xs
xsm
sm
md
lg

ครั้งแรกของ "ไมค์ ณกรณ์" บนเส้นทางมายา : "ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมเป็นลูกดารา"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ด้วยรูปหน้ากลมๆ คางเหลี่ยมนิดๆ คิ้วเข้มดกดำหน่อยๆ ดูไม่หล่อประชานิยม แต่ก็เป็นที่ชื่นชมของแฟนละครหลายคน แต่เชื่อหรือไม่ว่าเด็กหนุ่มที่ไม่เคยชอบการเป็นดาราแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือโดนเพื่อนชอบแหย่ว่าเป็นลูกของดารา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคนนี้ไม่ชอบ เขาเลยขอปลีกตัวอยู่เงียบๆ มากกว่า สำหรับ "ไมค์ ณกรณ์ จำปาดิบ" ลูกชายคนเดียวของ “กษาปณ์ จำปาดิบ” นักร้องและนักแสดงชื่อดังของวงการ

แต่ถึงกระนั้น เมื่อแรกคิดจะเข้าวงการ เขามีจุดพลิกผันเพราะอยากหารายได้ โดยไม่ต้องไปรบกวนเงินของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ จนวันหนึ่งมีพี่คนหนึ่งเจอผมในเฟซบุ๊ก แล้วชวนผมไปแคสต์เป็นนักร้อง ไมค์เล่าย้อนความสมัยนั้นค่ายอาร์เอสยังทำเพลงอยู่ ยังไม่มีช่อง 8 และยังไม่มีนักแสดงในสังกัด ผมมาแคสต์เป็นนักร้อง แต่ไม่ผ่าน ความจริงตอนนั้นที่ไปแคสต์งานทุกคนยังไม่รู้เลยครับว่าผมเป็นลูกใคร และเขากลับไม่ได้อ้างอิงชื่อเสียงของผู้เป็นพ่อเพื่อที่จะเดินเข้าสายงานวงการบันเทิงอย่างสบายเหมือนคนอื่นๆ

“เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่สนใจในงานวงการบันเทิงเลยครับ คือพ่อผมเป็นดาราอยู่แล้ว และผมจะไม่ค่อยชอบให้คนมองว่าผมเป็นลูกดารา คือแบบอะไรอ่ะพ่อเป็นดาราแล้วยังไง ผมชอบอยู่เงียบๆ มากกว่า แต่จุดพลิกผันที่หันเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงคือ เราจะต้องหาเงินใช้เองแล้ว โดยที่ผมไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ และช่วงนั้นเราเข้ามาแคสติ้งงานพอดี ก็เลยคิดว่าไม่ได้แล้วนะ ต้องตัดสินใจหาเงิน มาขอเงินพ่อแม่แบบนี้ไม่ได้ ถ้ามีโอกาต้องคว้าเอาไว้ มันเหมือนเป็นช่องทางการหาเงินเราด้วย”

เขายังสารภาพด้วยว่า ความจริงเขาร้องเพลงได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็หยุดไปสองปี จนกระทั่งพี่คนเดิมติดต่อผมมาอีกครั้ง บอกว่าที่อาร์เอสกำลังเปิดรับคัดเลือกนักแสดง ถามผมว่าจะกลับมาลองดูอีกรอบไหม ผมว่ามันไม่เสียหายอะไร ก็เลยตอบตกลงมาแคสต์ ปรากฏว่าหลังจากนั้นอีกสองเดือนว่าผมแคสต์ติด ดีใจมาก เพราะผมแทบไม่ได้ใช้เครดิตของพ่อเลย

"จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าวงการบันเทิงเท่าไหร่หรอกครับ แต่ตัวผมเองเป็นคนชอบด้านศิลปะ และทีนี้มีพี่คนนึงที่เคยแอดเฟซบุ๊คผมมา ซึ่งมันนานมากสมัยยังไม่มีช่อง 8 เลยครับ และพี่เขาก็เรียกผมเข้ามาแคสติ้งเป็นนักร้อง และปรากฏว่าผมร้องเพลงไม่ผ่าน เสียงไม่เพราะ ร้องเพลงเสียงแย่มาก (หัวเราะ) คือผมไม่ได้มีพรสวรรค์ในเรื่องของการร้องเพลงมาจากพ่ออ๋อง (กษาปณ์ จำปาดิบ) เลยครับ”

