จากบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังอย่าง "เธอกับฉัน" ปลุกปั้นให้ดาราแจ้งเกิดมาแล้วหลายคน ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่า "ฉาวที่สุดในวงการหนังไทย" แถมยังมีข่าวแขวะ ข่าวเกาเหลากับดาราคนดังมากมายจนกลายเป็น "ตัวร้าย" ในสายตาใครหลายคน และพาลให้หนังหลายๆ เรื่องของเขา โดยเฉพาะหนังที่เจาะกลุ่มเพศที่สามเอาใจสาววาย ถูกมองด้วยอคติตามไปด้วย
พูดมาถึงขนาดนี้ คงไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก "พจน์ อานนท์ มิ่งขวัญตา" แม้จะเคยเปลี่ยนชื่อไปเป็น "พชร์ อภิรุธ" และ "พชร์ ภเสฐ" หวังว่าจะมีชีวิตใหม่ แต่สุดท้ายก็กลับมาใช้ชื่อเดิม "อานนท์" ส่วนชื่อเล่น "พชร์" ยังออกเสียงเรียกเหมือนเดิม แต่เป็นการเล่นคำและความหมายของคำว่าเพชร เพราะถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า "ตัวร้าย" อยู่ดี
ตลอด 1 ชั่วโมงที่ได้คุยกับ "พชร์ อานนท์" บางช่วงของการสนทนามีคำประชดประชัน จิกกัดพอแสบๆ คันๆ ถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เผยให้เห็นอารมณ์ขัน ตลอดจนถ้อยคำที่สะท้อนแต่ละจังหวะอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา เผยให้เห็นตัวตนลึกๆ และเข้าใจในส่วนลึกของความคิดผู้ชายคนนี้ได้ดียิ่งขึ้น
20 ปีในวงการหนัง คุณคิดว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
"เราก็ไม่รู้ตัวเองนะว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อาจเป็นเพราะเราเคยลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านเราจน เราเลยต้องสู้ชีวิตมันมา สู้ๆๆๆ มาเรื่อยๆ บางช่วงเราก็ต้องเอาตัวรอด ป้องกันตัวเองเอาไว้ เพราะเราทำงานโดยที่ไม่มีใครคอยแบ็กอัป หรือรองรับเราอยู่ด้านหลัง เราทำงานมาด้วยตัวเองมาตลอด ชีวิตมีแต่คำว่าสู้ สู้ แล้วก็สู้จนมาถึงปัจจุบัน 2558 เราผ่านอะไรมาเยอะ เฉพาะทำหนังจริงๆ ก็ประมาณ 20 ปีแล้ว"
ยุคทองของพชร์ อานนท์อยู่ในช่วงไหน
"มันก็ทองมาเรื่อยๆ นะ (ยิ้ม) ซึ่งมันบอกไม่ได้ว่าช่วงไหน แต่ที่ดังมากๆ คงต้องย้อนกลับไปสมัยเป็นบรรณาธิการนิตยสารเธอกับฉัน ตอนนั้นแจ้งเกิดดาราหลายคน เช่น มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ หรือเต๋า สมชาย เข็มกลัด และอื่นๆ อีกเพียบ พีคสุดก็น่าจะช่วงนี้ แต่พอยุคหลังๆ มันเริ่มมีปัญหาเข้ามา ซึ่งอะไรก็ไม่รู้ ทำให้พชร์ อานนท์ในยุคนี้กลายเป็นคนพูดมาก หาเรื่องไปทั่ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่คนแบบนั้นเลย ส่วนใหญ่คนมักจะเอาเรื่องมาให้เรามากกว่า เราเลยต้องเถียง ต้องสู้ เพราะส่วนตัวถ้าไม่ผิดก็จะเถียงว่าไม่ผิด ส่วนที่ผิดเราก็ยอมรับนะ
