ไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไรนัก สำหรับคุณหมอสุดเปรี้ยว พญ.ปิยวดี จิตสมบัติ หรือ หมอแจง ผู้ก่อตั้ง Sincere Beauty Clinic และเจ้าของเรมี่ (REME by Sincere) เครื่องสำอางยี่ห้อคนไทย แต่คุณภาพระดับเคาน์เตอร์แบรนด์
เพราะเธอเป็นผู้หญิงทำงานตัวแม่ นิยมอยู่เบื้องหลังมากกว่า พาหน้าสวย หุ่นแซ่บ เสื้อผ้าหน้าผมเป๊ะปังของตัวเองออกสื่อออกอีเว้นท์
ทว่าหมอสาววัยเพียง 39 ปีคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ลำพังฐานะอาชีพก็มั่นคงสุขสบายแล้ว แต่เธอกลับชอบเติมความท้าทาย หางานยากให้ตัวเองทำอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเปิดคลินิกศูนย์ความงาม จนเกือบถูกลูกหลงโดนเผา และบุกเบิกสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง ลงแข่งขันในสนามธุรกิจคอสเมติกอันสุดเคี่ยว
ไปพบเส้นทางชีวิต และวิธีคิดวิธีรับมือแต่ละสถานการณ์โจทย์การทำงานของเธอ
จากโคราช เด็กเรียน สู่จิตรลดา แพทย์รามาฯ
“เกิดและโตที่โคราช บ้านคุณพ่อค่ะ คุณแม่เป็นคนขอนแก่น เป็นอีสานหมดเลย”
คุณพ่อของหมอแจงเป็นนักกฎหมาย จากนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ รับราชการประจำกระทรวงแรงงาน ขณะที่คุณแม่เป็นทันตแพทย์ และน้องชาย 2 คนเป็นวิศวกร
“ทางบ้านคุณพ่อจะเลี้ยงแบบบ้านคนไทย คุณย่านุ่งโจงกระเบน คุณป้าเป็นครู เน้นให้เรียนหนังสือ”
ครั้น 6 ขวบ คุณแม่หมอแจงต้องย้ายมาทำงานในกรุงเทพฯ เธอจึงย้ายตาม เข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดา ในช่วงมัธยม1 เธอสามารถสอบเทียบมัธยม 6 ได้ตั้งแต่อยู่มัธยม 4
“ไปลองเอ็นทรานซ์ แต่ไม่ได้ พอม.5 ลองเอ็นฯใหม่ ก็ได้อันดับ 1 แพทย์รามาฯ”
หมอแจงเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกเลือกหมอฟันเพราะคุ้นเคยกับการช่วยคุณแม่ทำงานที่คลินิกหมอฟันมากกว่า
“ตอนเด็กชอบไปคลุกคลีที่คลินิก ไปช่วยปั่นอะมัลกัม (Amalgam Filling วัสดุอุดฟัน)” หมอแจงชอบทำงานตั้งแต่เด็ก
“เลือกทันตแพทย์หมดเลย จุฬา มหิดล ขอนแก่น แต่คุณแม่แนะว่าให้เลือกหมอเป็นอันดับหนึ่ง คุณแม่เลือกเองเลยที่รามาฯ เพราะใกล้บ้าน” สมัยนั้นหมอแจงพักอยู่แถวดุสิต
“ไม่คิดว่าจะได้” เธอเผยความรู้สึก ณ ทันทีที่รู้ว่าสอบติดแพทย์
“ก็โชคดีที่ได้ แต่แอบกลัว งานหมอเป็นอย่างไร ไม่เคยเห็น แต่ถึงเวลาก็เรียนไปเรื่อยๆ เรียน 6 ปี ใช้ทุน 4 ปี และค่อยมาเฉพาะทาง ตอนจบก็เกือบ 30 ปีค่ะ คือ สอบเทียบเอ็นทรานซ์ได้เรียนเร็วกว่า 1 ปี ไม่มีผล” เธอเล่าไปยิ้มไป
