พูดไทย อ่านไทย ร้องเพลงชาติไทย-เพลงสรรเสริญพระบารมีได้ก็ไม่ช่วย! เพราะเป็นลูกครึ่ง หน้าฝรั่งจ๋า จึงถูกเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เรียกค่าเข้าใช้บริการแพงกว่าคนไทยถึง 10 เท่าจนต้องถอยหนี กลับมาโวย ตั้งคำถามผ่านโลกออนไลน์เรื่องการเลือกปฏิบัติจนกลายเป็นประเด็นเดือด! เจ้าหน้าที่ชี้ทำตามกฎหมาย ระบุค่าเข้าไว้ตามอัตรา “สองมาตรฐาน” บอกเลยเรื่องปกติ! นี่หรือยุคแห่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย!?
หน้าฝรั่งรับไม่ได้! ต้องจ่าย 200 เท่าต่างชาติ
“ขอกด NO like! เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้ (3ตุลาคม2558) ไปเที่ยวสระมรกตที่กระบี่ ไปกันหนุ่มภูเก็ต3คน แต่ละครั้งที่ผมไปเที่ยวสระมรกตก็จ่าย 20 บาท (ยี่สิบบาทถ้วน) พอครั้งนี้เมื่อถึงป้อมจ่ายตั๋ว เจ้าหน้าที่ชายบอกเพื่อนผมว่าคนละ20บาท ผมก็ชัก20เหมือนกัน แล้วเขาบอกว่าไม่ได้ คุณต้องจ่าย200บาท ผมบอกว่าทุกครั้งที่ผมมาก็จ่าย20เอง เขามองหน้าแล้วบอก 200 เพื่อนก็บอกว่าผมเป็นคนภูเก็ตด้วยกัน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมจะเอาแต่ตังค์อย่างเดียว พวกเราเลยกลับเลย
พอถึงที่จอดรถคนฝากรถถามว่าทำไมกลับไวจัง (เพิ่งมาไม่ถึง10นาที) พอเล่าปั๊บชาวบ้านหลายคนพูดด่าอย่างแรง (คำหยาบเพียบเลย) ชาวบ้านบอกว่าเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่มาบริหารงานไม่ได้เรื่อง ชาวบ้านเกลียดกันเยอะ คนฝากรถก็ชักค่าฝากรถคืนและบอกว่าขอโทษที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ขอถามว่าการทำแบบนี้ เมื่อผมเป็นคนภูเก็ตพูดอ่านไทยได้ ร้องเพลงชาติและสรรเสริญพระบารมีด้วย นี่มันต่างอะไรกับการเหยียดสีผิวสมัยโบราณครับ
ถ้าใครรู้จักผู้ใหญ่ใจดีที่ดูแลการบริหารแถวนั้น ฝากแชร์ให้เค้าด้วยครับ สิ่งแบบนี้ที่จังหวัดผมซึ่งพัฒนาแล้วระดับต้นๆ ของประเทศก็ไม่เกิดครับ แล้วในที่ที่อยากพัฒนาตาม สิ่งแบบนี้จะช่วยไหมล่ะครับ ถ้าคุณเกิด โต และใช้ชีวิตแถวนี้ ทุกคนถือว่าคุณคือคนใต้ แม้จะติดเชื้อชาติอะไรมาบ้างครับ สุขสันต์วันเสาร์แด่เพื่อนผู้อ่านทุกคนนะครับ”
นี่คือโพสต์ของ กฤตพร ชาตรีสกุล หนุ่มภูเก็ตนักท่องเที่ยวหน้าฝรั่ง ที่ระบายอารมณ์เอาไว้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Grittapohn Chattreesagoon” จนกลายเป็นประเด็นเดือด กระทบต่อภาพลักษณ์ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม จ.กระบี่และตรัง ซึ่งดูแลสถานที่ท่องเที่ยว “สระมรกต” อยู่ ให้ต้องออกมาอธิบายความจริงอีกด้านผ่านสื่อ บอกเลยว่าตามประกาศกรมป่าไม้ เรื่อง “กำหนดอัตราค่าบริการหรือค่าตอบแทนในการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้บริการ หรือให้ความสะดวกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ปี 2545” ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ให้เก็บค่าบริการหรือค่าตอบแทนรายบุคคลซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ในอัตรา 10 เท่าของชาวไทย ไม่ได้มีการเรียกเก็บผิดปกติแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่เรียกเก็บค่าเข้าในอัตราราคา 200 บาท เนื่องจากเห็นว่าผู้ร้องเรียนหน้าตาเหมือนฝรั่งนั้น เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมจ่ายและอ้างว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทยได้ เจ้าหน้าที่ได้ขอบัตรประชาชนเพื่อตรวจสอบ แต่กฤตพรกลับไม่ได้แสดงให้ดู มีเพียงใบขับขี่เท่านั้น จึงส่งให้ผู้ร้องเรียนไม่พอใจและเดินทางกลับไปพร้อมเพื่อนอีก 2 คนในที่สุด
****** 5 ตุลาคม 2558 *********ในเวลาเพียงสองวันมีกระแสมากมายเกิดขึ้นต่อโพสต์ของผมและมีคนกดไลค์เกือบ 40,000 คน และมีคนขอ...
Posted by Grittapohn Chattreesagoon on Saturday, October 3, 2015
(โพสต์ต้นเรื่อง และล่าสุดมีการแก้ไขเพิ่มรายละเอียดอัพเดตแล้ว)
ล่าสุด ผู้ร้องเรียนได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง แสดงความคิดเห็นไว้ชัดเจนว่าเพียงอยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี เพราะตอนแรกที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก แค่อยากให้เพื่อนๆ ช่วยแชร์ให้ผู้ใหญ่ในท้องถิ่นกระบี่รับทราบเพื่อพิจารณาปรับปรุงนโยบายให้เท่าเทียมกันเท่านั้น
“ในทุกๆ เรื่องก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยครับ ยังไงผมก็หวังว่ากระแสที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดจะเป็นพยานเล็กน้อยถึงความต้องการของมวลชนที่อยากให้มีการปรับปรุงนโยบายเพื่อเกิดความเท่าเทียมกันในการใช้ชีวิตของคนที่อาศัยบนพื้นแผ่นดินนี้ ผมหวังอย่างยิ่งว่า จ.กระบี่ จะเป็นสถานที่ที่น่าเที่ยวมากยิ่งขึ้นกว่านี้ในโอกาสต่อๆ ไป และผมหวังอย่างยิ่งว่าสระมรกตจะได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นและน่าเที่ยวกว่านี้ตามที่ชาวบ้านได้แสดงความต้องการ ผมหวังว่าเรื่องนี้จะจบที่นี้ด้วยดี”
ควรหรือไม่? ค่าเข้า “สองมาตรฐาน”
“อัตราค่าเข้าใช้บริการระหว่างชาวไทยกับชาวต่างชาติ ซึ่งแตกต่างกัน 10 เท่า ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ” เจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว แสดงทัศนะเกี่ยวกับประเด็นที่เชื่อมโยงเอาไว้กับทางทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live
"จริงๆ แล้ว เรื่องการแบ่งอัตราค่าเข้าใช้บริการ ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยนะครับ ยังมีประเทศอื่นที่แบ่งแบบนี้เหมือนกัน ยกเว้นประเทศที่เจริญแล้วเท่านั้นครับ ที่เขาใช้อัตราการเก็บคนในประเทศกับคนต่างชาติ ในอัตราที่เท่าเทียมกัน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านเรา บางประเทศเขาก็ไม่เก็บค่าเข้าคนในประเทศเขาเลยก็มีครับ มันแล้วแต่ประเทศ