อย่างติดต่อดาราไป ค่าตัวแค่นี้ ปอย ตรีชฏา พี่ขอสามแสนห้าได้ไหม เล่นหนังให้พี่หน่อย ตอนนั้นปอยยังไม่ดังมาก ตัวปอยก็บอกหนูขอสี่แสนละกันพี่ เราก็บอกว่าสี่แสนพี่สู้ไม่ไหว เอาเป็นว่าเรื่องหน้าค่อยมาเล่นละกัน สุดท้ายก็กลายเป็นข่าว พชร์ อานนท์ตีกับปอย ตรีชฏาเรื่องค่าตัว คือ เอ้า! ผู้กำกับคนอื่นก็ต่อเรื่องค่าตัวเหมือนกัน ไม่ใช่เราคนเดียว
นอกจากนั้น ยังอีกหลายกรณีที่คนอื่นมักจะเอาปัญหามาให้ปวดหัว อย่างข่าวพชร์ อานนท์ทะเลาะกับอุ๊บ วิริยะ ตอนนั้นเขาตั้งสมาคมนักปั้นแห่งประเทศไทย แล้วเราก็บอกว่าเราไม่ชอบ จะทำอะไรก็ทำไปอย่าเอาเราเข้าไปเกี่ยว เพราะบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ เราไม่ใช่นักปั้น เราเป็นคนทำหนังสือแล้วก็หาเด็กมาถ่าย พอเด็กดังคนก็เลยเรียกว่า นักปั้นมือทอง แมวมองตาเพชร ส่วนตัวมองว่าใครอยากใช้อะไรก็ใช้ไป แต่เราไม่เอา
อีกกรณีกับเอ ศุภชัย ตอนนั้นเคน ภูภูมิมาเล่นหนังให้เรา ใช้ชื่อว่า เบลเบล เราก็บอกว่าคนนี้เรารู้จัก เด็กมันชื่อเบลเบล เคยเล่นหอแต๋วแตกให้เรา ตอนมาสมัครเล่นเรื่องแต๋วเตะตีนระเบิดน้องเขาไม่ผ่านเพราะฟันเหยิน เราก็บอกให้ไปดัดฟัน อีก 2 ปีมาเจอกันใหม่ พอทุกอย่างโอเคเราก็ให้มาเล่นหอแต๋วแตกภาค 2 กลายเป็นว่าทะเลาะกัน ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้ต้องการทะเลาะ เราก็แค่พูดความจริงว่าเบลเบลคือชื่อเก่าของเคน ภูภูมิ"
แบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้คนมองภาพว่าเราคือ "ตัวร้าย" คอยแฉ คอยแขวะไปทั่ว
"พอข่าวมันออกมาในลักษณะนั้น เราก็เลยดูเป็นคนชอบทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย กลายเป็นตัวร้ายในสายตาคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราเป็นคนตลก บ้าๆ บอๆ ซึ่งถ้าใครรู้จักเราคงจะสัมผัสตรงจุดนี้ได้ ดังนั้น ด้วยปัญหาที่คนอื่นมักเอามาให้ จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อจากพจน์ อานนท์ เป็นพชร์ อภิรุธ ตามมาด้วย พชร์ ภเสฐ
สุดท้ายก็กลับมาใช้ชื่อเดิม คืออานนท์ ส่วนชื่อเล่น 'พชร์' ยังออกเสียงเรียกเหมือนเดิม แต่เป็นการเล่นคำและความหมายของคำว่าเพชร เพราะว่ามันเป็นตัวเรา เราใช้ชื่อนี้มาตั้งนาน คนจะมองเรายังไงก็ไม่สามารถจะไปบอกเขาทุกคนได้ว่าเราดีอย่างนั้นอย่างนี้นะ ทางที่ดี พยายามอยู่นิ่งๆ ทำหน้าที่ และใช้ชีวิตโดยที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นดีกว่า"