“พอเวลาผ่านไปสักประมาณ 1 - 2 ปี มีโทรศัพท์เรียกเข้ามาซึ่งเบอร์ที่โทรมานั้นเป็นเบอร์ของพี่คนนั้นเขาโทรศัพท์มาบอกว่า ตอนนี้ทางบริษัทอาร์เอสเขาเปิดช่อง 8 แล้ว เขาเลยอยากให้ลองมาแคสติ้งงานหน่อยว่าผ่านมั้ย โดยหลังจากวันนั้นอีกประมาณเดือนสองเดือน ผมแคสติ้งการแสดงผ่าน เขาก็เริ่มให้ผมเข้ามาที่ช่อง 8 และเริ่มเก็บตัวเพื่อที่จะเรียนในเรื่องของการแสดง ระยะเวลาการเรียนก็ 2-3 ปี กว่าจะได้เล่นละครเรื่องหนึ่งก็นานพอสมควร ซึ่งระหว่างรองานละครนั้น ก็โดนละลายพฤติกรรมหมดเลย เหมือนผมไม่รู้เกี่ยวกับการเล่นละคร การแอคติ้ง คล้ายๆ ผมเดินเข้ามาตัวเปล่า ไม่มีความรู้อะไรเลย ทางอาร์เอสเขาจัดครูสอนให้ ก็เลยสั่งสอนมาจนถึงทุกวันนี้”

หลังจากแคสติ้งไมค์ต้องเข้าไปเรียนแอกติ้งเพื่อเป็นนักแสดงของช่อง 8 เรียนอยู่ประมาณสองถึงสามปี เขาเล่าว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขารู้สึกเหนื่อยมาก และท้อด้วย ตอนนั้นเคยคิดถอดใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยเราก็ได้เก็บประสบการณ์ จนในที่สุดเด็กน้อยที่ไม่ชอบการเป็นดารา กลับเปลี่นความคิดที่ว่า จากความที่ตนชอบศิลปะ ก็เลยมองว่าการแสดงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่สามารถถ่ายทอดกันได้

“ใช่ครับ เพราะผมชอบเรื่องของศิลปะอยู่แล้ว พอผมผ่านการแคสติ้ง การแสดงละคร มันเลยดูเหมือนเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งเราเป็นคนที่ชอบศิลปะมาก เลยคิดว่าถ้าผมแสดงออกมาได้ดี ถ่ายทอดศิลปะที่ให้แง่คิดกับคนดู เพราะเดี๋ยวนี้สื่อค่อนข้างที่จะมีอิทธิพลมาก ทั้งเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับหน้าจอทีวี ฉะนั้นเราคิดว่าถ้าเราแสดงดี มันก็เป็นผลดีทั้งตัวเราและคนดูด้วย”

"ถามว่ารู้สึกท้อมั้ยที่ต้องนั่งรอคอยละครเรื่องแรกถึงสองปี ก็ไม่รู้สึกท้อนะครับ ผมว่าทางบริษัทเขาคงดูแล้วครับว่างานไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา เขาเลือกตามเนื้อผ้าของแต่ละบุคคล ผมคิดในอีกมุมหนึ่งของผมอยู่แล้ว ว่าคาแรคเตอร์ของผมอาจจะยังไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ เราก็บอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไรก็รอไปก่อนได้"

