ห้าวๆ ลุยๆ คุยกันแบบแมนๆ ว่างๆ ไม่มาคอยนั่งเมาท์ แต่ชอบเอาเวลาไปฝึกปีนเขา ดำน้ำ และเรียนรู้วิถีธรรมชาติในฐานะผู้มาเยือนมากกว่า ถ้า “เส้นทางสายบันเทิง” เปรียบเสมือนลมหายใจเข้า “เส้นทางสายท่องเที่ยว” คงเปรียบเสมือนลมหายใจออกของนางเอกสาวคนนี้ เพราะเธอบุกมาหมดแล้วจริงๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ นี่แหละที่ทำให้ “น้ำตาล” กลายเป็นนางเอกขาลุย ไม่ติดหรู ไม่ห่วงสวย และพร้อมจะพาใครต่อใครท่องไปค้นมิติความเป็นเธอ!
ประทับใจไม่รู้ลืม... Unseen ถิ่นเหนือ!
[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn]
“พอเราไม่ใช่ผู้หญิงแบบผู้หญิงจ๋าๆ ไม่ใช่ผู้หญิงหวานๆ เดินชอปปิ้ง เดินห้างฯ อย่างเดียว เราจะรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตที่มันคุ้มค่านะ เกิดมาครั้งหนึ่งเราได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ถึงแม้วันนี้เราได้เป็นนักแสดงแล้ว แต่เราก็ยังได้ใช้ชีวิตของเรา ได้ไปเที่ยว ได้ทำในสิ่งที่เรารัก มันทำให้รู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากๆ เลย”
นี่แหละที่ทำให้น้ำตาลถูกเพื่อนๆ ขนามนามว่า “พิจักขณา พาทัวร์” เอาชื่อจริง “พิจักขณา วงศารัตนศิลป์” มาตั้งเป็นชื่อทริป เพราะนิสัยชีพจรลงเท้าที่ติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“เราจะเป็นคนวางแพลนหมดเลย และจะไม่ใช่แค่ไปนอนโรงแรมสวยๆ หรือถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้แล้วก็กลับ ตาลจะพาทุกคนไปทุกที่ ตาลชอบหาข้อมูลค่ะ จะเข้าไปศึกษาหมดเลยว่าในกระทู้พันทิปพูดถึงแต่ละที่ว่ายังไงบ้าง มีใครมาคอมเมนต์ว่ายังไง เราก็จะรวบรวมมาแล้วก็ลองไปตามนั้น วางตารางเวลาเองเลย บางทีคุยกับทีมงาน พี่ๆ ฝ่ายโลเกชันในกองละครก็ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ พี่เขาจะรู้สถานที่สวยๆ ในเมืองไทยเยอะมาก เพราะก่อนจะถ่ายละครแต่ละเรื่องได้ เขาต้องลงพื้นที่จริง ไปคุยกับชาวบ้านจริง เขาเลยจะมี connection เยอะมาก การที่เราได้คุยกับเขาก็เหมือนเราได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ไปด้วย พี่เขาจะบอกเลยว่าน้องน้ำตาลลองไปที่นี่สิ สวยกว่าที่เราไปถ่ายรูปมาอีกนะ มันทำให้เราได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ได้รู้จักสถานที่เที่ยวที่ไม่ซ้ำใครดีค่ะ”
ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองให้หัวหน้าทัวร์หน้าสวยแนะนำ “Unseen ถิ่นเหนือ” ดูบ้าง ในฐานะเจ้าถิ่น เด็กเมืองแพร่และอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเริ่มรื้อความทรงจำที่เคยฝากเอาไว้ ณ “ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ จ.แม่ฮ่องสอน” ขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้งหนึ่ง
[งดงามเหลืองอร่าม “ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ”]
“ตาลเคยไปกับเพื่อนที่ มช.ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกัน และตาลก็ไปรถล้มที่นั่นค่ะ แต่สถานที่มันสวยมากจนทำให้เราลืมความเจ็บปวดทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย (ยิ้มกว้างฉายประกายสดใสในแววตา) ตอนนั้นประทับใจมากเพราะเรายังเป็นนักศึกษาอยู่ ไปเที่ยวกันเอง มีเงินน้อยมาก แต่ชาวบ้านทุกคนเขาก็เข้ามาช่วยเรา เห็นเรานอนนิ่งๆ เขาก็วิ่งกันเข้ามาดูว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ความจริงแล้วเราไม่เป็นอะไรเลยค่ะเพราะเราใส่เสื้อผ้าหนา