มีช่วงอารมณ์อ่อนไหว หรือมีช่วงไหนที่ต้องเสียน้ำตาให้กับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาบ้างไหม
"ไม่เคยร้องให้กับปัญหานะ มีแค่ความเบื่อว่าอะไรของมันอีกเนี่ย พอเจอแบบนี้ก็ไม่รู้จะเสียใจไปทำไม เพราะเราไม่ได้เป็นคนก่อ แต่เราไม่สามารถจะไปบอกทุกคนที่เสพข่าวได้ว่า เราเป็นคนยังไง เอาเป็นว่าถ้าพจน์ อานนท์เลวจริง เราคงไม่อยู่มาถึงปี 2558 นี้หรอก มันก็ต้องมีจุดเป๋ไปบ้าง แต่เราก็พยายามทรงตัวมาตลอด เพราะเรารู้ตัวดีว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนยังไง
บางทีก็เหนื่อยนะ ทำผลงานหนังออกมาก็โดนด่า เรื่องอะไรที่พชร์ อานนท์ทำมีอันต้องถูกด่าเสียๆ หายๆ แทบทุกเรื่อง ต่อให้ทำหนังดี ได้รางวัลจากเมืองนอก ยังไงก็ถูกด่า เอาเป็นว่าขอทำหน้าที่ของเราต่อไป เพราะเรายังต้องเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกน้อง เลี้ยงตัวเอง
อย่างหนังเพื่อน...กูรักมึงว่ะ ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในสาย International Competition จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ '34th International Independent Film Festival' ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม กลับไม่มีใครนึกถึง แถมยังด่าอีกว่าเป็นหนังอย่างโน้น อย่างนี้ สุดท้ายอยู่ในส่วนของเราดีกว่า สู้เอาเวลาไปทำหนัง ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า เลี้ยงดูครอบครัวดีกว่า"
เขาว่าคุณเป็นผู้กำกับที่ไม่ยอมรับคำวิจารณ์ใดๆ เลย
"คนที่ด่าหนังเรา ส่วนใหญ่ไม่ได้ดู เห็นเป็นหนังพชร์ อานนท์ก็ด่าไว้ก่อนเลย ไร้สาระบ้าง ปัญญาอ่อนบ้าง ซึ่งมันกลายเป็นค่านิยมไปแล้ว พอมานั่งคิด หนังเราก็ไม่ถึงขั้นนั้นนะ เวลาไปฉายต่างประเทศก็ทำเงินได้อันดับหนึ่งอย่างหนังเลิฟเฮี้ยวเฟี้ยวต๊อด พอไปฉายที่ประเทศเขมร หรือกัมพูชา หนังก็ทำเงินได้เป็นอันดับหนึ่ง อีกอย่างไม่เห็นมีใครด่าแบบบ้านเรา หรือ ม.6/5 ปากหมาท้าผี ก็ไม่เห็นมีใครด่า"
ถ้าคนดูแล้วไม่ชอบ สามารถวิจารณ์ได้ไหม
"ได้สิ แต่ต้องวิจารณ์หนังนะ ไม่ใช่ด่าหนัง 'เ-ย' อะไร หรือหนังส้นตีนอะไร แบบนั้นไม่ได้เรียกวิจารณ์ เขาเรียกว่าด่า เพราะเคยไปแจ้งความขึ้นโรงพักเกี่ยวกับเรื่องการด่าหนังในลักษณะนี้มาแล้ว คำว่าหนังส้นตีนก็ใช้ไม่ได้ มีความผิด ถ้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการถ่ายทำ การเล่าเรื่องก็วิจารณ์ไปสิ อย่างตระกูลหอแต๋วแตก เราก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันเป็นหนังตลก อย่าไปเอาอะไรกับมันมาก ดูเพื่อความบันเทิงพอ"