ถามถึงความรู้สึกเกี่ยวกับวงการบันเทิงที่เขาเพิ่งเข้าไปคลุกคลี "ไมค์" ให้คำตอบว่า.... "ผมว่าวงการบันเทิงเป็นอาชีพที่สบาย หาเงินได้ง่าย แต่เราก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่วงการนี้ตลอดไป เพราะวงการนี้เด็กรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้นมาเยอะ อย่างน้อยเราก็ควรจะหาอาชีพหลักไว้ ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสแล้ว ผมได้โอกาสมาก็คว้ามันไว้ ถามว่ารู้สึกดีไหม ผมรู้สึกดีนะครับ วงการนี้ให้ทั้งแง่คิด ทำให้ผมได้กล้าแสดงออกมากขึ้น จากที่ผมเป็นเด็กขี้อาย แถมยังสอนเรื่องการบริหารเวลา และตอนนี้ผมก็มองอนาคตไว้ให้ตัวเองแล้วด้วย ว่าจะเก็บเงินสักก้อนเพื่อเป็นทุนในการเปิดบริษัทรับออกแบบงาน อันนี้เป็นเรื่องที่วางเอาไว้หากไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง"

ชีวิตการเป็นนักแสดงระหว่างยังเรียนอยู่นั้น ทำให้ไมค์มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนคนวัยเดียวกันสักเท่าไหร่ หากวันไหนไม่มีงาน เลิกเรียนแล้วเขาก็กลับบ้าน ขณะที่นักศึกษาคนอื่นๆ ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน

"ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยครับว่า การเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้วเรียนไปด้วยนั้น มันไม่ได้สบายอย่างที่คิดครับ อย่างไปถ่ายละครแล้วจะต้องทำเรื่องขอหยุดอาจารย์เขาไม่รับรู้เขาไม่ทราบเลย เขาบอกให้เราไปเคลียร์ไปคุยกับช่องเอง แถมชีวิตวัยรุ่นก็เสียไปด้วยครับ อย่างเพื่อนๆ เวลาเลิกเรียนก็จะไปกินข้าวกัน ซึ่งผมจะไปกับพวกเขาเหมือนก่อนไม่ได้ ผมต้องไปทำงาน ไปเข้าช่อง คือจะไม่ค่อยมีเวลาให้เพื่อนเลย เมื่อก่อนกลุ่มผมจะใหญ่ พอหลังๆ ก็ค่อยๆ หายไป เพราะเพื่อนบางคนเขาจะไม่เข้าใจ จนตอนนี้มีเพื่อนที่เข้าใจผมจริงๆ แค่ 4 คนเองครับ"

"แถมช่วงนี้หายใจเข้าออกเป็นตารางหมดเลย มันไม่ได้เหมือนสมัยก่อนเลยที่ว่า ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็จะมานั่งชงกาแฟกินมาทำอะไรชิลๆ แบบนั้นมันไม่ได้และ ตื่นขึ้นมาผมก็ต้องมานั่งดูใบที่ผมเขียนไว้ว่าวันนึงผมต้องทำอะไรบ้าง แล้วตอนนี้ผมก็ปี 4 แล้วต้องทำวิทยานิพนธ์ทำธีสิสด้วย มันยิ่งเยอะเข้าไปอีกครับ แต่สิ่งที่มันทำให้เราภาคภูมิใจคือเรามีงานทำ โดยไม่ต้องไปแบมือของเงินพ่อแม่"

เชื่อว่าบรรดาหนุ่มๆ และอีกหลายๆ คน ที่ล้วนแต่เคยผ่านการตอบคำถามเรื่องนี้ หรือบางคนกลายเป็นข้อครหาของสังคม ที่เฝ้าจับตาเรื่องรสนิยมทางเพศของพวกเขา บางคนอาจจะไม่ใส่ใจ แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ชอบใจเช่นเดียว คำถามที่เต็มไปด้วยความน่าอึดอัด มีเพียงการพิสูจน์ตัวเองเท่านั้นที่เป็น "คำตอบ" ให้กับสังคม และหนุ่ม "ไมค์ ณกรณ์" ที่เคยฝ่าฟันข้อสงสัยต่างๆ ประกาศให้โลกรู้ว่า "เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง"