ชาวบ้านเขาก็ตกใจกันใหญ่ ทำให้เราได้เห็นความน่ารักของเขามากๆ อย่างหนึ่งค่ะ ตาลก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่เขาพาเราลุกขึ้นมา แล้วเขาก็เอาน้ำมันเหลืองๆ มาทาให้เรา ก่อนทาเขาก็ท่องคาถาด้วยค่ะ เราก็แอบตกใจนิดหนึ่ง แต่เราก็ปลื้มใจมากค่ะที่เห็นเขาพยายามช่วยเหลือเราทุกอย่าง มันเลยทำให้เราประทับใจมากจนถึงทุกวันนี้
ตอนไปที่นั่น ตาลกับเพื่อนเดินทางกันเย็นๆ พอไปถึงพระอาทิตย์ก็ตกแล้ว เลยยังมองไม่เห็นอะไร ถึงแล้วก็กางเต็นท์นอนกันเลย พอตื่นเช้าวันรุ่งขึ้น เปิดซิปออกมา มันเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ ค่ะ เราได้เห็นภูเขาทั้งลูกเหลืองอร่าม ทั้งๆ ที่ตอนเราขี่มอเตอร์ไซค์กันมา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เราขับรถผ่านมาเมื่อวานมันเหลืองทั้งภูเขาเลยนะเว้ย! เลยทำให้เรายิ่งตื่นเต้นมากแล้วก็ประทับใจมากๆ แถมเป็นการไปแบ็กแพกและไปนอนเต๊นท์ครั้งแรกของตาลด้วยค่ะในทริปนี้
ทุกวันนี้ พอกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เราก็ยังอยากจะพาเพื่อนๆ ไปดูไปเห็นความสวยงามของที่นี่ตลอดอยู่เลยค่ะ ตาลว่ามันเป็น Unseen อีกที่หนึ่งของเมืองไทยนะ เพราะว่าโค้งมันหักศอกหมดเลย ถือเป็นเส้นทางที่ลำบากนิดหนึ่ง ไปถึงปาย ทุกคนว่าโหดแล้ว แต่ไปที่นี่ต้องต่อรถเข้าไปอีกหลายชั่วโมงเหมือนกันค่ะ หรือไม่ ถ้าไม่ไปทางนั้นก็ต้องอ้อมไปอีกทางหนึ่งซึ่งมันก็ค่อนข้างจะไกลพอสมควร แต่ตอนเราไป เราก็คิดว่าเราอยากไปเห็นให้ได้สักครั้ง และพอไปเห็นจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันสวยมากจริงๆ มันเหลืองสุดลูกหูลูกตาไปหมด
ดอกบัวตองเนี่ย ตอนแรกเราคิดว่ามันจะเป็นดอกบัวที่อยู่ในน้ำ เราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะคล้ายๆ กับดอกทานตะวันเล็กๆ และมันเหลืองสุดลูกหูลูกตา เหลืองมากค่ะ มันไม่ได้เหลืองแค่หย่อมเดียว แต่มันเหลืองทั้งภูเขาและมันสวยงามมาก เลยยิ่งทำให้ตาลชื่นชอบแม่ฮ่องสอนมากค่ะ เพราะไปแล้วเรายังเที่ยวต่อได้อีกหลายที่ มีทั้งที่ “ปางอุ๋ง” แล้วก็ “บ้านรักไทย” ด้วย”
“ขุนช่างเคี่ยน จ.เชียงใหม่” คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในความทรงจำของน้ำตาล ตั้งแต่สมัยเรียนคณะศึกษาศาสตร์ที่ ม.เชียงใหม่ มีโอกาสได้เป็น “ครูอาสา” ออกค่ายพัฒนาชุมชน ไปอยู่ ไปกิน ไปนอน และสอนหนังสือให้น้องๆ อยู่บนดอยแห่งนั้น จนเกิดความรู้สึกผูกพันและเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอหลงเสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวตามรอยวิถีชุมชนมาจนถึงทุกวันนี้
[สีชมพูเย็นตาจากต้นนางพญาเสือโคร่ง แห่ง “ขุนช่างเคี่ยน”]
“เราไปกันตั้งแต่สมัยที่นี่ยังไม่บูมเลยค่ะ แต่ตอนนี้บูมแล้วเพราะมีดอกพญาเสือโคร่งที่คนชอบไปถ่ายรูปกัน เป็นต้นซากุระเมืองไทย จะอยู่เลยพระธาตุดอยสุเทพขึ้นไป ข้างบนก็จะมีโรงเรียนขุนช่างเคี่ยนอยู่ ตอนนั้นมีครูแค่ 3 คนเองค่ะ เราเป็นเหมือนรุ่นบุกเบิกไปหาน้องๆ ได้ไปนอนที่นั่นแบบไม่มีไฟฟ้าด้วย แล้วก็จุดเทียนพรรษาอยู่กัน เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากเลย
ตอนตาลขึ้นไป ได้อยู่กับน้องๆ 3-4 วัน เห็นเด็กบางคนยังใส่ชุดเดิมอยู่เลย มีขี้มูกขี้ไคล เราก็ถามน้องว่า “ทำไมไม่อาบน้ำ” (ทำเสียงดุนิดๆ ปนเอ็นดู) น้องเขาก็บอกว่ามันหนาวมากเลยพี่ แต่มันหนาวมากจริงๆ ค่ะ ยิ่งฝนตก อากาศยิ่งหนาวเข้าไปอีก เราเลยไม่โทษน้องเขาเลย เพราะขนาดเราขึ้นไป เรายังไม่อยากอาบน้ำเลย” นางเอกสาวยิ้มละมุนตบท้าย
