xs
xsm
sm
md
lg

อย่า “สัก” แต่สวย ดูด้วยว่าลบหลู่ศาสนา!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


น่องขาวๆ ของชายนิรนามกับ “รอยสักพระพุทธเจ้า” กลายเป็นประเด็นเดือดให้ชาวพุทธลุกขึ้นมาถกเถียงถึงความเหมาะสม! ถึงขั้นที่นายกสมาคมทางสายกลาง แกนนำสมาพันธ์ชาวพุทธอาเซียน ต้องออกโรงโพสต์ภาพขึ้นเฟซบุ๊กเพื่อประกาศหาตัวเจ้าของรอยสักและช่างสักให้วุ่นไปทั้งบาง บอกเลยถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา ต้องลบรอยสักพร้อมกับรับคำตักเตือน
อีกฝั่งลุกขึ้นมาต้านเสียงแข็ง บอกทำเกินไป รอยสักบนร่างกายถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล! เพื่อยุติดรามา คลายข้อสงสัย ผู้รู้จึงช่วยชี้ให้ชัดลงไปอีกทีว่า รอยสักพระพุทธเจ้าเป็นการลบหลู่ศาสนา อยากให้รู้ไว้ว่าชาวพุทธทุกคนต้องช่วยกันเตือน!!




สร้างศิลปะบนตัว หรือสร้างรอยร้าวในใจชาวพุทธ?
ประกาศตามหาคนในรูปและคนที่เป็นช่างสัก... ให้เขาลบรอยสักนี้เสีย, ให้เขาขอโทษคนไทยที่ทำการหมิ่นสิ่งที่ไม่สมควรทำเช่นนี้, ตามหาช่างที่ทำการสักเพื่อทำการตักเตือน และแจ้งให้เขาทราบว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับล่าสุด รวมถึงฉบับที่ไม่ผ่านการพิจารณาไปนี้ ล้วนระบุไว้ในมาตราหนึ่งว่า รัฐต้องให้การอุปภัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา”

กรณ์ มีดี นายกสมาคมทางสายกลาง แกนนำสมาพันธ์ชาวพุทธอาเซียน ประกาศกร้าวเอาไว้ผ่านแฟนเพจ “สมาคมทางสายกลาง” พร้อมโพสต์ภาพน่องขาวๆ ของชายนิรนามกับ “รอยสักพระพุทธเจ้า” โดยระบุเอาไว้ว่าเป็นภาพที่แอบถ่ายมาจากพัทยานี่เอง

“วันนี้สมาคมทางสายกลาง ขออนุญาตเข้าโหมดปกป้องพระพุทธศาสนา จึงจำเป็นต้องเข้มข้น แต่รับประกันไม่หลุดไปจากแนวทางแห่งพุทธะแน่นอน วันนี้เราต้องผนึกกำลังกัน เพื่อต้านภัยของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับพุทธบริษัท 4... ผนึกกำลังชาวพุทธ หยุดภัยคุกคาม

ผมเชื่อว่าเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน ถ้าไม่ระบุว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ต้องระบุคำนี้ไว้ และจากกฏหมายรัฐธรรมนุญนี้เองที่จะไปดำเนินการเอาผิด ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ หากทราบแล้วไม่ดำเนินการ ก็ต้องถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ประกาศตามหาคนในรูป และคนที่เป็นช่างสักให้ ได้รับทราบว่า ภาพนี้แอบถ่ายมาจากพัทยา เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง เจตนาในการต...

Posted by สมาคมทางสายกลาง on Wednesday, September 23, 2015


เมื่อโพสต์ดังกล่าวเข้าสู่ระบบออนไลน์ ผ่านการไลค์ การแชร์ นับครั้งไม่ถ้วน จึงก่อกลายเป็นประเด็นดรามาขึ้นอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าย่อมมีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยต่อการแสดงจุดยืนอันชัดแจ้งเช่นนี้ โดยเฉพาะแฟนเพจ “FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย” ซึ่งขึ้นชื่อว่ามักจะต่อต้านทุกสิ่งที่เกี่ยวกับความเชื่องมงาย อันไร้เหตุผลอันสมควรมารองรับ จึงออกมาตั้งคำถามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ว่า...