"ผมแมน100% ครับ ถ้าคนไหนที่รู้จักผม หรือติดตามอินสตาแกรมของผมจะรู้ครับว่าผมเป็นคนยังไง คือผมบอกเลยว่ามีบางคนที่มองผมไม่แมน หลายคนก็บอกว่าผมเหมือนเป็นแรงดึงดูดของเพศเดียวกัน แต่สมัยนี้มันก็ปฏิเสธไม่ได้เนอะ บางทีเพศที่สามก็เยอะเต็มไปหมด บางทีผมเดินกับเพื่อน ก็มีตุ๊ด เกย์ มองผมเหมือนกัน และในวงการบันเทิงก็มีพวกเกย์มาชอบเยอะ ซึ่งต้องบอกเลยว่าพวกเขามาชอบผมมากกว่าผู้หญิงเสียอีก ผู้หญิงยังไม่ชอบมากเท่าเกย์เลยครับ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ กลับรู้สึกยินดีมากกว่าที่เขาชอบงานผม ชอบในความเป็นตัวตนของผม"

เมื่อถามถึง.....สเปคสาวในฝันที่คิดว่าอยู่ด้วยได้ตลอดชีวิต "หนุ่มไมค์บอกว่า ผมเป็นคนที่ไม่มีสเปคสาวในฝัน แต่ขอให้เข้ากับพ่อแม่ และรักท่านเหมือนที่ตนรักเท่านั้นพอ นอกจากนี้ไมค์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ตอนนี้ตนเองก็มีเพื่อนสาวคนสนิทที่คุยอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสาวนอกวงการ ถามว่าเขาเข้าใจในการทำงานมั้ย คือเขาเป็นผู้หญิงที่เข้าใจในการทำงานผมทุกอย่าง และเขาจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องงานของผมเลย เขาไม่มีมาน้อยใจผมนะครับ กลับเป็นผมเสียมากกว่าที่น้อยใจเขา (หัวเราะ)"

ไมค์ยอมรับว่าเราอาจจะมีเชื้อสายของศิลปิน มีต้นทุนเดิมก็คือเราเป็นลูกของพ่อกษาปณ์ จนทำให้หลายคนเชื่อว่า การเติบโตมาในบรรยากาศครอบครัวของนักแสดงถือว่าเป็นใบเบิกทางที่ดีอย่างหนึ่งเพื่อให้ลูกเดินเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหนุ่มหล่อบอกเล่ากับทางทีมข่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า การที่ผมเข้าวงการบันเทิงได้นั้น เป็นเพราะความสามารถและพี่คนนั้นที่ให้โอกาสผมได้ลองมาแคสติ้งละคร ผมแทบไม่ได้ใช้เครดิตของพ่อเลย และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นลูกชายของพ่อกษาปณ์

"อันนี้แล้วแต่คนเขามองครับ อย่างใครมาถามผม พันครั้ง ร้อยครั้ง ผมก็จะตอบแบบนี้ว่า มันเริ่มมาจากพี่คนนึงที่แอดผมมาในเฟซบุ๊ค แล้วเรียกผมมาแคสติ้ง ซึ่งพ่อผมไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเลย มีแค่มาปูทางให้ผม แต่ก็ไม่ได้แบบมาจูงมือผมเดิน ว่าจะต้องเป็นดาราเหมือนกับเขา หรือต้องได้เล่นละคร คือเขาไม่เคยพูดหรือขอร้องว่าต้องให้ลูกผมเล่นละครเรื่องนี้นะ ไม่เคยยุ่งเลยครับ"

