"คู่เกย์เล่นกามวิตถารจนคู่ขาตายระหว่างมีเซ็กซ์" กลายเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญสนั่นโซเชียลฯ จุดประเด็นให้สังคมได้เรียนรู้ถึงการมีเซ็กซ์แบบสุดโต่ง แม้จะเป็นรสนิยมทางเพศอย่างหนึ่ง แต่หากเสพติดแบบไร้สติก็เท่ากับเชื้อเชิญความตายให้มารออยู่บนสังเวียนรักได้ตลอดเวลา
อุทาหรณ์ "ออโตอีโรติก"
เป็นรสนิยมทางเพศที่บางคนไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดปกติ หรือต้องไปเล่าให้ใครฟังอยู่แล้ว สำหรับอาการ "ออโตอีโรติก (Autoerotic asphyxia)" ซึ่งเป็นลักษณะทางจิตชนิดหนึ่งของกลุ่มอาการกามวิตถาร หรือที่เรียกว่า พาราฟีเลีย (Paraphilia) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชาย และหญิง รวมไปถึงเพศที่สาม
สำหรับ กลุ่มอาการออโตอีโรติก นั้น นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เคยให้ความรู้ผ่านสื่อฉบับหนึ่งเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นโฆษกกระทรวงสาธารณสุขว่า เป็นการทรมานร่างกายของตนเอง หรือคู่นอนให้ขาดอากาศหายใจขณะที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อบรรลุความสุขทางเพศ เช่น นำถุงพลาสติกมัดคอให้หายใจไม่ออก การรัดคอด้วยเชือก ซึ่งนิยมทำด้วยตนเองหรือให้คู่นอนทำให้
เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญครั้งล่าสุด เมื่อคู่เกย์เล่นกามวิตถารจนคู่ขาตายระหว่างมีเซ็กซ์ จากการตรวจสอบพบสภาพศพของผู้ตายถูกห่อด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำตาล สวมชุดบอดี้สูทเต็มตัว ชนิดที่สวมถึงศีรษะ ส่วนที่ลำคอถูกรัดด้วยสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ และเชือกไนล่อน รวม 3 เส้น มือไพล่หลัง ศีรษะถูกคลุมด้วยถุงพลาสติกใส
ด้านผู้ต้องหา ยอมเปิดปากถึงเหตุการณ์ทั้งหมดว่า เจอกับผู้ตายผ่านฮอร์เน็ตครั้งแรก โดยนัดเจอกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่า ผู้ตายเตรียมชุดเซ็กซี่ และอุปกรณ์เพิ่มอารมณ์ทางเพศแบบพิสดาร แต่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ผู้ตายเกิดแน่นิ่ง และพบว่าเสียชีวิตในสภาพที่ยังสวมชุดเซ็กซี่ จึงตัดสินใจเอาผ้าปูเตียงห่อร่างผู้ตาย ใส่รถยนต์ของผู้ตายขับรถออกจากรีสอร์ต แล้วนำไปทิ้งไว้ที่บ่อดินร้าง ห่างริมถนนเลี่ยงเมืองขอนแก่น 100 เมตร
แม้กลุ่มอาการกามวิตถาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนน้อย และบางกลุ่มก็ไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นความผิดปกติทางจิต เป็นเพียงรสนิยมทางเพศ แต่ก็พบได้บ่อยว่า มีการผิดพลาดเกิดขึ้นจนทำให้เสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มอาการออโตอีโรติกฯ ที่อาจทำให้ตนเองหรือคู่นอนได้รับผลกระทบจากการรัดคอ เช่น หลอดลมอักเสบ กระดูกคอเคลื่อน หัก หรืออาจส่งผลร้ายถึงขั้นเสียชีวิตตามมา ซึ่งส่วนใหญ่จะพบมากในต่างประเทศ
ใครจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไป?