“มีดรามาอยู่ 2 ฝั่ง ฝั่งแรกตามล่าหาคนในภาพ ทั้งขู่ฆ่า ด่าท่อเสียหายมากมาย ตัดขาทิ้งบ้าง มองว่ารอยสักนั้นไม่เหมาะสม (ศาสนาเขาสอนให้คลั่งเที่ยวไล่ฆ่าเขาแบบนี้เลยเหรอ) ตามที่อ่านในคอมเมนต์ อีกดรามาส่วนหนึ่งก็มองอีกมุมว่า ไปแก้ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของศาสนาก่อนไหม? ก่อนเที่ยวไปไล่ล่าคนอื่น เอาพฤติกรรมที่ผิดๆ ในวัดก่อน แน่นอนว่า ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการไปไล่ล่าตามด่าเขานะ ดูๆ แล้วพวกคลั่งนี่เหมือนมันจะไม่รู้เรื่องราวของศาสนาเลยสักคน...”

ส่วนบรรทัดต่อจากนี้คือความคิดเห็นบางส่วนของผู้ออกมาร่วมต่อต้าน มองว่าการโพสต์ประจานและประกาศล่าหาตัวเจ้าของรอยสักและช่างสักดูรุนแรงเกินไป

“ความเห็นส่วนตัวผม มองว่าการสักมันน่าจะเป็นความชอบส่วนตัวด้านศิลปะของเขานะ ส่วนเรื่องที่ว่าขาเป็นของต่ำ ผมก็คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใหนของร่างกายก็มีความสำคัญเท่ากันหมดแหละ หากมองว่าต่ำกว่าสะดือเป็นของต่ำ ขาและเท้าเป็นของต่ำ แล้วถ้าไม่มีขาและเท้า เราจะเดินไปใหนมาไหนยังไง”

“เรื่องของขามัน ไปยุ่งอะไรด้วยวะ ทำอย่างอื่นดีกว่าไหม!”

“ผมว่าให้อภัยมันเถอะ ปล่อยมัน ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านยังอยู่ พระองค์ก็น่าจะให้อภัย ป.ล.เราชาวพุทธ อย่าคลั่งศาสนาแบบผิดๆ เลย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

เรื่องลบรอยสัก อันนี้สิทธิส่วนบุคคล, เรื่องขอโทษ ขอโทษทำไม คนไทยไม่ได้เป็นเจ้าของพุทธศาสนานะ, เรื่องตามหาช่างสัก อันนี้เห็นด้วยเพราะรูปไม่สวย, เรื่องแจ้งรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้รับการยอมรับและรับรอง...เพื่อ??”

“ทีพวกที่สักไม้กางเขนและพระเยซู พวกฝรั่งไม่เห็นเดือดร้อนเลย”

เมื่อผลสะท้อนออกมาเช่นนี้ นายกสมาคมทางสายกลางและเจ้าของเพจผู้เผยแพร่ประเด็นเดือดสู่โลกออนไลน์จึงออกมาอธิบายเจตนาที่แท้จริงอีกครั้ง เพื่อให้ชาวพุทธเข้าใจความหวังดีของตนในการปกป้องศาสนาในฐานะพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง

การตามหาเขา ไม่ใช่จะไปตัดแขนขาหรือฆ่าฟันครับ เราชาวพุทธ ก็จะทำแบบชาวพุทธ ผสมกับกฎหมายบ้านเมืองที่พอจะมีให้ใช้ได้ ขณะนี้ เข้าสู่โหมดปกป้องพระพุทธศาสนาอยู่ครับ แม้ปกติผมเองจะชอบเข้าป่าเข้าดง แต่ยามนี้พระพุทธศาสนามีภัยอย่างหนัก

ผมได้รับปากพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาช่วยงานปกป้องพระพุทธศาสนา แม้ชื่อจะเป็นสมาคมทางสายกลาง แต่หนึ่งในวัตถุประสงค์ของสมาคมคือปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนา จึงดำเนินการได้อย่างไม่ผิดวัตถุประสงค์ของสมาคม และก็ต้องบอกว่า นาทีนี้ด้วยใจรักในพระพุทธศาสนา ก็จำเป็นต้องทำในสิ่งที่สมควร และเป็นสิ่งที่ชาวพุทธสมควรอย่างยิ่ง คนไทยเรา ชาวพุทธเรา มักไปติดหล่มคำสอนที่สอนกันมาผิดๆ นั่นคือ วางเฉย

เห็นโพสต์นี้ตั้งแต่เมื่อคืนและ ไม่ได้แชร์ มีดราม่าอยู่ 2 ฝั่ง ฝั่งแรกตามล่าหาคนในภาพ ทั้งขู่ฆ่า ด่าท่อเสียหายมากมาย ตั...