“และที่ตลกมากคือตอนกลับลงมาจากนั่น ทุกคนเป็นเหากันหมดเลย (หัวเราะเบาๆ) เพราะเราไปนอนโรงเรียนเด็กอนุบาลของน้องเขา เราก็เอาเบาะของเขามานอนกัน พอตอนกลับลงมา มันฮามากตรงที่พวกเราต้องมานั่งหมักเหากัน ซึ่งเราไม่ได้มีอารมณ์หมักเหากันมานานมากแล้ว เราเลยคิดว่าถ้ามีโอกาสขึ้นไปอีก เราจะเอายานี้แหละไปให้เขาด้วย”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ก่อนหน้าที่จะแก่นเซี้ยวเที่ยวแบบลุยๆ ได้อย่างทุกวันนี้ น้ำตาลเคยเป็นเด็กติดบ้านมาก่อน แถมคุณพ่อคุณแม่ยังหวงลูกสาวมากๆ อีกต่างหาก เลยไม่เคยปล่อยให้ไปนอนค้างคืนกับกลุ่มเพื่อนๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลังจากเธอเข้ามหาวิทยาลัย ได้ออกค่าย และพิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นว่าดูแลตัวเองได้ โลกที่เคยจำเจของน้ำตาลก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
[“ปางอุ๋ง” สถานที่สุดรื่นรมย์แห่งแม่ฮ่องสอน]
“พอเราได้เห็นวิถีชีวิตที่มันแตกต่าง เราก็เริ่มรู้สึกว่าแต่ละที่มันก็มีเสน่ห์ และรู้สึกว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เราจะอยู่แต่ในหอพักกันเฉยๆ ไปทำไม ถ้าเราไม่มีงานอะไรมาก เราก็ควรจะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะแต่ละที่ที่ได้ไป มันก็จะมีอะไรให้เราประทับใจในแบบที่ไม่ซ้ำกันเลย อย่างตอนนี้ ตาลอยู่ที่กรุงเทพฯ ตาลก็รู้สึกว่าชีวิตฉันอยู่แต่ในคอนโดฯ อยู่ในห้องแคบๆ เรายังต้องการอะไรที่มันมากกว่านี้ ยังต้องการจะไปที่อื่นอีก ตาลก็จะพยายามหาโอกาสไปชิลชิล ไปสโลวไลฟ์ในแบบของตาล เพราะชีวิตเรา เราเจอกับคนหลายคน ทำให้รู้สึกว่ามันวุ่นวายมาก พอเราได้ไปอยู่ที่อื่น มันเหมือนเราได้นั่งคิดและได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น”
คำว่า “สโลว์ไลฟ์” ของน้ำตาลเป็นแบบไหน? คนถูกถามนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนให้คำตอบว่า “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตั้งแต่ยังไม่มีคนบัญญัติคำนี้ ก็น่าจะเป็นการตระเวนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวกับเพื่อนค่ะ ยิ่งเมื่อก่อนร้านกาแฟยังไม่ขึ้นถี่ขนาดนี้ ที่ที่หนึ่งจะมีร้านกาแฟเด็ดๆ สักที่หนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องไป และพอเราไปเป็นนักศึกษาเชียงใหม่ เป็นเด็ก มช.แรกๆ เราก็ต้องอยากลองไปดูทุกที่เลย ตาลว่าวิถีชีวิตแบบนี้มันมีมานานแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีใครให้คำจำกัดความแบบนี้ออกมามากกว่า”
“ตาลว่ามันไม่แปลกนะคะที่คนเดี๋ยวนี้อยากจะมีชีวิตแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปกันมากยิ่งขึ้น เพราะสังคมสมัยนี้มันเดินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นทุกวัน ทุกอย่างมันปรู๊ดปร๊าดรวดเร็วไปหมด ชีวิตเรามันเลยขาดการพักผ่อน ขาดความรู้สึกได้รีแลกซ์ ช่วงเวลาของการรีแลกซ์ของหลายๆ คนที่อยู่ในเมืองตอนนี้ มันกลายเป็นว่าฉันจะผ่อนคลายได้ตอนที่รถติดอยู่บนทางด่วนแค่นั้น เลยไม่แปลกที่หลายๆ คนจะเริ่มหาร้านกาแฟดีๆ นั่งสักร้าน หรืออยากจะตระเวนไปตามที่ต่างๆ ที่ตัวเองชอบ ตาลว่าคนเดี๋ยวนี้เริ่มกลับมาสู่วิถีชีวิตแบบเดิมๆ แล้วค่ะ กลับไปสู่ความสุขสงบแบบเดิมๆ โลกเรามันก็เป็นไปตามสัจธรรมของชีวิต”
ลุยไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ นี่แหละเสน่ห์ของชีวิต!