เรื่องอัตราค่าเข้าใช้บริการ ผมมองว่าประเทศเรายังไม่ถึงขั้นจะสามารถเรียกเก็บคนไทยเท่ากับอัตราชาวต่างชาติได้ครับ เราต้องดูด้วยว่าฝรั่งที่มาเที่ยวเมืองไทย เงินเดือนเขาได้เท่าไหร่ คนไทยได้เท่าไหร่ ต้องดูที่ค่าครองชีพ เทียบค่าเงินกันได้ ในเมื่อคนไทยได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท แต่ฝรั่งได้เงินเดือนกัน 5-6 หมื่นกว่าบาท มันก็ไม่สมควรจะเก็บเท่ากันหรอกครับ ต้องดูในหลายๆ มิติ อย่าไปมองประเด็นเรื่องความเท่าเทียมกันอย่างเดียว
ส่วนเรื่องการตรวจสอบในกรณีนี้ ผมว่าเราต้องไปดูกันที่เนื้อในจริงๆ ว่าเป็นยังไง เจ้าหน้าที่เขาขอดูหลักฐานหรือเปล่า และได้แสดงให้เขาดูไหม ถ้าไม่ได้แสดงบัตรประชาชน บอกเอาใบขับขี้ออกมาให้ดู ก็ต้องดูด้วยว่าใบขับขี่แบบไหน ถ้าเป็นใบขับขี่สากลก็คงไม่ได้ ถึงแม้จะร้องเพลงไทยได้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรมาแสดงให้ดูว่าถือสัญชาติไทยจริงๆ มันก็ไม่มีความหมาย
กรณีนี้ มันไม่เกี่ยวว่าเขาจะหน้าเป็นฝรั่งหรือหน้าเป็นคนไทย ประเด็นคือถ้ายืนยันว่าเป็นประชาชนคนไทย คุณก็ต้องมีบัตรประชาชนแสดงความเป็นคนไทย ส่วนเรื่องเจ้าหน้าที่เรียกเก็บแพงกว่าคนไทย 10 เท่า ผมไม่ได้มองมันเป็นเรื่องราว เพราะเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเก็บตามที่กฎหมายมันกำหนดเอาไว้อย่างนั้น ถ้าเขียนไว้ว่าคนไทย 20 บาท ต่างชาติ 200 บาท ก็ต้องปฏิบัติตามนั้นก็ถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องที่ผู้ร้องเรียนจะอ้างว่าเป็นคนไทย ร้องเพลงชาติไทยได้ อันนั้นมันคนละประเด็น ประเด็นก็คือต้องแสดงบัตรออกมาให้ดูครับ จะแค่มาร้องเพลงไทยให้ฟังมันไม่ได้
ในรายละเอียดเรื่องอื่นๆ เราก็แยกแยะเป็นเหตุเป็นผลออกมาได้ ต้องดูต่อไปด้วยว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบคนนั้น เขาได้เข้าไปเก็บอามิสสินจ้าง เก็บเงินเข้ากระเป๋าเองหรือเปล่า ถ้าเขาตรวจตามปกติและเก็บตามอัตราตามกฎหมาย มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ และถ้าถูกตรวจสอบ คุณเป็นคนไทย ถึงจะหน้าฝรั่ง แค่ให้บัตรเขาดูเพื่อยืนยันความเป็นคนไทยก็จบแล้ว”
(ระบุชัด กฎหมายระบุเอาไว้ให้เก็บต่างชาติเป็น 10 เท่าของคนไทย)
แตกต่างจากความคิดเห็นของ ศุภฤกษ์ สุรางค์กูร นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) ที่มองว่าควรจะพิจารณายกเลิกระบบสองมาตรฐานเช่นนี้เสียที! เพราะมันกระทบต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศ
“ปัจจุบัน ในหลายๆ ประเทศ เขาเก็บค่าเข้าใช้บริการต่างๆ ในอัตราที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติตัวเองหรือต่างชาติ สมัยก่อนเราก็เคยเก็บเท่ากัน จนกระทั่งมาถึงยุคของ คุณปลอดประสพ สุรัสวดี มาเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ จึงได้กำหนดให้เก็บแยกกัน ซึ่งหลายคนก็มองว่าเป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะฝรั่งจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าจะต้องปฏิบัติให้ต่างกัน คนไทยอีกราคาหนึ่ง ต่างชาติอีกราคาหนึ่ง ก็ทำให้เขาไม่พอใจพอสมควร