Posted by FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย on Tuesday, September 29, 2015





รอยสักนี้ก่อมลทิน! ชาวพุทธต้องช่วยตักเตือน!!

(ขอบคุณภาพบางส่วน: มูลนิธิ "Knowing Buddha")
ไม่ใช่แค่ “รอยสักพระพุทธเจ้า” เท่านั้นที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระพุทธศาสนา อันนี้ไม่ได้ดรามา แต่ ปิยะพงศ์ บุญสนอง รองประธานมูลนิธิองค์กรปกป้องพระศาสนา หรือมูลนิธิ “Knowing Buddha” บอกเลยว่าการนำ “องค์พระสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า” ไปไว้ประดับเพื่อความสวยงามไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมด้วยกันทั้งนั้น!

องค์พระสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่เราควรเคารพครับ การเอาไปพระสัญลักษณ์ของท่านไปใช้ในงานบางอย่าง เช่น โคมไฟ, แจกัน, ที่ใส่เทียน ฯลฯ มันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่เคารพ แต่ที่เห็นจำหน่ายพระสัญลักษณ์ของพระองค์ในลักษณะรูปปั้น สร้างขึ้นมาเพื่อบูชากันจริงๆ ทางเราก็ไม่ได้ว่าอะไรกันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเอามาทำเฟอร์นิเจอร์เมื่อไหร่ ก็จะถือเป็นการไม่เคารพทันที

(ขอบคุณภาพบางส่วน: มูลนิธิ "Knowing Buddha")
ส่วนเรื่องการเอาองค์พระสัญลักษณ์มาไว้บนตัว มาทำเป็น “รอยสัก” เราถือว่าบนตัวมนุษย์เราคือสังขาร ถือเป็นสิ่งที่สกปรก ถ้าเรานำรูปพระพุทธเจ้าซึ่งท่านสะอาดมาไว้กับตัว มันก็จะทำให้เป็นมลทินกับตัวผู้สักเอง การที่ผู้สักเลือกที่จะสักสัญลักษณ์ของพระองค์ท่านไว้ที่น่อง มันก็ถือเป็นการกระทำโดยไม่เคารพอยู่แล้ว

ตรงนี้อาจจะต้องวัดกันที่เจตนาครับ ถ้าคนที่สักเขาเป็นฝรั่ง เขาไม่รู้ นึกว่าเป็นภาพสวยๆ งามๆ เป็นศิลปะ เราก็อาจจะบอกเขาว่าอย่าทำเลย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรของเราพยายามอธิบายด้วยเหตุผลมาโดยตลอด เพื่อให้คนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างชาติได้เข้าใจในความหมายว่าทำไมถึงไม่ควรทำแบบนี้ เหตุผลก็คือเราเคารพในตัวพระสัญลักษณ์ และตัวมนุษย์เราไม่สะอาดพอที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปไว้กับตัว เช่น เรายังมีกิเลสอยู่ อาจจะยังฆ่าสัตว์ ยังมีกาม มีคู่นอน ยังกระทำหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ไม่สมควรอยู่ ส่งให้ภาพเหล่านั้นมีมลทินในตัวเรา

ซีเรียสไปหรือเปล่า? ทีคนไทยเอาสัญลักษณ์ไม้กางเขนของศาสนาคริสต์มาทำเป็นเครื่องประดับ มาทำเป็นรอยสักต่างๆ นานาเหมือนกัน คนจากฝั่งนั้นไม่เห็นออกมาเรียกร้องอะไรแบบนี้บ้างเลย? พระพุทธเจ้าสอนให้อย่ายึดมั่นถือมั่น ให้รู้จักปล่อยวาง ในฐานะพุทธศาสนิกชน เหตุใดจึงไม่หยิบเอาคำสอนเหล่านั้นมาใช้ในกรณีนี้บ้าง? หลายคนตั้งข้อสงสัยเอาไว้อย่างนั้น รองประธานมูลนิธิองค์กรปกป้องพระศาสนาจึงช่วยให้คำตอบด้วยเหตุผลเอาไว้ว่า...

