xs
xsm
sm
md
lg

กระฉูดเสียวๆ “สบู่อสุจิแซลมอน” ขาวใส จนต้องสงสัย!!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตกลงใช้แล้วจะ “ขาวใส” หรือ “ขาวไสยฯ” งานนี้ ต้องถกกันอีกยาว... หลังเจ้าของธุรกิจ “สบู่อสุจิแซลมอน” ปล่อยสินค้าที่อ้างว่า “แค่อาบก็ขาวได้” ออกมาสู่ท้องตลาด พร้อมป่าวประกาศว่าเป็นแบรนด์แรกแบรนด์เดียวของไทยที่นำเข้าอสุจิแซลมอนมาสกัดเป็นสบู่ พร้อมมีงานวิจัยรองรับคุณสมบัติ “สบู่ที่ดีที่สุด ขาวที่สุด ปลอดภัยจริง ไม่มีผลข้างเคียง ผ่านมาตรฐาน อย. ตรวจสอบได้” อ้างยอดขายกระฉูดกว่า 10 ล้าน!

แต่ดันค้านกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญร่วมออกมาหักล้างว่า ไม่มีสารสร้างความขาวในอสุจิแซลมอนแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการบำบัดน้ำเสียเท่านั้น!!





อ้าง! เหล่าดารา แห่เรียกหา “อสุจิแซลมอน”

[โฆษณาขาย เน้นสรรพคุณแบบ ฮาร์ดเซลล์]
ผมใช้เวลาในการวิจัยมานานกว่า 1 ปีเต็มก่อนขายจริง เพราะต้องมั่นใจว่าสูตรสบู่ทำจากอสุจิปลาแซลมอนที่เราค้นพบมันดีจริงเห็นผลจริง จนตอนนี้วางสู่ตลาดเรียบร้อยแล้วครับ ได้กระแสตอบรับที่ดีเกินความคาดหมาย อาทิตย์แรกลูกค้าสั่ง 100,000 ก้อน อาทิตย์ที่ 2 ขายได้รวมๆ 500,000 ก้อน

ลูกค้ามีหลายกลุ่มมาก ที่ได้ยินฟีดแบ็กคือกลุ่มสาวๆ รวมถึงเพศที่สามว่า อยากลองใช้สินค้าสบู่อสุจิปลาแซลมอน ผมว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี ไม่ค่อยมีคนทำกัน ถือว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่ผลิตเลย สร้างความฮือฮาพอสมควร อสุจิปลาแซลมอนมีสารที่เข้มข้นดีต่อสุขภาพผิว มีคุณสมบัติเป็นสารให้ความขาวที่ดีที่สุดในโลก พอมีคนใช้เห็นผลเลยพูดปากต่อปาก ซึ่งอยากบอกว่าตอนนี้สินค้าก็เริ่มขาดตลาดแล้ว เร็วๆ นี้คงได้มีโอกาสฉลอง 1 ล้านก้อนแน่นอน!”


[เจ้าของสบู่วัย 21 กับสินค้าที่สร้างความฉงนให้แก่สังคม]
นี่คือคำสัมภาษณ์ที่ "นัท" เด็กหนุ่มวัย 21 ให้ไว้ในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาถูกแชร์ต่อไปอย่างแพร่หลาย ท่ามกลางความฉงนสงสัยว่า “จริงหรือ?” ข้อมูลทั้งหมดนี้น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนกัน? โดยเฉพาะจุดที่อ้างว่ามีงานวิจัยจากญี่ปุ่นรองรับเป็นอย่างดี! เมื่อลองติดตามสืบค้นเพิ่มเติมผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขา “Tanatpipat Kanlachak” จึงได้ทราบรายละเอียดจากเจ้าตัวเพิ่มมากขึ้นผ่านโพสต์หลายๆ โพสต์ที่แปะเอาไว้เพื่อส่งเสริมการขาย

[ใช้เฟซบุ๊กเป็นที่บอกต่อสรรพคุณสินค้า]

“บางคนพูดว่าอสุจินั้นไม่ช่วยทำให้ผิวขาว ซึ่งนั่นเป็นการโชว์โง่ คือการไม่รู้จริงแล้วนำมาพูด อสุจิแซลมอนเป็นสารบำรุงผิวชนิดใหม่ที่ต่างประเทศยอมรับ และใช้กันมานาน และเราเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในไทย ที่เรานำเข้าอสุจิแซลมอนมาจากประเทศญี่ปุ่น และเราร่วมมือค้นคว้าวิจัยเพื่อนำมาทำสบู่เป็นระยะเวลากว่า 1 ปีก่อนการวางขายจริง