ที่ผ่านมา ทางการเขาก็จะอ้างว่าเป็นเพราะคนไทยเสียภาษีให้แก่ภาครัฐอยู่แล้ว ซึ่งเหตุผลมันอาจจะแปลกๆ โดยส่วนตัวแล้วเลยมองว่าควรจะเก็บให้เท่ากัน จากตอนนี้อัตราทั่วๆ ไป อาจจะอยู่ที่ คนไทย 20-40 บาท ต่างชาติ 200-400 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละอุทยานฯ เพราะทางการมองว่าต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทย แทบจะไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
แต่ตามหลักแล้ว ผมว่าควรเก็บให้เท่ากัน เพราะถ้าจะอ้างว่าคนต่างชาติมีค่าเงินที่มากกว่าเรา ก็เลยต้องเก็บ 200 หรือ 400 แต่พอเทียบกับคนลาว เขามีค่าเงินน้อยกว่าเรา เราก็เก็บเขา 400 อยู่ดี คำอธิบายนี้มันก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ หรือถ้าจะอ้างเหตุผลที่ว่าเป็นเพราะคนไทยเสียภาษีอยู่แล้ว แต่คนต่างชาติมาเที่ยวในไทยไม่ต้องเสียภาษี มันก็คงไม่ใช่ เพราะการมาอยู่ในประเทศไทย ใช้ที่พัก ใช้บริการต่างๆ ก็รวมเงินภาษีในตัวสินค้าไปแล้วเหมือนกัน จะว่าเขาไม่เสียภาษีเลยก็ไม่ได้
เทียบกับประเทศที่เก็บในอัตราที่เท่ากันทั้งคนในประเทศและคนต่างชาติ ถึงเขาจะเก็บแพงหน่อย แต่การบริการของเขาก็สมน้ำสมเนื้อ ส่วนใหญ่แล้ว คิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ 700-1,000 บาทต่อคน แต่อย่างของเราไปเก็บในอัตราที่สูงกว่าคนในประเทศ 10 เท่า แต่ไม่มีบริการอะไรให้เขา มันก็ทำให้คนที่เสียค่าเข้าชมรู้สึกเสียดายเงิน เราอาจจะยังมีความอ่อนด้อยในเรื่องการบริหารจัดการอุทยานฯ อยู่
โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ หลายๆ ที่เขาก็เน้นเรื่องความเสมอภาคกันแล้ว อย่างในเมืองจีน หลายๆ แห่งก็ไม่มีการเลือกปฏิบัติแล้ว ผมมองว่าเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เราก็ควรจะเก็บคนไทยกับต่างชาติในอัตราที่เท่ากัน และถ้าอยากจะเก็บกับต่างชาติเพิ่ม อาจจะไปใช้วิธีการอื่นที่ทำให้มีรายรับในอุทยานมากขึ้น เช่น ร้านขายของที่ระลึก, ร้านอาหาร, กิจกรรมการนำชมสถานที่ ฯลฯ
ดังนั้น อุทยานฯ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน เป็นสถานที่ให้การศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ และยังมีภารกิจเรื่องการอนุรักษ์ผืนป่าไว้ให้เป็นมรดกของประเทศ เมื่อมีภารกิจในการให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ทางอุทยานฯ ก็ต้องมีการบริการจัดการที่ดี ที่จะช่วยเชิญชวนคนไปเที่ยวได้มากขึ้น ตัวอุทยานฯ ก็จะมีรายได้มากขึ้น ประเทศเราก็จะน่าท่องเที่ยวมากขึ้นในที่สุด”
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754