เป็นเพราะทางฝั่งตะวันตกเขาไม่ได้ออกมาต่อต้านอะไรครับ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมของเขาไม่ถือ แม้แต่เท้าเขายังเอามาลูบหัวกันได้แบบไม่ถือเลย เราต้องเข้าใจว่ามันเป็นคนละวัฒนธรรมกัน ไม่สามารถเอามาตั้งบรรทัดฐานร่วมกันได้ กฎหมายแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน กฎหมายอังกฤษ, กฎหมายอเมริกา, กฎหมายศรีลังกา, กฎหมายไทย ฯลฯ ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น จะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ไปเทียบกับที่นู่นมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็เพียงแค่การบอกกล่าวเขาว่าไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้ในเมืองไทยนะ

ส่วนเรื่องที่พูดถึงความหมายของ “การยึดมั่นถือมั่น” จริงๆ แล้วความหมายที่แท้จริงของคำคำนี้ คือการวางอัตตา วางตัวตนของเราลงครับ แต่ถ้าเอาคำนี้มาใช้กรณีนี้ มันจะคนละความหมายกันครับ พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น หมายถึงอย่ายึดมั่นคือมั่นในตัวตนของเรา แต่สิ่งที่เรายังคงต้องเคารพอยู่ มันไม่ถือเป็นการยึดมั่นถือมั่นในความหมายนี้ครับ คนที่เอาคำเหล่านี้มาอ้างเพราะต้องการเอาไปใช้เสริมสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำ

กรณีเรื่องรอยสักนี้ จริงอยู่ว่ามันมีหลายๆ คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น มองว่าเรื่องของใครก็เรื่องของเขา นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เพราะอย่างนี้เองจึงไม่มีคนออกมาหยัดยืนบอกกล่าวที่สิ่งที่เหมาะสมให้แก่สังคม เราจึงอยากจะออกมาบอกกล่าวว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร


(ขอบคุณภาพบางส่วน: มูลนิธิ "Knowing Buddha")
ถามว่าเราจะเอาผิดคนที่ทำได้อย่างไรบ้างไหม ตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศครับ เช่น ประเทศศรีลังกา ถ้าคุณสักพระสัญลักษณ์แบบนี้เดินเข้าประเทศเขา เขาสั่งห้ามไม่ให้เข้าเลยนะครับ เจ้าหน้าที่ที่ ต.ม. (ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง) จะไม่อนุญาตให้เข้าทันที เขาไล่กลับเลย เคยเป็นข่าวมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่บ้านเมืองเรายังคงอยู่ในกรอบของเสรีภาพกันมากอยู่ครับ

ถ้าพูดถึงตัวบทกฎหมายที่จะเอาผิดได้ในเรื่องการเอาองค์พระสัญลักษณ์มาทำในสิ่งไม่เหมาะสมอย่างนี้ ยังไม่มีความผิดที่ระบุกันได้โดยตรง แต่มีประมวลกฎหมายอาญาในมาตรา 206 ที่ระบุเอาไว้ว่า ถ้านำสัญลักษณ์ที่ควรเคารพมาย่ำยี มาดูหมิ่น อันได้แก่ สัญลักษณ์ของ “ชาติ” “ศาสนา” และ “พระมหากษัตริย์” จะมีความผิดทั้งจำทั้งปรับตามกฎหมาย

เกี่ยวกับเรื่องการโพสต์ตามล่าหาตัวเจ้าของรอยสักและช่างสักนั้น มองว่าอาจจะดูเป็นการตอบโต้ที่รุนแรงเกินไปหน่อย ถ้าอยากสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ทางที่ดีที่สุดคือการโพสต์เตือนหรือหาช่องทางในการอธิบาย

ถ้าเจอคนเหล่านี้อีก ช่วยบอกเขาหน่อยว่าอย่าทำแบบนี้อีกเลย รอยสักแบบนั้นลบได้ก็ลบ ส่วนสาเหตุเราก็ต้องอธิบายกับเขาไปว่ามันไม่สมควรที่จะเอาภาพเหล่านี้ ซึ่งชาวพุทธนับถือ มาเอาไว้ที่ต่ำ ส่วนตัวช่างสักเอง เราก็อาจจะต้องมองเรื่องจิตสำนึกครับ ช่วยสร้างจิตสำนึกให้กับเขา