"พ่อมีแค่สอนผมในเรื่องของการวางตัว เขาบอกผมว่าเจอใครก็สวัสดี ให้ผมมือไม้อ่อนไว้ ให้เป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะ และทำตัวให้น่ารักกับพี่ๆ เขาหน่อย แต่เรื่องของงานละครมันเหมือนสอนกันไม่ได้ เราต้องไปเจอเอาเองมากกว่า แต่มีสอนเทคนิคเรื่องของการพูด ผมเป็นคนที่พูดไม่ชัด เขาก็บอกให้ผมพูดสอเสือให้ชัด เน้นคำหน่อย คือผมจะติดวัยรุ่นไง แบบวัยรุ่นสมัยนี้จะพูดไม่ค่อยชัด ทิ้งๆ ทวนๆ คำ เขาก็จะบอกว่าละครมันไม่ใช่วัยรุ่นนะ อันนี้ก็ถือว่าเป็นเทคนิคการสอนอย่างหนึ่งครับ"

"พ่อดุมั้ย ก็ไม่ดุนะครับ พ่อจะเป็นคนที่เงียบๆ คือตั้งแต่เด็กมา ผมจะเป็นคนที่สนิทกับแม่มากกว่า คือตอนผมเด็กพ่อผมจะไปทัวร์คอนเสิร์ตบ่อย คือเวลาเจอพ่อจะน้อยมาก เขาไปทัวร์คอนเสิร์ตกลับบ้านมาดึก ตอนเช้าตื่นมา ผมก็จะไปเรียนแล้ว กลับมาเขาก็ไม่อยู่เพราะเขาต้องไปทำงาน มันเลยทำให้ผมสนิทกับแม่มากกว่าด้วยระยะเวลาอะไรแบบนี้ครับ"

ไมค์เป็นคนดื้อเงียบมากกว่ารั้น? เขาบอก...."ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ดื้อเงียบด้วย เหมือนกับคนไหนที่ผมไม่สนิท ผมก็จะไม่คุยด้วย คือไม่ค่อยกล้าไปชวนเขาคุยมากเท่าไหร่ แต่ถ้าสนิทกันแล้วอยากจะเล่นมุขอะไรใส่ก็เต็มที่เลย ส่วนคนที่มองว่าผมหยิ่งนั้น ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะหน้าผมเป็นอย่างนี้ บางทีคนที่นั่งอยู่ผมไม่รู้จัก แล้วอยู่ๆ ไปชวนเขาคุยมันก็แบบเก้ๆ กังๆ ดูเหมือนเราฝืนอ่ะ แต่คนที่สนิทกับผมเขาจะรู้ว่าตัวเราเป็นคนยังไง และตัวตนจริงๆ ผมก็ไม่ได้หยิ่งนะครับ"

ก่อนจะจากกันหนุ่มตาโตคมเข้ม กล่าวทิ้งท้ายถึงเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ว่า....."ถ้าถามผมนะ ในวัยนั้นผมก็เคยเป็นมาก่อนนะเรื่องที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งจริงๆ ตอนนี้บางทีผมก็ยังเป็นอยู่นะ มันพูดยาก มันไปเปลี่ยนแปลงอะไรเขาไม่ได้หลอก มันเป็นไปตามวัยนิสัย บางทีก็ต้องดูที่อายุเขาด้วย คือเรียกว่าต้องเจอกับตัวเองถึงจะได้เรียนรู้ แต่ถ้าผมแนะนำคือ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่เขาไม่เคยหวังร้ายหรอก เขาหวังดีกับเราตลอดแหละ เขาเป็นคนที่ไม่ต้องการผลตอบแทนอะไร ซึ่งอะไรที่ยอมได้ก็ฟังๆ เพราะว่าคนหลายคนที่เชื่อฟังพ่อแม่เขาก็เจริญมาแล้วหลายคนนะ และคนที่ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่เขาไม่เจริญหรอกครับ ทำอะไรก็ขาดตกบกพร่อง อย่างพี่โก๊ะตี๋เขารักแม่มาก ทุกวันนี้เขาก็มีการมีงานทำ เขาก็เจริญมาก เงินทองไหลมาเทมา งานการมีมาเรื่อยๆ มันก็แปลกเหมือนกัน อีกคนก็คือพี่ใบเตย เขารักแม่มาก ทุกวันนี้เขาก็ดี งานการเขาก็มีเยอะ มันส่งผลให้เราเห็นเลย"






กำลังโหลดความคิดเห็น