จริงหรือไม่ที่คุณทำหนังตุ๊ดแต๋ว หรือเพศที่สามเพื่อสนองตัณหาตัวเอง
"หนังตุ๊ดแต๋วมีตระกูลเดียวคือ หอแต๋วแตก เมื่อก่อนคนด่ากันเยอะมาก แต่ปัจจุบันคนทำหนังแนวนี้กันเยอะมาก ทำไมไม่ไปด่าเขาบ้าง มาด่าแต่เราคนเดียว หรือทำขึ้นเพื่อสนองตัณหาตัวเอง แต่ปัจจุบันยิ่งกว่าเรากันอีก นึกจะจูบก็จูบกัน บางค่ายทำกลายเป็นดี แต่พอเราทำจูบบ้างก็มาด่าว่าสนองตัณหาตัวเอง เฮ้อ! (ถอนหายใจ) จะไปสนองตัณหาทำไม ที่ทำหนังขึ้นมาก็เพื่อจะเล่าให้คนดูให้รู้ว่าในสังคมมันมีกลุ่มคนที่เป็นแบบนี้อยู่"
กำกับหนังมาเยอะแล้ว เคยคิดให้เด็กรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมากำกับบ้างไหม
"เด็กรุ่นใหม่ๆ ทำไมพวกเขาไม่ได้กำกับหนัง เพราะเขาไม่สามารถทำให้นายทุนไว้ใจเขาได้ สมมติเสียเงินให้เด็กใหม่ไป 15 ล้าน แต่ทำออกมาคุณภาพไม่ถึง 15 ล้าน ซึ่งมันก็ต้องดูด้วยว่า ก่อนที่คุณจะทำหนังคุณมั่นใจแค่ไหนที่จะไม่ทำให้เขาขาดทุน คนทำหนังไม่มีใครอยากขาดทุน นายทุนเขาก็อยากได้กำไรกันทั้งนั้นแหละ เด็กบางคนคุยอ่ะคุยได้ เล่าอ่ะเล่าได้ เขียนอ่ะเขียนได้ แต่เวลาถ่ายทอดออกมาเป็นหนัง ทำยังไงให้มันสนุก ทำยังไงให้คนเข้าใจ ทำยังไงให้คนดูคล้อยตาม มันไม่ใช่เรื่องง่าย
วันนี้ไม่ใช่เราไม่ปล่อย แต่นายทุนคือคนที่ไม่ปล่อยเงินให้พวกเขาทำมากกว่า เพราะเขาไม่ไว้ใจ ทำไปก็เจ๊ง เงิน 15 ล้านคุณจะยอมเสียไปไหมล่ะ อยู่ๆ ก็มีเด็กเอาเงิน 15 ล้านไปถลุงๆ แถมบริหารเงินไม่เป็นกับเขามาจ้างเราทำหนัง อยากได้หนังอะไร อ่ะทำให้ นายทุนถึงไว้ใจให้เราทำตลอด ดังนั้นเด็กใหม่ๆ ต้องทำให้เขาเห็นว่าคุณทำหนังได้ ถ้าทำแล้วไม่มีใครจ้างคุณก็ต้องมองตัวเองแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่จ้างพวกคุณ"
จากกระแสสังคมที่รุมวิพากษ์วิจารณ์หนังของพชร์ อานนท์ นายทุนมีแกว่งๆ ในฝีมือการกำกับหนังของคุณบ้างไหม
"ไม่มีครับ เพราะนายทุนไว้ใจให้ทำมาตลอด ที่ผ่านมาหนังก็ทำเงินนะ แม้ในกรุงเทพฯ จะได้น้อย แต่ต่างจังหวัดได้เยอะ หรือต่างประเทศเราก็ได้ แล้วเราทำหนัง 2-3 เรื่องต่อปี มันก็เป็นอาชีพของเรา มาบอกว่าหนังไม่สนุก ที่บอกไม่สนุกเพราะมันไม่ดูไง หรือบางคนบอกว่าหนังพชร์ อานนท์ดูแล้วเสี่ยว การที่หนังเสี่ยวไม่ได้หมายถึงหนังหรอก แต่เป็นเพราะการทำตัวของคนคนนั้น หรือดูหนังพจน์ อานนท์แล้วต่ำ การที่คนเราจะต่ำหรือจะสูง มันไม่ได้อยู่ที่การดูหนัง แต่มันอยู่ที่คุณทำตัวต่ำหรือเปล่า ถ้าดูแล้วไม่ชอบก็ไม่ชอบ