[พร้อมลุยทุกแบบ! เพราะการท่องเที่ยวคือความหมายของชีวิต/ ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn]
“เสน่ห์ของการท่องเที่ยวอีกอย่างหนึ่งคือ มันทำให้เราได้เอาชนะใจตัวเอง” น้ำตาลบอกเอาไว้อย่างนั้น เพราะตั้งแต่ตกลงใจเที่ยวแบบลุยไม่หยุดฉุดไม่อยู่ มันก็ดึงดูดให้เธอเอาชนะอาการกลัวที่มืดได้ด้วยการ “ดำน้ำลึก” แถมยังเอาชนะอาการกลัวความสูงได้ด้วยการ “ปีนหน้าผา” อีกต่างหาก
“จากเมื่อก่อนตาลเป็นคนขี้กลัวมาก ตาลกลัวความมืด กลัวที่จะอยู่นิ่งๆ เงียบๆ คนเดียว แต่พอเราลงไปอยู่ใต้น้ำ ทำให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่เราคอนโทรล ทั้งเรื่องความปลอดภัยและความไว้ใจจากเพื่อนที่เป็นบัดดี้ของเรา และเมื่อก่อน ตาลจะเป็นคนขี้ลืมมาก ตาลจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไปเที่ยวก็ลืมโทรศัพท์มือถือทิ้งหมดเลย แต่พอไปเที่ยวแบบนี้ มันทำให้เราต้องมีสติมากขึ้น เพราะถ้าไม่มีสติ เราจะเอาชีวิตรอดไม่ได้ เราก็เลยรู้สึกว่าเราแฮปปี้มากที่มันทำให้เราเอาชนะตัวเองได้ ที่สำคัญ มันทำให้เรารู้ว่าโลกมันยังมีอะไรอีกเยอะ มันกว้างมากที่พร้อมจะให้เราได้เรียนรู้
[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn]
เราจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดเลยค่ะในระหว่างที่เที่ยว ลืมว่าฉันเป็นใคร พรุ่งนี้ฉันต้องไปถ่ายละคร พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปเรียนหนังสือ ต้องไปสอบ ฯลฯ เราจะมีสมาธิอยู่แค่ตรงนั้น นี่แหละค่ะที่เสน่ห์ของมัน หรืออย่างตอนฝึกปีนมา มันก็ทำให้เราได้ฝึกกระบวนการคิดด้วยค่ะ เราต้องมีสมาธิอยู่ตลอดเวลาว่าจะไปเกาะตรงไหน วางเท้ายังไง เพราะถ้าพลาดก็เท่ากับว่าเราต้องลงมานับหนึ่งใหม่ยิ่งตอนแรกๆ ที่ลองขาสั่นเลยค่ะ เพราะเป็นคนกลัวความสูงอยู่แล้ว ตอนที่ก้าวเราก็ต้องมองไปข้างล่างด้วย เราเองก็ไม่มั่นใจว่าเพื่อนจะเซฟเราได้จริงเหรอ แค่เชือกเส้นเดียวมันจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดได้จริงๆ หรือเปล่า มันช่วยฝึกเราเรื่องความเชื่อใจและไว้ใจซึ่งกันและกันด้วยไปในตัว”
ถึงทุกวันนี้จะมีชีวิตอยู่ในแสงไฟ เป็นที่รู้จักในฐานะ “คนดัง” แต่เธอก็ยังสามารถหาเวลาให้กับการผจญภัยไปตามสถานที่ต่างๆ ได้เสมอ บอกเลยว่าสิ่งเหล่านี้คือ “ความหมาย” ของการใช้ชีวิต
“ปกติแล้ว ปีหนึ่ง ตาลจะตั้งเป้าเอาไว้เลยว่าเราจะไปเที่ยวให้ได้อย่างน้อย 2-3 ครั้ง เที่ยวในไทยด้วย แล้วก็เที่ยวต่างประเทศให้ได้สักปีละครั้ง อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเราติดหรูนะคะ เราแค่อยากไปเปิดหูเปิดตา ได้ไปดูสังคมที่มันแปลกใหม่ พอถึงช่วงปีใหม่ ตาลจะชอบเขียนเอาไว้ว่าเราอยากจะทำอะไรบ้าง และพยายามทำให้ได้ตามนั้น
ตาลว่าการได้ไปในแต่ละที่ และได้ไปคุยกับคนที่อยู่ที่นั่นจริงๆ มันจะช่วยเปิดมุมมองหลายๆ อย่างของเราได้เยอะเลย ตาลเป็นคนที่ชอบศึกษาคนค่ะ อยากคุยว่าเขาเป็นยังไง ตาลจะไม่ไปแค่ถ่ายโรงแรมสวยๆ อย่างเดียวแล้วกลับ เราจะไม่ค่อยชอบแบบ “ทัวร์ชะโงก” เท่าไหร่ (ยิ้ม) แต่จะชอบไปอยู่ ไปดูวิถีชีวิตของเขาจริงๆ ว่าเป็นแบบไหน ตาลว่าการทำอะไรผิวเผิน มันอาจจะทำให้เราไม่ได้เห็นในบางมุมที่น่าสนใจค่ะ เช่น เวลาไปดูจุดชมวิว ตาลจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่เราจะชอบเข้าไปถามคนในพื้นที่ว่ามันมีอะไรมากกว่านี้อีกหรือเปล่า เราอยากไปเจาะลึก เอาตัวเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตเขาจริงๆ
ชีวิตตาล ตาลชอบการท่องเที่ยวมาก และเราก็เที่ยวแบบนี้มาตลอด มันเลยกลายเป็นความใฝ่ฝันของเรา เป็นรู้สึกว่าการเที่ยวเป็นการพักผ่อนของเราอย่างหนึ่ง ตาลจะไม่ใช่คนที่ฝันว่าเราจะต้องเป็นซูเปอร์สตาร์เริดหรูเลยค่ะ ไม่ได้คิดว่าต้องมีมาดมีฟอร์ม เพราะไม่รู้จะมีแบบนั้นไปทำไม เพราะสุดท้ายเราก็แค่คนธรรมดา แต่แค่เป็นคนที่มีชื่อเสียงเท่านั้นเอง