ระหว่างใช้ทุน ทำให้รู้จักตัวเอง เลือกแพทย์ผิวหนัง
“จริงๆ แล้วเป็นคนไม่รู้ว่าชอบอะไรมาก แต่รู้ว่าไปแนวไหน อย่างตอนใช้ทุน รู้ตัวเองเลยว่าไม่ชอบงานตรวจคนไข้ไปเรื่อยๆ จ่ายยาอย่างเดียว แต่ชอบหัตถการ”
เธอบอกว่าช่วงสองปีแรกของการใช้ทุน มีความสุขมากกับการผ่าตัดทำศัลยกรรม ทำคลอด
“ทำงานหนักหน่วงมาก บ้าพลัง แฮปปี้กับการผ่าตัดตีหนึ่งตีสอง อาจเพราะตอนนั้นยังเด็ก แรงเยอะ แต่ปีที่สี่ แรงหดไปเยอะเลย”
ตอนนั้นไปใช้ทุนที่บุรีรัมย์ มีอุบัติเหตุขึ้นมา ไม่ได้นอนทั้งคืน เช้ามาก็ออกตรวจอีก ก็มาคิดถ้าต่อไปแล้วจะไหวมั้ย ด้านสูติฯ ก็เหมือนกัน ช่วงนั้นเริ่มมีการทำกิฟท์ใหม่ๆ น่าตื่นเต้น น่าสนุก แต่มานั่งคิด ทำงานไม่เป็นเวลา เกิดคนไข้จะคลอดตีสอง หมอก็ต้องมา เป็นหมอสูติฯ ไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์เรา เพราะเป็นคนชอบนอนเป็นเวลา”
ความที่หมอแจงไม่ชอบอยู่เฉย ยามว่างจากการใช้ทุนปีสุดท้าย ก็ไปทำงานพิเศษที่คลินิกผิวหนังด้วย ได้สัมผัสเครื่องเลเซอร์ก็รู้สึกตกหลุมรักทันที
“สมัยนั้นด้านผิวหนังเริ่มมีเลเซอร์เข้ามา ได้ใช้หัตถการ เป็นคนชอบเครื่องยนต์กลไก เครื่องนี้เป็นไง พลังงานเป็นไง ตัวปล่อยพลังงานเป็นไง รู้สึกสนุก น่าสนใจ เวลาเลือกเฉพาะทาง จึงเบนเข็มเลือกผิวหนัง”
ในการศึกษาแพทย์เฉพาะทาง มี 2 แบบ ได้แก่ Certify Board เรียนทั้งด้านผิวหนังและอายุรกรรม เป็นเวลา 4 ปี กับ Master degree ซึ่งใช้เวลาเรียน 2 ปี
“เลือกอย่างหลังค่ะ เรียนพื้นฐานผิวหนังทั้งหมด แต่ไม่ได้เรียนครอบคลุมอายุรกรรม อวัยวะโดยรวม หรือที่รุนแรงมาก เช่น แพ้ภูมิตัวเอง อาจรู้คร่าวๆ แต่ไม่เจาะลึกมาก จะมาทางโรคผิวหนังคร่าวๆ สิว ฝ้า กระ เกลื้อนแนวนี้มากกว่า”
ตลอดช่วงเวลาเรียน หมอแจงปฏิบัติงานที่รพ.รามาธิบดี เก็บเกี่ยวประสบการณ์สัมผัสคนไข้โดยตรง แถมยังโดดเด่นแสดงความสามารถให้ระดับอาจารย์ประจักษ์ จึงมิแปลกที่อาจารย์หมอจะชวนเธอออกมาทำงานด้วยทันทีที่สำเร็จการศึกษา
เลือกทำงานกับบิวตี้คลินิก แต่ไม่ฟินระบบ
“เป็นคนชอบทำงาน แล้วเห็นผลชัดทันที มี action ไป มี feedback เลยไปทำงานที่คลินิกผิวหนังของอาจารย์หมอ มีโอกาสได้จับเครื่องเลเซอร์ทุกวัน ชอบมากเลยค่ะ”
ทว่าหมอแจงสนุกกับการทำงานได้ไม่นาน เริ่มอึดอัด