บางคนบอกหนังเราไม่มีบท ไม่ปะติดปะต่อ อ่ะไหนลองเล่าดิ มันก็เล่าถูกเลยนะ ปรากฎว่าเล่าถูกหมดเลย อ้าว! แล้วหนังเราไม่ปะติดปะต่อตรงไหน คุณยังเล่าถูกเลย ถ้าหนังไม่ปะติดปะต่อ คุณต้องเล่าไม่ถูกสิ ใช่ไหม ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือเพราะเราทำหนังเยอะเกินไปหรือเปล่า (หัวเราะ) ล่าสุดกำลังจะมีหนังอีก 2 เรื่อง (หอแต๋วแตกภาค 5 และหมาจนตรอก) รวมแล้วก็ครบ 30 เรื่องละ"
ถามจริงๆ "หอแต๋วแตก" จะมีต่อไปอีกกี่ภาค อย่างล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉายในเดือนตุลาคมนี้ก็ปาเข้าไปภาค 5 แล้ว
"บอกตรงๆ ว่าเบื่อแล้วเหมือนกันนะ จริงๆ อยากทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ไปเสนอโปรเจกต์อื่นๆ อย่าง 'ชานชรา' ก็ไม่ผ่าน ซึ่งเป็นหนังบอกเล่าเรื่องราวของแม่ 5 คนที่ไปนั่งเฝ้าลูกที่ชานชาลาทุกวันๆ แต่ลูกก็ไม่กลับบ้านจนแม่ไม่รอละ เพราะคิดว่าลูกไม่กลับมาแล้ว แต่จริงๆ ลูกได้ตายไปแล้ว เสนอไปกี่ทีก็ไม่ผ่าน แต่บอกหอแต๋วแตกมั้ย ปรากฏว่าเอาๆๆๆ เราก็ต้องทำ เพราะมันเป็นเงินที่เราจะต้องเอาเลี้ยงลูกน้อง
ส่วนตัวไม่ใช่ไม่อยากทำหนังที่มีมันคุณค่านะ อยากทำจะตายแต่มันไม่มีคนจ้าง ไม่มีคนให้เงินไปทำ จะให้ควักเงินเองมันก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้รวยขนาดนั้น ในเมื่อเขาอยากได้อะไร อยากให้ทำอะไร เราก็ต้องทำเพื่อตอบโจทย์นายทุน หรือเรื่อง ม.6/5 ปากหมาท้าผี ทำเงินได้ดีในต่างประเทศ เขาก็ให้เราทำ ไม่ใช่ว่าอยากทำ แต่นายทุนให้เงินเรามาทำเราก็ทำ ดีกว่าตกงาน
จริงๆ เราสนใจทำหนังหลายประเภทอย่างอินดี้เราก็อยากทำ แต่ไม่มีใครให้ทุนไง หรือหนังรัก ร้องห่มร้องไห้เราอยากทำแต่ก็ไม่มีใครให้ทุนเราทำ สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปหาหอแต๋วแตกเหมือนเดิม คนก็จะมองว่าทำหนังตุ๊ดแต๋วซ้ำซาก ทั้งๆ ที่เรามีแนวอื่นที่อยากทำเหมือนกัน ซึ่งถ้าใครติดตามผลงานเราก็จะรู้ว่าหนังพจน์ อานนท์มีหลากหลาย หนังสไตล์ 18 ฝน ร้อยวันพันปีถึงจะมีคนให้เราทำ
เพราะฉะนั้นอย่ามาตอกย้ำว่า ทำเป็นแต่หนังกะเทยเหรอ หนังอื่นเราก็ทำเป็น ถามว่าหอแต๋วแตกอยากทำไหม จริงๆ ไม่ได้อยากทำเลย คิวดาราก็ยาก ปัญหาก็เยอะ กว่าดารารุ่นใหม่ 10 กว่าคนมาเจอกันได้เหนื่อยมากๆ ใครบอกว่าหนังประเภทนี้ทำง่าย คุณลองมาทำสิแล้วจะรู้ว่ามันยาก"
หนังพชร์ อานนท์อยู่ได้เพราะแฟนคลับ โดยเฉพาะสาววาย