คติทุกวันนี้ของตาลคือ “ทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด” หมายความว่าถ้าวันนี้เรารับบทบาทนักแสดง เราก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด และวันพรุ่งนี้ ถ้าวางแพลนไปเที่ยว เราก็จะคิดแค่วันนั้น แต่ถ้าวันไหนที่แพลนมันเปลี่ยน เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับมันมากค่ะ ก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่ตาลจะไม่เคยลืมเลยว่าเรายังมีความฝันในเรื่องเที่ยวอยู่ และเราก็จะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันคือความสุขของชีวิต”
“รีเมก” ไม่ซ้ำ ขอแค่เปิดใจ
“แก่นแก้ว เริงร่า ช่างพูดช่างคุย มีความคิดเป็นของตัวเอง” บทบาทล่าสุดที่ได้รับในละครเรื่อง “สะใภ้จ้าว” น่าจะตรงกับตัวจริงของเธอที่สุดแล้วตั้งแต่เคยรับเล่นมา ถึงแม้ว่าละครเรื่องนี้จะเป็นแนวพีเรียดย้อนยุค ทำให้ต้องพยายามทำความเข้าใจความต่างแห่งช่วงเวลาอยู่มากก็ตาม แต่นางเอกของเรื่องกลับมองว่าน่าสนุก ทำให้คนที่ชอบความท้าทายอย่างเธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง
“จริงๆ แล้วตัวละคร “สาลิน” ก็คือตัวตาลเหมือนกันนะคะ ถ้าตัดในเรื่องความเป็นพีเรียดหรือความเรียบร้อยในยุคสมัยนั้นออกไป เพราะสาลินจะมีความแก่นแก้ว ซน ทโมน อยู่ ที่คล้ายกันมากก็คือเราเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น และจะมีนิสัยแมนๆ ห้าวๆ เหมือนผู้ชายเหมือนกัน เพราะว่าตาลจะมีเพื่อนเป็นผู้ชายเยอะ จะไม่ค่อยชอบการพูดคุยแบบผู้หญิงๆ แนวเมาท์ๆ กันเท่าไหร่ จะออกแนวไม่ค่อยมานั่งสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่จะคุยและเคลียร์กัน เสร็จแล้วก็จบมากกว่า
ที่เหมือนกันอีกอย่างคือชอบอ่านหนังสือเหมือนกันค่ะ คือตัวสาลินเขาเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดฝรั่ง มีบอสเป็นฝรั่ง ก็เลยทำให้เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองและเชื่อในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ส่วนตาลก็ชอบอ่านนวนิยายกับบทกวี ก่อนหน้านี้ที่เลือกเรียนศึกษาศาสตร์ ภาคภาษาไทย ก็เพราะว่าชอบอ่านหนังสือค่ะ โดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวน อย่างเรื่อง “ล่องไพร” ของ “น้อย-อินทนนท์” นี่เล่มโปรดเลย (ยิ้ม) ตาลรู้สึกว่าพอได้อ่านอะไรแบบนี้แล้วมันช่วยสร้างจินตนาการให้กับเราได้มากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทั่วๆ ไป มันดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวเรา ต้องเข้าไปอยู่ในป่า ดูลี้ลับน่าค้นหาดีค่ะ
แต่จุดที่ตาลไม่เหมือนกับสาลินก็คือ เขาจะเป็นคนที่เจ้าแผนการ แล้วก็เจ้าเล่ห์นิดหนึ่ง แต่เราไม่ใช่คนแบบนั้น คือตาลก็ไม่ได้เป็นคนใสๆ อะไรนะ (ยิ้ม) เพียงแต่ตาลจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นกับอะไรค่ะ ถ้าโกรธใคร ตาลจะนิ่งเงียบใส่ไปเลยมากกว่า จะไม่ค่อยมีลูกล่อลูกชนอะไรเยอะ” น้ำเสียงและท่าทางของเธอบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่นิยมเรื่องดรามาในชีวิต
ถ้าใครเคยดูละครชื่อเดียวกันในเวอร์ชันก่อนจะรู้ว่า “สะใภ้จ้าว” เป็นละครรีเมก โดยเวอร์ชันก่อนหน้าแสดงนำโดย พระเอกมาดอุ่น “ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” กับนางเอกลูกครึ่ง “วิกกี้-สุนิสา เจทท์” พอมาเวอร์ชันนี้ ผู้จัดฯ ขอปรับหลายๆ อย่างให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น เน้นให้ “คุณชายรอง” ซึ่งรับบทโดย “โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” กับ “สาลิน” ได้ต่อปากต่อคำกันเพิ่มขึ้นเพื่อเติมสีสัน เมื่อเอาบทละครเก่ามาตีความใหม่แบบนี้ ก็ต้องมีคนเอาไปเทียบกับรูปแบบเดิมแน่ๆ แต่น้ำตาลก็พร้อมตั้งรับกับฟีดแบ็กที่กำลังจะตามมา และได้แต่หวังว่าคอละครจะลองเปิดใจให้เวอร์ชันใหม่ในหลายๆ มิติ