“ความที่เป็นองค์กรใหญ่ ย่องต้องมีอะไรมาครอบ เพื่อให้หมอ 15 คนอยู่ในกรอบเดียวกัน ตั้งแต่วิธีการรักษา ขั้นตอนการรักษา การตั้งพลังงานเครื่อง ซึ่งจริงๆ ต้องมีการ advance อาจารย์ที่เก่งเลเซอร์ทุกคนพอเรียนรู้การใช้แป๊บหนึ่งปั๊บ ก็จะมีการปรับเป็นของตัวเอง เพื่อให้เหมาะสม
คราวนี้พอถึงขั้นตอนการปรับ มันก็จะมีความยากตรงที่จะปรับ เพราะทางคลินิกอยากให้หมอทุกคนอยู่ในกฏ ให้ทุกอย่างปกติ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจตามมา
แจงเห็นด้วยนะ แต่เอ๊ะบางที เราก็อยาก combine สองเครื่องเข้าด้วยกัน โอเค budget คนไข้ไม่พอ เราก็ทำอย่างละครึ่ง เครื่องนี้ครึ่งหนึ่ง เครื่องนั้นครึ่งหนึ่ง และ combine ให้เป็นราคาเดิม โดยเราไม่คิดค่าตัวเพิ่ม เพราะอยากให้การรักษาเกิดประสิทธิผลจริงและเร็ว แต่ด้วยกฎ ก็ทำไม่ได้
แจงเข้าใจว่าต้องมีการควบคุมป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหล และควบคุมแพทย์ทุกคนด้วย แต่เราอยากทำให้ดี ในงบที่แฮปปี้ และอยากลองอะไรเพิ่มเติม”
ประจวบเหมาะนักการตลาดคนหนึ่งชวนเธอออกมาร่วมหุ้นตั้งคลินิกเอง
“อยากสนุกมากขึ้นกับการทำงาน ก็เลยออกมา”
จากร่วมหุ้นขอบินเดี่ยว เปิด Sincere ตัวตนหมอล้วนๆ
“แบ่งหน้าที่กัน เราตรวจอย่างเดียว โดยเราอยากคงคอนเซ็ปต์เดิม ราคายืดหยุ่นได้ แต่อีกฝั่งมาร์เก็ตติ้งมีวิธีคิดและมุมมองอีกแบบ”
เมื่อทำงานร่วมกันมีความคิดเห็นที่ต่างกันไป เธอเลยตัดสินใจออกมาเปิดคลินิกเป็นของตัวเองดีกว่า
เผอิญได้ที่สยามชั้น 2 ซอย 4 หมอแจงจึงเปิดคลินิกใหม่ของตัวเองชื่อ Sincere Beauty Clinic
ระยะเวลาผ่านไป 2 ปี ฐานคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ จากการบอกต่อ ประทับใจในฝีมือ อัธยาศัยของหมอแจง และประสิทธิภาพของเครื่องเลเซอร์ ที่หมอแจงลงทุนซื้อแต่ระดับเกรด A มูลค่านับ 10 ล้าน
“นิสัยแจงซื้ออะไรต้องดีที่สุด และแจงเป็นคนชอบเรื่องเครื่องมาก ถ้าไม่ใช่เครื่องที่ผลิตจากอเมริกา-ยุโรปจะไม่มีทางดี เครื่องที่ผลิตจากเกาหลีจีน พลังงานมันสวิง ดังนั้นแต่ละเครื่องของที่นี่จะมาตรฐานเดียวกับที่รพ.ใหญ่ๆ ใช้ บางเครื่องอาจไม่ค่อยได้ใช้งาน ไม่ค่อยได้ทำเงิน แต่อยากรักษาให้ครบวงจร ก็ซื้อมาด้วย”
เกือบถูกไฟไหม้ เกือบสูญสิบล้าน
เนื่องจากทำเลที่ตั้ง Sincere อยู่ในสยาม จึงเกือบโดนลูกหลงจากเหตุการณ์ชุมชุมราชประสงค์เมื่อปี พ.ศ.2553
“ตอนนั้นมีการชุมนุมนานมาก ซึ่งก็ไม่รู้สึกอะไรมาก ลูกค้ามามากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะปิดเมื่อไร” หมอแจงย้อนเล่าเหตุการณ์