บางคนยังสงสัยอีกว่า สบู่แค่ก้อนละ 50 บาท จะใส่อสุจิได้จริงเหรอ ขอตอบว่าแบรนด์เราเป็นแบรนด์แรกที่นำเข้ามา ซึ่งต่างประเทศให้การสนับสนุนมาก เพราะคนไทยยังไม่รู้จักและเป็นโอกาสดีที่จะทำให้คนไทยได้ใช้ของดีๆ ในราคาถูก เพราะปกติแล้ว อสุจินั้นเขาจะรีดทิ้ง เอาแต่ตัวไปขาย แต่พอเราเอามาทำสบู่ก็เป็นการต่อยอดทางเศรษฐกิจ เป็นการช่วยโลกและเอาวัตถุดิบที่ดีมีประโยชน์ มาทำให้เกิดประโยชน์


จากประสิทธิภาพที่ได้กล่าวมา ไม่ได้กล่าวมาลอยๆ แต่มีการันตีในคุณภาพและความปลอดภัยจาก CE ในประเทศแถบยุโรป ผ่าน อย.ในประเทศไทย และได้รับการยอมรับกว่า 80 ประเทศทั่วโลก เราจึงเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์นี้มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพและเห็นผลแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์! ไม่แปลกใจที่ตอนนี้ได้รับการยอมรับจากเหล่าพริตตี้, บล็อกเกอร์, เซเลบ, ดารา ที่แห่กันเรียกหาแต่ “อสุจิแซลมอน” กันเป็นอย่างมากในขณะนี้

อยากฝากว่า ก่อนจะพูด ก่อนจะกล่าวหาคนอื่น ต้องมีความรู้ให้มากๆ คิดให้เยอะๆ เพราะการไม่รู้ไม่ผิด แต่ไม่ควรพูดให้คนอื่นเสียหาย”


[อ้างว่าปลอดภัย ได้การรับรองจาก อย. เรียบร้อยแล้ว]
“เลขจดแจ้ง 10-1-5867810” คือรหัสที่เจ้าของสบู่สะเทือนวงการตัวนี้อ้างเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว ซ้ำยังโพสต์ขู่แกมท้าทายเอาไว้ด้วยว่าให้เตรียมเงินเอาไว้เลยคนละ 5 ล้าน “ใครที่พูดว่าสบู่มีสารอันตราย เชิญเอาสบู่ไปตรวจ ถ้าตรวจแล้วไม่เจอสารอันตราย ก็ขอฟ้องกลับ

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ระคนสงสัยของคนในสังคม เจ้าของสบู่ทอล์กออฟเดอะทาวน์นี้ก็ยังคงโพสต์ส่งเสริมการขายผ่านเฟซบุ๊กต่อไป

“สบู่ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ สบู่อสุจิแซลมอน ฟอกตรงไหน ขาวตรงนั้น ปลอดภัยจริง ผ่าน อย.จริง ตรวจสอบได้ ไร้ผลข้างเคียง เหมาะมากสำหรับคนผิวแตกลาย ขาลาย ใช้อะไรก็ไม่ขาวไม่ใส จัดเลย สบู่อสุจิแซลมอน เป็นมากกว่าสบู่ เพราะทุกครั้งที่อาบก็ได้บำรุงผิวทุกครั้ง 100 กรัม ก้อนใหญ่บิ๊กเบิ้ม เพียง 50 บาท (มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้องจองนะจ๊ะ)”

ตั้งแต่เริ่มขาย มีเงินติดตัวแค่ 2,000 บาท จนตอนนี้มีตัวแทนจำหน่ายมาติดต่อขอซื้อไปขาย จนเขาสามารถเอาเงินไปซื้อบ้านใหม่ สร้างออฟฟิศใหม่ด้วยตัวเองได้แล้ว แถมยังบอกอีกว่าสินค้าของเขาเป็นที่ต้องการของตลาดจนมี “สบู่อสุจิแซลมอนปลอม” ทำออกมาตีตลาดด้วยราคาเพียง 35 บาท จนต้องติดตามล่อซื้อ พร้อมโพสต์เตือนสรรพคุณว่า “สบู่อสุจิของแท้ ใช้แล้วต้องขาวซีด” เท่านั้น!!




อสุจิแซลมอน = ของเสียอุตสาหกรรมประมง

[ขอบคุณภาพและข้อมูล: แฟนเพจ "Drama-addict"]
“ไม่เป็นความจริง!” จ่าพิชิต ผู้เกาะติดทุกกระแสร้อนจากแฟนเพจ “Drama-addict” ขอออกมาฟันธงอย่างชัดเจน พร้อมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ช่วยยืนยันว่า ไม่เคยมีงานวิจัยชิ้นใดระบุว่า “อสุจิแซลมอน” มีสารทำให้ผิวขาว มีแต่งานวิจัยที่ระบุเอาไว้ว่าเหมาะแก่การนำไปใช้บำบัดน้ำเสียเท่านั้น!!