แม้มนุษย์จะมีสิทธิที่จะกระทำการเพื่อตอบสนองต่ออารมณ์ทางเพศซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติทั้งต่อตนเอง รวมไปถึงคู่นอน โดยมีการตกลงยินยอมให้เกิดความสุขทางเพศหรือถึงจุดสุดยอดด้วยวิธีต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีพฤติกรรมการร่วมเพศแบบแผลงๆ ความสุข ความฟินอาจกลายเป็นความหายนะทันที
เห็นได้จากกรณีของ ดารานักแสดงหนังกังฟูชื่อดังของฮอลลีวูด เดวิด คาร์ราดิน (Mr.Davic Carradine) เสียชีวิตในสภาพศพเปลือยกายนั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้า ที่ลำคอมีเชือกสีเหลืองผูกรัดติดกับราวเหล็กภายในตู้ โดยมีเชือกสีดำผูกต่อกับเชือกเส้นสีเหลืองไปรัดที่บริเวณปลายองคชาต กับถุงอัณฑะของผู้ตายอีกชั้นหนึ่ง ส่วนมือทั้งสองข้างพาดอยู่บนราว
เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักแสดงชื่อดังเมื่อปี 2552 พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว) เปิดเผยตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ในครั้งนั้นว่า จากพยานแวดล้อมของศพน่าจะเป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในลักษณะออโตอีโรติก ซึ่งเกิดจากการจินตนาการอารมณ์ทางเพศ เพื่อสำเร็จความใคร่ทางเพศ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบมากในชาวต่างชาติ โดยคนกลุ่มนี้จะจินตนาการทางเพศจนกระทั่งไม่รู้สึกตัวว่าเชือกรัดคอ และเสียชีวิต
สำหรับข้อมูลที่สนับสนุนการเสียชีวิตในลักษณะออโตอีโรติกนั้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ บอกว่า มีอยู่ 4 ข้อหลักๆ ดังนี้
1. เป็นเพศชาย 2. มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ 3. สภาพศพเปลือยกาย และ 4. มีเครื่องพันธนาการที่อวัยวะเพศ โดยทั่วไปหากสภาพศพเข้าข่ายลักษณะข้างต้นการเสียชีวิตก็ไม่น่ามีผู้อื่นเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานดังกล่าว เป็นเพียงการประมวลตามหลักวิชาการทางนิติวิทยาศาสตร์ อาจไม่ถูกต้องทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับพยานแวดล้อมหรือหลักฐานในที่เกิดเหตุอื่นๆ ด้วย
ส่วนอีกหนึ่งข่าวใหญ่ในปี 2554 กับความตายบนสังเวียนรัก เมื่อหนุ่มใหญ่ชาวอิตาเลียนเล่นเซ็กซ์วิตถารมัดแฟนสาว และเพื่อนของแฟนสาวเพื่อประกอบกิจกรรมทางเพศตามแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ชิบาริ” ซึ่งมีการใช้เชือกมัด และแขวนคนให้ลอยอยู่เหนือพื้นประมาณ 2 เมตร แต่ด้วยเชือกที่มัดแน่นจึงทำให้แฟนสาวเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ส่วนหญิงสาวอีกรายเป็นลมหมดสติ โดยแพทย์สามารถช่วยชีวิตไว้ได้
ในครั้งนั้น ฝ่ายชายพยายามตัดเชือกออก และยื้อชีวิตหญิงสาวทั้งสองคนไว้ ก่อนขอความช่วยเหลือ และให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า "ไม่มีใครบังคับใคร เปาลา (แฟนสาว) และเพื่อนของเธอเต็มใจทำ มันเป็นอุบัติเหตุที่น่าสยดสยอง" แม้การมีเซ็กซ์แบบสุดโต่งเช่นนี้ ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุม และเขาก็รู้เรื่องนี้ดีที่สุด เพราะคลุกคลีอยู่กับวงการกามวิตถารมานาน แต่สุดท้ายก็เกิดความผิดพลาดจนนำความสูญเสียมาให้อย่างที่เป็นข่าว