“จำได้วันศุกร์ตอนเช้าตำรวจประกาศว่าขอเคลียร์พื้นที่ เราก็อ่อ..เคลียร์ คงแค่ 1-2 วัน ตอนบ่ายเราก็ปิด แค่ปิดประตูปกติ ไม่ได้เอาอะไรออกมาเลย แต่ปรากฏว่าผ่านไปสองวัน พยายามเข้าไปก็เข้าไปไม่ได้อีกเลย เพราะเปิดล้อมหมดเลย ไปๆ มาๆ นานเป็นอาทิตย์ ชุมนุมไม่สลายและรุนแรงขึ้นอีก
แจงพักที่คอนโด ตรงสาธร เห็นควันขึ้นทุกวันเลยค่ะ เพราะมีการเผายางตรงบ่อนไก่ ก็ดูข่าวตลอด เราจะให้ใครไปขนเครื่อง และคนขนเครื่องจะรู้สึกยังไง จนวันที่เผาเวิลด์เทรดและลามมาสยาม วันนั้นใครๆ ก็โทรหา คนไข้โทรหา เป็นห่วง คุณแม่บอกจะหาคนที่โรงพยาบาลไปช่วยขนเครื่องให้มั้ย แจงบอกไม่เอาค่ะ ถ้าจะเอาชีวิตคนไปเสี่ยง (พูดถึงตรงนี้ น้ำตาหมอแจงเอ่อขึ้นมาในดวงตา) ปล่อยเครื่องถูกไหม้ไปเลยล่ะกัน
แต่แจงแปลกมากเลยนะ วันนั้นแจงนอนหลับได้ปกติ สามสี่ทุ่มทุกคนโทรถามถ้าไฟมันลามมาไหม้คลินิกล่ะ เราบอกถ้ามันจะไหม้ ก็ปล่อยให้ไหม้ไป คืนนี้ขอนอนก่อนนะ เพราะพรุ่งนี้จะได้มีแรงว่าต้องทำยังไงต่อ
ตื่นเช้ามาโทรเช็คกับคนที่อยู่สยาม เขาบอกคลินิกยังไม่ไหม้ โอเค ใจเริ่มชื้น ตอนเช้าซ้อนมอเตอร์ไซค์น้องชายเข้าไปเลย โชคดี ร้านยังอยู่เครื่องยังอยู่ แต่ตรงข้ามราบเป็นหน้ากองเลย”
หลังไฟไหม้ เหตุการณ์คืนสู่ภาวะปกติ คลินิก Sincere เปิดทำการต่อ แต่หมอแจงเริ่มคิดโยกย้ายเปลี่ยนทำเลที่ตั้งใหม่ดีกว่า
“สยามโดนมาสองรอบแล้ว พื้นที่ตรงนั้นโดนมาตลอด และไม่รู้ว่าจะโดนอีกหรือเปล่า ประกอบกับจุฬาจะสร้างตึกใหม่ มีข่าวออกมาว่าอีกปีจะไม่ให้อยู่แล้วนะ
ก็เริ่มหาที่ใหม่ บอกคนไข้ด้วยนะว่าช่วยหาที่หน่อย มีน้องคนหนึ่งบอกมีบ้านตรงนี้ให้เช่า เป็นบ้านไทยเก่าๆ ในซอยสุขุมวิท 53 ให้เช่า”
ทุ่ม 6 ล้าน รีโนเวทบ้านไม้เก่าเป็นบิวตี้คลินิกสุดเก๋
พอเลิกงานสองทุ่มปั๊บ เธอขับรถตระเวนเข้าซอยสุขุมวิท 53 ดูเองเลย
“จำได้ว่าเปลี่ยวมาก บ้านนี้ก็ปิดหมด แต่ชอบ เพราะมีบริเวณ มีต้นกล้วย อาจเป็นเด็กอยู่ตจว.มาก่อน จึงชอบบรรยากาศแบบนี้
และคิดว่าลูกค้ามาได้ เพราะเหมือนเป็น destination ลูกค้าส่วนใหญ่มีรถ จำได้ว่าคุยแป๊บเดียวกับพี่เจ้าของ ก็ตกลงเช่าเลย
เขายอมให้ renovate ใหม่หมดเลย เฉพาะแค่ค่า renovate ก็ 6 ล้านบาทแล้ว เดินระบบน้ำระบบไฟใหม่หมด ผ่านไป 2 ปี ก็ขอเช่าต่อด้าน ขยายเป็นห้องทำบอดี้ ห้องรับแขกเพราะบางทีลูกค้ามีคนขับรถมา ไปนั่งด้านหลังได้ และมีห้องสต็อกพวกครีม ออฟฟิศสำนักงาน เก็บเอกสารอยู่ด้านบน มีห้องสำหรับน้องๆ พนักงานขึ้นมาพักผ่อน