ไม่รู้อะไรซะแล้ว อสุจิแซลมอนนี่ของดีเลยนะครับ เป็น "ของเสีย" จากอุตสาหกรรมประมงที่มีการเอาไปใช้เป็นตัวทำละลายอย่างแพร่หลาย เพราะมันราคาถูกมาก ใช้ทิ้งใช้ขว้างได้ตามสะดวก แถมไม่มีผลเสียกับสิ่งแวดล้อมสักเท่าไหร่ด้วย ที่มีการใช้กันคือ ใช้อสุจิแซลมอนในการเตรียม hybridization solution เป็นสารเคมีตัวหนึ่งในการทำแล็บต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ DNA นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมาก พ่อแม่พี่น้องรู้จัก "แรร์เอิร์ธ" (Rare Earth : REEs) ไหม มันคือแร่ธาตุหายาก 17 ชนิด ที่ใช้เป็นวัตถุดิบของอุปกรณ์ไอทีทุกชนิด มือถือ, แท็บเล็ต ที่เราใช้กันทุกตัว มีแรร์เอิร์ธเป็นส่วนประกอบหมด

ล่าสุด มีงานวิจัยพบว่า ไอ้อสุจิแซลมอนเนี่ย สามารถทำละลายขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ธาตุแรร์เอิร์ธกลับมาใช้งานได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในอนาคตที่จะเอาอสุจิแซลมอนไปใช้ในการบำบัดน้ำเสียด้วยนะเออ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผิวขาวเหรอ... ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เห็นมีงานวิจัยอะไรเกี่ยวกับผิวขาวเลยสักแอะ มีแต่เรื่องทำละลายขยะอิเล็กทรอนิกส์


จากผลการวิจัยของ โยชิฮิโอะ ทากาฮาชิ มหาวิทยาลัยโตเกียว ค้นพบว่าอสุจิปลาแซลมอนสามารถทำหน้าที่เป็น “ถุงมือจับธาตุแรร์เอิร์ธ” ให้มายึดเกาะกับผนังเซลล์แบคทีเรียที่เติบโตอยู่ในแหล่งที่มีฟอสเฟตสูง ทำให้สามารถสกัดธาตุหายากเหล่านี้ออกมาได้ง่ายขึ้น อสุจิแซลมอนจึงมีคุณสมบัติใหม่ในเรื่องช่วยรักษ์โลกขึ้นมาทันทีหลังผลวิจัยชิ้นนี้ออกมา เพราะถือว่าช่วยเพิ่มมูลค่าในตัวเอง จากเป็นได้แค่ “วัตถุดิบเหลือทิ้งจากโรงงานแปรรูปปลา” ให้กลายมาใช้ประโยชน์ในการรีไซเคิลธาตุหายากได้แทน


[ขอบคุณภาพและข้อมูล: เฟซบุ๊ก "Weerachai Phutdhawong”]
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยออกมายืนยันในเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊ก “Weerachai Phutdhawong” ว่า อสุจิปลาแซลมอน หรือที่นิยมเรียกชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "เกลือโซเดียมดีเอ็นเอ" นั้น มีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจริง โดยนำมาศึกษาเพื่อประเมินความเป็นพิษของสารยับยั้งเอนไซม์ และนำมาใช้ศึกษาเพื่อพัฒนาวิธีการสกัด DNA ในการติดตามการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในชุดตรวจสอบ DNA เป็นหลัก แต่ไม่ได้ส่งผลต่อเรื่องผิว “ขาวใส” แต่อย่างใด

“อสุจิปลาแซลมอล ในทางเคมีเรียกว่า “Deoxyribonucleic Acid Sodium Salt From Salmon Testes” มีขายเพียวๆ เลยนะครับ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ทางสารเคมีชื่อ บริษัท Sigma-Aldrich Co. LLC ราคาก็อยู่ที่ 10 กรัม/ 1,355 ดอลลาร์สิงค์โปร์ ครับ ตกราวๆ 34,552.5 บาท กรัมละประมาณ 3,400 บาท... ใช้ในเครื่องสำอางค์ราคาสูง แต่ยังไม่เคยเห็นรายงานว่าใช้ในสบู่แล้วทำให้ขาวครับ


ส่วนที่มีผู้กล่าวอ้างถึง บทความงานวิจัย “Antiaging Effects of a Skin Repair Active Principle ( L. Rigano and C. Andolfatto Laboratori , F. Rastrelli, November 2006)” ในเรื่องผิวขาวใสนั้น จ่าพิชิตแห่ง “Drama-addict” ได้ลองไปติดตามอ่านงานวิจัยด้วยตนเองมาอย่างละเอียดแล้ว และขอยืนยันชัดเจนว่าสิ่งที่กล่าวอ้างนั้นค่อนข้างบิดเบือนไปมากพอสมควร