“ความจริงแล้ว ตาลเจอละครรีเมกมา 2 เรื่องแล้วนะคะ อย่างเรื่อง “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” ละครเรื่องแรกของตาลก็เป็นละครรีเมกเหมือนกัน เทียบกันกับเรื่องนั้นแล้ว ตาลว่าตอนนั้นกดดันกว่าเยอะค่ะ (ยิ้มปลงๆ) ด้วยความที่เรายังไม่เข้าใจวิธีการแสดงหรือกระแสอะไรมาก แต่ปัจจุบันเราเข้าใจมากขึ้นแล้วค่ะว่า มันเป็นธรรมดาของละคร ไม่ว่าจะเป็นละครที่รีเมกหรือไม่รีเมก มันต้องมีทั้งกระแสด้านบวกและด้านลบ มีทั้งคนชอบและคนที่ไม่ชอบอยู่แล้ว ดังนั้น การเปรียบเทียบมันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตรงนี้ตาลเองก็ยอมรับได้ เพราะเราก็เข้าใจและทำใจมาส่วนหนึ่งแล้วว่ามันต้องมีกระแสนี้แน่นอน
คงอยากจะวอนขอมากกว่าว่าอยากให้ทุกๆ คนเปิดใจลองดู เพราะละครเมื่อมีการนำมารีเมกใหม่ ก็ต้องมีการตีความใหม่ ทั้งตัวผู้เขียนบท ผู้กำกับ เพื่อจะให้มันเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น พอเอามาเล่าเรื่องแบบใหม่ก็จะทำให้มันไม่ค่อยเหมือนเดิม แต่บางคนก็อาจจะยังติดกับรูปแบบเดิม แต่เราก็อยากจะให้เปิดใจดูค่ะ อยากให้ดูละครด้วยการผ่อนคลาย สนุกสนาน มากกว่าจะมานั่งคิดว่าทำไมเวอร์ชันใหม่เป็นแบบนี้ เวอร์ชันเก่าไม่ใช่แบบนี้นี่ อยากให้ดูกันอย่างสนุกสนานแบบครอบครัว คุณน้าบางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์อยู่ในยุค 60's จริงๆ พอมาดูเรื่องนี้ก็อาจจะช่วยรื้อฟื้นหลายๆ อย่างที่เขาหลงลืมมันไปแล้วก็ได้ค่ะ ดูแล้วเผื่อเอามาแลกเปลี่ยน เล่าให้ลูกหลานฟังได้
ละครเรื่องนี้เป็นละครที่ดูได้ทั้งครอบครัว เป็นละครยิ้มๆ ละมุนละไม จะไม่มีตัวร้ายแบบที่ร้ายสุดขั้ว แต่จะร้ายแค่พอเป็นสีสัน ร้ายแบบตลกๆ มากกว่า จะไม่ร้ายแบบว่าต้องฆ่ากัน ต้องแย่งชิงสมบัติ หรือแย่งชิงผู้ชายคนนี้มาไว้ในครอบครองโดยที่ฉันจะต้องทำลายทุกอย่าง จะไม่ใช่แบบนั้น ถือเป็นละคร Feel Good อีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ตาลเลยมองว่าเรื่องนี้มันยังมีสีสันอีกหลายอย่างมากกว่าประเด็นที่ว่าเป็นละครรีเมกหรือไม่รีเมกนะ
[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn]
ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้ท้าทายตาลมาก ตาลได้ทำหลายๆ อย่างที่ทะลุกรอบความเป็นตาลมากๆ อย่างตอนที่ต้องรำเป็นตัวพระ เพราะตาลไม่เคยรำมาก่อนเลย คือตาลเคยอยากรำนะคะตอนเด็ก แต่อาจารย์บอกว่าไปเล่นกีฬาดีกว่า (หัวเราะเบาๆ) เพราะพยายามทำยังไงเราก็รำไม่ได้ มือมันแข็งมากค่ะ ตอนแรกคิดว่ารำเป็นตัวพระจะไม่ต้องอ่อนช้อยอะไรมาก แต่ไปๆ มาๆ ตัวพระกลายเป็นตัวที่ต้องเกี้ยวพาราสีตัวนาง เวลาเดินเขาต้องฉีกขาและต้องย่อตลอดเวลา ซึ่งยากมาก (ลากเสียง) หลังจากได้รำเราก็เลยนับถือคนที่เขารำเก่งๆ ไปเลยค่ะ ยิ่งเรื่องชุดที่ใส่ของตัวพระยิ่งลำบาก ไม่ต้องไปเข้าห้องน้ำเลยทั้งวัน (หัวเราะ) ต้องนุ่งโจงกระเบนและเย็บทั้งตัว ใช้ความอดทนมากๆ แต่ก็สนุกมากค่ะ ได้ลองหลายๆ อย่างที่ไม่เคยลอง
มีฉากเต้นคาบาเรต์ด้วย ซึ่งชีวิตจริงตาลคงไม่ได้มาใส่ชุดเลื่อมลายๆ แล้วมาเต้นอะไรเซ็กซี่ๆ แบบนี้ เพราะตัวเราเองก็ไม่ใช่คนเซ็กซี่ แต่ฉากนี้ตาลต้องมาใส่วิกสีขาว ใส่ชุดเลื่อมๆ พอออกมาทุกคนก็อึ้งๆ ว่า เฮ้ย! น้ำตาลเหรอ (ยิ้ม) กลายเป็นผู้หญิงเปรี้ยวๆ ไปเลย ซึ่งไม่เคยมีใครได้เห็นตาลในลุคนั้น กลายเป็นสาวๆ ที่มาเต้นท่ามกลางผู้ชายที่เปลือยอกทุกคนเลย เราเองก็เขิน ไม่ค่อยกล้าเต้น มีคนคอยดูเต็มไปหมด ก็อยากให้ได้ติดตามดูกันค่ะ” ส่วนฟีดแบ็กบนโลกออนไลน์จะออกมารูปแบบไหน นางเอกสาวแก่นคนนี้ก็พร้อมตั้งรับเสมอ