ทำคลินิกประสบความสำเร็จแล้ว ขยายทำธุรกิจเครื่องสำอางอีก
“เริ่มจากรักษาสิวให้คนไข้ที่คลินิก ก็ให้คนไข้ไปซื้อยาข้างนอก หลังๆ เริ่มสั่งมาบรรจุเล็กๆ น้อยๆ ติดสติ๊กเกอร์เหมือนที่ตามคลินิกทำกัน พอผ่านไปสักพัก เริ่มรู้สึกอยากให้มันสวย แต่พออยากให้สวยปั๊บ เวลาสั่งแพคเกจจิ้งต้องมีวอลลุ่ม พอมีวอลลุ่มปั๊บ เราก็เออ ทำกล่อง ทำให้ดูดีขึ้นมาเลย”
หมอแจงเล่าที่มาของการทำสกินแคร์ และขยายไลน์เป็นเมกอัพสีสันสุดเฟี้ยว ในชื่อแบรนด์ เรมี่ (REME by Sincere)
“เริ่มรู้ว่าแพคเกจจิ้งทำยังไง สักแป๊บหนึ่งก็อยากทำเครื่องสำอาง ด้วยความที่ตอนเด็กๆ ชอบเล่นสี ชอบสีสันที่ไม่ต้องเหมือนกัน ตัดกันไปตัดกันมา ชอบดูงานดีไซเนอร์ ชอบดูนิตยสาร เลยลองทำ อยากทำแบบมีสีสันสนุกๆ และคุณภาพเดียวกับเคาน์เตอร์แบรนด์ อยากเล่นสีแฟชั่น อย่างม่วง มันก็มีม่วงทายาก แต่เราพยายามผสมผสานเป็นม่วงที่ทาง่าย ทาแล้วหน้าไม่ดำ
กว่าจะทำออกมาได้ใช้เวลาหลายปี ส่งไปส่งมากับโรงงาน โชคดีที่คลินิกมีแต่ผู้หญิงหมด ลูกน้อง 20 กว่าคน มีตั้งแต่หมวย อีสาน จับมาทดลองหมด อย่างสีชมพู เราต้องเอาสีชมพูที่ทาแล้วไม่ว่าสีผิวไหนก็ทาแล้วหน้าไม่ดำ จนรู้สึกโอเค ถ้ายังไม่รู้สึกโอเค ก็ส่งกลับไปปรับ บอกทางโรงงานเพิ่มสีนั้น ลดสีนี้
จะใช้เวลาในการทดลองผลิตภัณฑ์นานมาก อย่างเรื่องแพ้ มีบางตัวที่แพ้ อันไหนที่ใช้ไปสักพักแล้วมีคนแพ้ หมายถึงว่า 100 คน มีคนแพ้สัก 5-10 คน ก็ไม่เอาแล้ว จะนำมาปรับจนมั่นใจว่าแทบไม่มีคนแพ้ ถึงทำแพคเกจจิ้ง”
ลิปสติกเรมี่มีทุกเนื้อ ทุกสี กว่า 80 เฉด บิวตี้บล็อกเกอร์พากันตื่นเต้น เขียนรีวิวกันตรึม
“แจงขี้เบื่อ อย่างวันนี้ทาสีชมพู อีกวันก็ไม่อยากแล้ว และผู้หญิงวันไหนหน้าโทรมมีลิปสติกแท่งหนึ่งมันก็รอด มีโอกาสขายได้ง่าย ประกอบกับเวลาไปเคาน์เตอร์แบรนด์ โทนสีที่เขาเลือกมาขายในเมืองไทย มันออกแนวกลางๆ ไม่สนุก แจงอยากทำสีสันให้สนุกและคนที่ใช้มีความสุขกับลิปสติกของเราได้ทุกวัน”
สตรอง! ‘เสี่ยง’ไม่กลัว กลัวแต่ไม่ได้ทำงานที่รัก
“ขึ้นชื่อว่า‘ธุรกิจ’ เสี่ยงอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่แจงบอก จริงๆ ระหว่างทางทำ เจอปัญหาตลอด แพคเกจจิ้งเสีย สั่งมาแล้วผิด ต้องทิ้ง” หมอแจงไม่เสียดาย เพราะสำหรับเธอ ต้องเป็นของที่ดีที่สุดเท่านั้น