“บังเอิญว่าต้นฉบับของบทความที่ยกมาอ้างเนี่ย ฉบับเต็มๆ เขาพูดถึงการทดลองใช้สารสกัดจากอสุจิแซลมอน ในการเพิ่มความชื้น เพิ่มความเต่งตึง และลดรอยเหี่ยวย่นในผิวเท่านั้น เป็นการใช้สารสกัดในแง่บำรุงผิวและ anti aging แบบที่ใช้กันทั่วไป

[ขอบคุณภาพและข้อมูล: แฟนเพจ "Drama-addict"]
แต่ไม่มีประโยคใดในบทความนี้ บ่งบอกว่าสารสกัดจากอสุจิแซลมอน ช่วยให้ผิวขาวเลยแม้แต่คำเดียวครับ ก่อนจะหยิบยกบทความหรืองานวิจัยใดมาอ้าง อย่างแรกเลยนะครับ ต้องอ่านให้ออกว่ามันเกี่ยวกับประเด็นที่คนกำลังสงสัยอยู่ไหม ถ้าเจอคนที่อ่านบทความภาษาอังกฤษออกและอ่านงานวิจัยเป็น ไปไม่รอดหรอก”


[โฆษณาขายสบู่อสุจิปลาแซลมอน ว่อนเน็ต]
ทั้งนี้ ยังฝากเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเอาไว้ให้คิดด้วยว่า ถึงแม้อสุจิแซลมอนอาจมีคุณสมบัติบางประการที่มีผลต่อผิวหนังของคน แต่ก็เป็นเพียงคุณสมบัติเรื่องทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นเด้งดึ๋งได้มากกว่าปกติเท่านั้น ส่วนเรื่องที่กล่าวอ้างถึง “สีผิว” ที่เปลี่ยนไป ใช้แล้วจะ “ขาวใส” หรือ “ขาวซีด” หรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างหนัก และควรทำความเข้าใจในเบื้องต้นเอาไว้ว่า “เซลล์เม็ดสี” หรือ “เมลานิน” ไม่ว่าจะสีขาว แดง คล้ำ หรือ ดำ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย

“แทนที่เราจะรู้สึกเดียจฉันท์เม็ดสีพวกนี้ เราควรกราบขอบพระคุณมันงามๆ ด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีมัน มะเร็งแ_กเราไปนานแล้ว อีกทั้งการโฆษณาว่าสินค้าตัวนี้ใช้แล้วผิวขาว เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายครับ อ้างอิงจากเอกสารของทาง อย.


จะเห็นว่าพวกครีมแบรนด์เนมที่โฆษณาตามทีวี ไม่เคยใช้คำว่า ผิวขาว ตรงๆ เลยสักแบรนด์ จะเลี่ยงไปใช้คำว่า ใช้แล้วผิวสดใสเต่งตึง อะไรพวกนี้แทน เพราะครีมที่ประทินผิวดีๆ มันก็ประสิทธิภาพประมาณนั้นล่ะครับ เกี่ยวกับความชุ่มชื้น เต่งตึงของผิว ไม่มีใครเขาคิดจะกำจัดเม็ดสีที่มีคุณประโยชน์กับร่างกายหรอกนะ

ส่วนพวกสินค้าที่อ้างว่าใช้แล้วขาวใน 3-4 วัน อันนี้ขอเตือนให้ระวังไว้ เพราะของที่ทำให้ผิวขาวไวขนาดนั้น กลไกมันมีแค่ 2 อย่าง คือลอกผิวออกเป็นแผ่นๆ แบบพวกที่เอากรดราดผิวนั่นล่ะ ซึ่งจะเป็นผลเสียกับผิวในระยะยาวได้ กับอีกประเภทคือ ยับยั้งการสร้างเม็ดสี


ส่วนมากมันจะผสม “ปรอท” มั่ง “ไฮโดรควิโนน” มั่ง “สเตียรอยด์” มั่งล่ะ ซึ่งพวกนี้มีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีในเวลาอันสั้นเหมือนกันหมด แต่ใช้แล้วสุขภาพจะพังพินาศในระยะยาวอย่างแน่นอน ถ้าซวยหน่อยก็อาจถึงขั้น ตับพัง ไตพัง สมองพัง พิการตลอดชีวิตจากพิษของปรอทที่สะสมในร่างกาย


ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพและข้อมูล: แฟนเพจ “Drama-addict”, เฟซบุ๊ก “Weerachai Phutdhawong” และ “Tanatpipat Kanlachak”



มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...

Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015

รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ผู้จัดการ Live"



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น