เราต้องเห็นใจคนที่ทำเขาด้วยเพราะเขาไม่รู้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ทำหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าเขาไม่รู้ เราก็อภัยได้ เพราะเราอภัยกันอยู่แล้ว แต่เมื่อทำไปแล้ว เขาแก้ไขได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็จะทำให้จิตใจของคนที่เป็นชาวพุทธเศร้าหมองยิ่งขึ้น และเราจะไปเพิ่มความเศร้าหมองให้กับคนส่วนใหญ่ทำไมกัน แต่เราก็ไม่ได้ถึงขั้นคิดว่าจะต้องมาตามล่าหาตัวให้มารับผิดนะครับ เราไม่ได้ต้องการให้เกิดความรุนแรงอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ถ้าเห็นเขาทำแบบนี้ เราก็แค่ป้องปราม ให้คำสอนแก่เขา

ทุกวันนี้ทางสำนักพุทธฯ เขาคงมีงานเยอะอยู่แล้วที่จะให้มาจัดการเรื่องแบบนี้ ทางเราซึ่งอยู่ใน “องค์กรเครือข่ายชาวพุทธแห่งประเทศไทย (อพท56)” ซึ่งมีอยู่ 80 กว่าองค์กรที่เข้ามาร่วมกันและกระจายหน้าที่กันทำ ทางสำนักพุทธฯ เขาจะดูแลหลักๆ เรื่องวินัยสงฆ์ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดพระพุทธศาสนาทางด้านนี้ ก็มีองค์กรที่ช่วยกันดูแลตรงนี้อยู่ครับ
ล่าสุดทางเราก็เพิ่งมีการเดินสำรวจตรวจสอบร้านในจตุจักร พบว่ามีประมาณ 6-7 ร้านในนั้นที่ใช้องค์พระสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้ามาเป็นเฟอร์นิเจอร์ เรื่องแบบนี้ทุกฝ่ายต้องช่วยๆ กันครับ พระพุทธศาสนาของเราถึงจะไปได้


7 ลักษณะดูหมิ่นพระพุทธศาสนา อย่าทำ!

(ขอบคุณภาพบางส่วน: มูลนิธิ "Knowing Buddha")
1. ห้ามไม่ให้ประพฤติดูหมิ่นหรือกระทำไม่ดีใดๆ ต่อพระพุทธเจ้า
2. ไม่วางหรือนำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในที่ๆ ไม่สมควร เช่น ไปสกรีนไว้ในผ้าเช็ดหน้า,ผ้าเช็ดปาก,ผ้าขนหนู, พรมเช็ดเท้า, พรมต่างๆ, หรือในอุปกรณ์การทำความสะอาดทั้งหลาย รวมถึงของเล่น, เฟอร์นิเจอร์ และไม่นำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในส่วนล่างของร่างกาย เช่น กางเกง,กระโปรง, รองเท้า ฯลฯ เพราะชาวพุทธที่แท้จริงจะรู้สึกทุกข์ใจและไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากเห็นผู้ใดกระทำย่ำยีต่อพระรูปของพระศาสดาเช่นนี้
3. ไม่วางพระพุทธรูป หรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งเฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่ง เช่น ไม่เอาพระพุทธรูปหรือรูปปั้น ไปวางไว้ที่โต๊ะกลางของชุดเฟอร์นิเจอร์ ไม่วางไว้ในห้องน้ำ, ในบาร์ หรือร้านอาหาร ประดุจพระพุทธรูปเป็นเพียงของตกแต่ง
4. ไม่ปฏิบัติต่อพระพุทธรูปหรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งสินค้า หากมีการซื้อขาย ให้เป็นไปเพื่อบูชาที่บ้านหรือในสถานที่อันควร
5. ไม่นำชื่อพระพุทธเจ้าไปใช้อย่างดูถูกดูหมิ่น เช่น การตั้งชื่อร้านไอศกรีมว่า “Buddhi Belly”
6. ไม่ล้อเลียนพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องอื่นใด เช่น การทำภาพโปสเตอร์โดยมีผู้ชายนั่งอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูป
7. ไม่นำรูปพระพุทธเจ้าหรืออื่นใดที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ มาเป็นรอยสักตามร่างกาย


ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ขอบคุณข้อมูล: แฟนเพจ "สมาคมทางสายกลาง" และ "FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย"
ขอบคุณภาพบางส่วน: มูลนิธิ "Knowing Buddha" 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- ล้อเลียนพระพุทธเจ้า... ไม่หยุด ไม่เลิก!





มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...

Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015

รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น