“มันเหมือนเราค่อนข้างมีภูมิต้านทานมาจากตอนเล่นรีเมก (มัจจุราชสีน้ำผึ้ง) คู่กับพี่เคน-ธีรเดชแล้วค่ะ (ยิ้มบางๆ) จะเรียกว่าเราเข้าใจธรรมชาติของกระแสมากขึ้นก็ได้ ตอนนั้นก็ถือว่าโดนหนักเหมือนกันค่ะ จู่ๆ โผล่มาเรื่องแรกก็ได้มาเล่นกับซูเปอร์สตาร์ แต่ในเมื่อทางผู้จัด ผู้กำกับ และพี่เขาให้โอกาสเรา ตาลก็อยากจะทำโอกาสนั้นให้ดีที่สุด อยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราสามารถทำได้ เราไม่อยากทำให้ทุกคนที่ให้โอกาสเราผิดหวัง ก็เลยนำเอาจุดนั้นที่เคยกดดันมาเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ
พอผ่านมาได้ก็ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นเยอะค่ะ เข้าใจว่าทุกอย่างมันมีทั้งด้านดีและไม่ดี เพียงแต่ว่าเราจะเปิดรับฝั่งไหน และเราก็ไม่ได้ปิดทั้งสองฝั่ง คนที่ชื่นชอบผลงานของเรา ก็จะมีแต่กำลังใจที่ให้เรา ส่วนคนที่ติ ตาลก็เชื่อว่าเป็นการติเพื่อก่อ เพื่อให้มีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็น้อมรับทุกคำติคำชม แต่บางคำติของบางคนที่เอามัน เอาสนุก เราก็จะไม่ไปใจจดใจจ่อกับตรงนั้นค่ะ เพราะเราต้องเข้าใจว่าเขาพิมพ์แล้วเขาก็ไป เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มาคิดว่าเรารู้สึกยังไง ถ้าเราเก็บเอาคำพูดนั้นมาคิดอยู่ทั้งวัน คนที่ไม่มีความสุขและทุกข์ใจก็คือตัวเราเอง”
ประวัติส่วนตัว ชื่อ: น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ วันเกิด: 30 ส.ค.2534 สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ จ.แม่ฮ่องสอน, ขุนช่างเคี่ยน อ.เมือง จ.เชียงใหม่, ปางอุ๋ง และ บ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน ผลงานเด่น: ละครเรื่อง “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” (2556), “ดาวเคียงเดือน” (2557) และเรื่องล่าสุด “สะใภ้จ้าว” (2558) |
อย่าหลงหน้าจอ จนลืมคนใกล้ตัว [คุณพ่อ คุณแม่ และน้องชาย “ความอบอุ่น” ในชีวิตของน้ำตาล/ ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn] ถ้าการได้ออกผจญภัยไปบน “เส้นทางสายท่องเที่ยว” คือเครื่องกระตุ้นให้หัวใจได้สูบฉีดเรื่องใหม่ๆ ในชีวิตแบบไม่รู้เบื่อ การได้มีเวลากลับมาพักผ่อนคลายกับ “ครอบครัว” ก็คือช่วงเวลาสำคัญไม่แพ้กันสำหรับน้ำตาลที่ช่วยสร้างความอบอุ่นใจให้เธอได้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะช่วงละครออนแอร์ที่เธอจะใช้มันเชื่อมความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว “ครอบครัวเป็นอะไรที่สำคัญกับตาลมากๆ ค่ะ ตาลไม่เคยห่างครอบครัวเลย ตาลจะสนิทกับคุณแม่มากค่ะ แล้วก็สนิทกับน้องชายด้วย ถึงตาลห่างจากน้องชาย 6 ปี แต่เท่าที่ตาลจำความได้ ตาลไม่เคยมีห้องนอนส่วนตัวเลย (เธอแนบยิ้มในแววตาอุ่นๆ) ตั้งแต่เด็กจนตาลจบ ม.6 และไปเรียนต่อที่ มช. พอกลับมาบ้านก็จะต้องได้นอนกับน้องชายตลอด หรือไม่งั้นก็กลับไปนอนกับคุณแม่ ทุกวันนี้ พอบินกลับไปที่แพร่ก็ไปนอนกับคุณแม่ค่ะ ไม่ได้มีห้องส่วนตัว พ่อตาลเชื่อว่าถึงแม้จะเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย แต่เราอยู่ร่วมกันได้เพราะเป็นพี่น้องกัน ตาลก็เลยได้อยู่กับน้องตั้งแต่เป็นเตียง 2 ชั้น พอน้องชายตัวโตมากๆ ก็แยกเป็นเตียงคู่ ดังนั้น น้องจะอยู่กับเราทุกช่วงชีวิต ช่วงที่มีความรัก ช่วงอกหัก ฯลฯ เขาจะอยู่กับเราตลอดเวลา ครอบครัวเราก็เลยเป็นครอบครัวที่สนิทกันมาก เพราะห้องนอนตาลจะไม่มีทีวี ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์อยู่ในนั้นเลย คือห้องนอนของเราจะมีไว้นอนกับทำการบ้านจริงๆ อยากจะดูทีวี ทุกคนก็จะมารวมกันที่ทีวี