สำหรับกลุ่มอาการกามวิตถาร มีอยู่หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น การร่วมเพศกับเด็ก (Pedophilia) การร่วมเพศกับศพ (Necrophilia) การชอบถูไถผู้อื่นหรือสิ่งของ หรือขโมยกางเกงในเพื่อมาสำเร็จความใคร่ (Frotteurism) การร่วมเพศกับสัตว์ (Zoophilia) การทำร้ายคนอื่นก่อนมีเพศสัมพันธ์ (Sexual Sadism) และการร่วมเพศกับคู่นอนด้วยวิธีการใช้ปาก (Partialism) เป็นต้น
"กามวิตถาร" ต้องแก้ที่ต้นตอ
แม้ "กลุ่มกามวิตถาร" เป็นกลุ่มที่พบได้น้อย และบางกลุ่มก็ไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นความผิดปกติทางจิต เป็นเพียงรสนิยมทางเพศ แต่เมื่อมีการตายปรากฎตามสื่อต่างๆ คงจะไม่ใช่เรื่องที่มองข้ามได้อีกต่อไป
ปัจจุบัน การรักษาโรคจิตชนิดนี้ จากการสอบถามแพทย์หลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำได้ยาก เพราะผู้ป่วยมักจะไม่พบแพทย์ เนื่องจากเห็นว่าทำแล้วมีความสุข จึงไม่อยากรักษาหรือแก้ไข แต่ถ้าคิดจะแก้ปัญหานี้จริงๆ "นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์" สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนต่อมไร้ท่อและการเจริญพันธุ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ มองว่า ต้องแก้จากต้นตอของปัญหา
"เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก และความอบอุ่น โตขึ้นจะไม่มีปัญหาแบบนี้แน่นอน เพราะเขาจะมีสภาพจิตใจที่มั่นคง ไม่แกว่งไปกับความคึกคะนอง หรือชอบท้าทายในเรื่องแผลงๆ ตรงข้ามกับอีกกลุ่มที่ไม่ค่อยมีความมั่นคงทางจิตใจ ซึ่งเป็นได้ทั้งชาย หญิง และเพศที่สาม ขาดการปลูกฝังเรื่องเพศที่ถูกต้อง เวลาเจอทำอะไรก็จะไม่มีสติ ไม่ค่อยนึกถึงพ่อแม่ หรือคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ" นพ.พันธ์ศักดิ์เผย
สุดท้ายนี้ คุณหมอคนเดียวกัน เตือนด้วยความเป็นห่วงว่า หากจะเปิดสวิตช์สะกิดอารมณ์รักให้ลุกโชนด้วยวิธีการแผลงๆ อย่างที่เป็นข่าว พึงระวังความตายเอาไว้ให้ดีๆ
"ไม่ว่าจะกิจกรรมหมู่ กิจกรรมคู่ หรือกิจกรรมเดี่ยว อะไรก็ตามที่มันจะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน หรือร่างกายขาดการไหลเวียนของเลือด จำไว้เลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด โดยเฉพาะวิธีการเอาถุงพาสติกไปครอบหัวแล้วเอาเชือกมัดคอ เพราะเป็นวิธีที่ตายง่ายที่สุด อย่างในกรณีถ้าทำเองแล้วคิดว่าถึงตอนนั้นจะปล่อยเพื่อให้ตัวเองมีความรู้สึกตื่นเต้น หรือถึงจุดสุดยอด ขอเตือนไว้เลยว่า ถึงตอนนั้นร่างกายมันเริ่มขาดออกซิเจนแล้ว แทนที่จะเสียว มีแต่ความตายรออยู่สถานเดียว
หรือถ้าให้คนอื่นเป็นคนทำก็เสี่ยงตายไม่แพ้กัน จะมาบอกว่า ถ้าฉันถึงจุดเสียวแล้วจะส่งสัญญาณนะ เอาเข้าจริง มันไม่มีแรงจะบอกหรอก พอไม่มีแรงมันก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุดไม่ได้ สุดท้ายก็เกิดการตายระหว่างมีเซ็กซ์อย่างที่เป็นข่าว ดังนั้น ถ้าไม่อยากเป็นรายต่อไป วิธีการแผลงๆ ที่พูดมานี้ ห้ามทำเด็ดขาด" ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วง
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754