รู้สึกว่าพี่เขาเล่นสะกด ส่วนพี่นกแพรเคยเล่นกับพี่เขาแล้วได้เห็นมุมมองการทำงานแล้วการใช้ชีวิตของพี่เขาทั้งนอกฉากและในฉากแพรเลย
รู้สึกว่าพี่นก-เป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ก่อนหน้านี้แพรไม่เคยมองใครเป็นไอดอลเลย แพรรู้สึกว่าพอผู้หญิงคนนี้เลยรู้สึกว่าเขามีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เราประทับใจทั้งเคารพ ทั้งชื่นชม (อมยิ้ม)”
ทิ้งท้ายไปกับมุมมองในวงการบันเทิง แม้ว่าเธอจะผ่านงานละครมาแล้ว 4 เรื่อง แต่เธอก็ยังถือว่าเธอใหม่มาก เพราะในวงการมีอะไรใหม่ๆ ให้เธอได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เธอเองก็ต้องใฝ่เรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาต่อไป
“แพรมองว่ามันมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลาเห็นแพรแบบนี้เล่นละครผ่านมา 4 เรื่องแล้วแต่แพรยังใหม่ เพราะว่าเปลี่ยนไปแต่ละเรื่องก็ทำงานกับทีมไม่เหมือนกันมันต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หมดเลย ยิ่งอยู่นานกว่านี้ก็ต้องเรียนรู้เยอะขึ้นเพื่อที่พัฒนาตัวเองต่อไป”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อจริง : แพร-พิชชาภา พันธุมจินดา
วันเกิด : 13 ธันวาคม 2535
อายุ : 23 ปี
ส่วนสูง: 170 เซนติเมตร
การศึกษา: คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผลงานเด่น: สวยร้ายสายลับ รับบท หนูปึก, ไฟล้างไฟ รับบท ศิรินธาร/ลูกหยี
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพโดย: พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพบางส่วน: อินสตาแกรม “pearpitchapa”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754