และคอมพิวเตอร์ก็จะอยู่ข้างทีวี คือไม่ว่าเราจะแชตหรือทำอะไร มันจะอยู่ในสายตาครอบครัวหมด เราเลยไม่เคยห่างกัน ถึงน้องชายจะเล่นคอมพ์ เล่นเกม เราก็ยังอยู่ในห้องเดียวกัน ก็เลยทำให้เรื่องครอบครัวสำคัญสำหรับเรามาก ตาลมีประสบการณ์ตรงที่ว่า คุณปู่กับคุณตาตาลหลับแล้วเสียชีวิตไปหมดเลยค่ะ มันเป็นการลาจากการที่เราไม่ได้เตรียมตัวเลย อย่างคุณตาตาล ตอนเช้ากินข้าวกันอยู่ พอตอนเย็นก็เสียแล้ว คุณปู่ก็ไปตอนที่อยู่บ้านสวนคนเดียว เราก็เลยรู้สึกว่าการที่เราพูดคุยกันหรือการหาเวลามาเจอกัน มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะสุดท้ายแล้ว ยังไงทุกคนก็เกิดมาเพื่อตาย เราไม่รู้ว่าเราจะตายจากกันเมื่อไหร่ ตาลก็เลยพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ พยายามใส่ใจทุกๆ คนที่เขาใส่ใจกับเรา โทร.คุยกับคุณพ่อคุณแม่ทุกวันทั้งๆ ที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะอะไร? เพราะวันหนึ่งเราไม่อยากเสียใจว่าทำไมเราไม่ได้คุยกับเขา แล้วยิ่งกับคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน ทำไมคุณถึงไม่ยอมคุยกัน แล้วคุณจะไม่เสียใจเหรอถ้าวันหนึ่ง ทำไมฉันไม่นั่งคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่คุยกับน้อง ไม่คุยกับครอบครัว ตาลว่าคนเราจะไม่รู้สึกว่าสูญเสียสิ่งที่มีค่าหรือสิ่งที่มีอยู่ จนกระทั่งได้เสียมันไปจริงๆ แล้วถึงวันนั้นคุณจะเสียใจ ในเมื่อตอนมีโอกาสคุณไม่ได้คุยกับคนในครอบครัว เลยอยากให้ทุกคนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันค่ะ อย่างน้อยวันละชั่วโมง 2 ชั่วโมง มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ตาลว่ามันเป็นอะไรที่อบอุ่นมากๆ ที่หลายๆ คนที่ไม่มีโอกาสแบบนั้น เขาอยากจะมี ในเมื่อคุณมีโอกาสแล้ว คุณทำตรงนั้นให้ดีดีกว่า [คุณย่ากับช่วงเวลาดีๆ ที่ยังมีกันวันนี้/ ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn] อย่างทุกวันนี้ คุณย่าตาลท่านป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ เราเลยต้องย้ายท่านจากเหนือมารักษาที่กรุงเทพฯ ค่ะ คุณพ่อก็จะมาหาบ่อยขึ้น เพราะคุณย่าอ่อนแอมากแล้ว เป็นโรคหัวใจด้วย พอเส้นเลือดตีบ เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ก็เริ่มสูญเสียความทรงจำระยะเริ่มต้น คือจะจำอะไรสั้นๆ ไม่ได้ เช่น เขากินข้าวแล้ว เขาก็จะจำไม่ได้ว่ากินแล้ว เขาก็จะกินข้าวตลอดเวลา แล้วก็ยังมีความทรงจำเรื่องที่เคยขายขนม เขาก็จะอยากไปตลาด เขาจะไปจำเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ปัจจุบัน ซึ่งมันน่ากลัวมาก (กะพริบตาถี่) เพราะบางทีเขาเปิดแก๊ส เขาอาจจะลืม เราเลยต้องให้เขาอยู่ใกล้ๆ เรา ทุกวันนี้ ตาลก็พยายามมองทุกอย่างเป็นสัจธรรมค่ะ มองมันตามความเป็นจริง อย่างคุณย่าตอนนี้เราก็รักษาตามอาการ และมันก็เป็นอะไรที่เราเข้าใจได้ อย่างน้อย ณ ปัจจุบัน เขายังอยู่ตรงนี้ เรายังทำอะไรให้เขาได้อีกหลายๆ อย่าง ไม่เหมือนคุณตากับคุณปู่ที่อยู่ๆ ก็เสียไป โดยที่เรารู้สึกว่าเรายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่อยากให้เขารู้ ที่อยากจะทำเพื่อเขา แต่เราไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว แต่อย่างน้อยช่วงที่เขาอยู่ เราก็ได้ทำให้เขาภูมิใจบ้างเหมือนกันค่ะ อย่างตอนที่ตาลสอบติด มช. เขาก็จะดีใจมาก คุยโม้กับคนอื่นเขาไปหมดเลย ก็อยากให้เขาอยู่กับเรามาถึงตอนนี้นะคะ ถ้าได้มาเห็นเรามาทำงานแบบนี้ ตาลว่าเขาต้องคุยโม้ได้อีกเยอะแน่ๆ เลย” เธอปิดประโยคด้วยรอยยิ้มอุ่นๆ และแววตาแห่งความคิดถึง |
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @p_namtarn
รายละเอียดเพิ่มเติม: แฟนเพจ “สะใภ้จ้าว”
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754