“พ่อแม่ป้ากลัว เพราะเป็นข้าราชการ ถามทำไมทำใหญ่โต ไม่กลัวเหรอ แจงก็บอกไม่รู้จะกลัวไปทำไม สมมติไม่ดีขึ้นมา เราไม่ได้ไปกู้เงินใครมาทำ ถือซะว่า 2-3 ปีนี้ทำงานฟรี ซึ่งตอนทำงานก็แฮปปี้ ดีกว่านั่งเฉยๆ ถ้าได้ก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ถือว่าได้ทำก็จบ”
เมื่อถามว่าเครียดมั้ยกับโปรเจคท์เครื่องสำอางที่ลุยอยู่ทุกวันนี้
“มีความเครียดลึกๆ อยู่ ช่วงระหว่างนี้ยังไม่สนุกเต็มร้อย ยังต้องปรับตัวอีกเยอะ เพราะยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกเยอะ
หากถึงวันที่ stable เหมือนคลินิกแล้ว มันก็จะสนุกตอนนั้น ก็หวังว่าจะสนุกขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้สนุกบ้าง ไม่สนุกบ้าง เหมือนสมัยตอนทำคลินิกกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะความสุขของแจงคือ การได้ทำงาน”
เธอรักการทำงานมากจริงๆ เพราะกำลังจะขยายเปิดใหม่อีกแบรนด์ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าสาวๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด และนักศึกษา ในราคาสบายกระเป๋า ประมาณต้นปีหน้า และเปิดเพจเฟซบุ๊คภาษาพม่า วางแผนไปจัดอีเว้นท์ที่พม่าอีก
เรียกว่าความคิดไม่หยุดนิ่งเลยหมอสาวสวยสุดเปรี้ยวคนนี้
ประวัติส่วนตัว
วันเดือนปีเกิด:16 มกราคม 2520
น้ำหนัก:46.5 กก.
ส่วนสูง: 162 ซม.
การศึกษา
- หลักสูตรปริญญาตรี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
- หลักสูตรปริญญาโท แผนกตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี (Master degree of Dermatology)
- หลักสูตร Aesthetic and Dermatologic Surgery โดย Dr. Leslie bowman at University of Miami
- หลักสูตร EMAA (European Masters in Aesthetic& Anti-Aging medicine) by Dr.Thierry Hertogh
- หลักสูตรฝังเข็ม (Acupuncture) ของกระทรวงสาธารณสุข
- หลักสูตร Chelation ของกระทรวงสาธารณสุข
ปัจจุบัน
- ประธานกรรมการ ของ Sincere Beauty Clinic
- ประธานกรรมการบริษัท Ad medi cosmetics ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง Brand REME by Sincere และ Skincare brand DSIGN by Sincere
- แพทย์ประจำเพียงคนเดียว ของ Sincere Beauty Clinic
โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: เกิดศิริ
เครดิตภาพจาก Dr.Jang
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754