"ใช่ เราก็มีแฟนคลับ คือจริงๆ หอแต๋วแตกเป็นเรื่องที่ตัวละครมันน่ารัก คนเลยชอบ ถ้าหอแต๋วแตกภาคนี้ (ภาค 5) ทำเงิน แล้วเขาบอกให้ทำหอแต๋วแตกภาค 6 เราก็ต้องทำ เพราะเราก็ได้เงินไง ถึงแม้จะปวดหัวกับนักแสดงแค่ไหน เราก็ทำ เพราะหนึ่งลูกน้องเราก็มีงานทำ สองดีกว่าเราต้องจบตัวเองไป เพราะหอแต๋วแตกมันก็ไม่ใช่หนังที่น่าเกลียดน่ากลัวอะไรมาก มันก็เป็นแค่หนังตลกเพื่อความบันเทิง คุณต้องแยกหอแต๋วแตกกับ 18 ฝน หรือเพื่อน...กูรักมึงว่ะให้ออก"
ลึกๆ แล้วอยากทำหนังแนวไหน
"อยากทำหนังดรามาเกี่ยวกับพ่อ เกี่ยวกับแม่ แต่พอเสนอไปประมาณ 120 เรื่องแต่ก็ไม่ผ่านสักเรื่อง เช่น แม่เป็นครู ลูกเป็นนักเรียน ทั้งสองยืนอยู่บนรถเมล์ ปรากฏว่าลูกโดนลูกหลง ถูกกลุ่มช่างกลยิงจนพิการ ตัวแม่เองก็พยายามขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อช่วยจับคนร้ายให้ลูก พอขึ้นศาล แม่ชนะ แม่ก็กลับมาหาลูกแล้วกระซิบบอกลูกว่า แม่จับคนร้ายได้แล้วนะ สุดท้ายลูกก็ตายต่อหน้าแม่ เรื่องนี้คิดไว้ว่าจะให้พี่นก สินจัย เปล่งพานิชรับบทเป็นแม่ พอเสนอไปก็ไม่ผ่าน จำได้ว่าเสนอไป 10 รอบ ไม่ผ่านเลยสักรอบ (ถอนหายใจเฮือกใหญ่)"
ถ้าต้องทำหนังเกี่ยวกับ "พชร์ อานนท์" 1 เรื่อง อยากจะเขียนหรือบอกเล่าชีวิตออกมาในแนวไหน
"ก็คงจะตลกแหละครับ เพราะเราเป็นคนตลก แต่ในความตลกเราก็มีมุมดิ้นรนต่อสู้ชีวิต เพราะเราสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กผ่านมาหมดตั้งแต่กระเป๋ารถเมล์ เด็กเสิร์ฟ ขายไม้ขีดจุดที่ไหนก็ติด หรือจะเป็นเรียงเบอร์ จากนั้นคนก็มาชวนไปเป็นดาราตอน พ.ศ.2527 แต่เราไม่ชอบ ส่วนตัวชอบอยู่เบื้องหลังมากกว่าก็เลยไปทำหนังสือ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นบรรณาธิการหนังสือ ดังนั้นหนังที่ออกมาก็จะแนวๆ ของคนต่อสู้ชีวิต แม้ที่ผ่านๆ มาจะมีสงครามปัญหามากมาย แต่เราก็มาถึงจุดๆ นี้ มาเป็นพชร์ อานนท์ในวันนี้ได้ เพราะความไม่ย่อท้อ และความแข็งแกร่งในตัวเอง"
มีช่วงไหนไหมที่รู้สึกว่าชีวิตตกต่ำเหลือเกิน
"ไม่มีนะ มีแต่จุดที่เรารังเกียจที่สุดก็คือ พวกที่ด่าเรา ด่าหนังเรานี่แหละ ด่ากันอยู่นั่นแหละ ถามหน่อยว่า เราไปทำอะไรให้คุณ เราก็คนคนหนึ่งเหมือนกันนะ บางคนก็มาหมั่นไส้เรา ลงทุนทำหนังอีกแล้ว หนังอะไรก็ไม่รู้ เข้าใจหน่อยว่า เราไม่ได้ลงทุนทำเอง แต่คนอื่นเอาเงินมาให้เราทำ"
เคยคิดอยากจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นไหม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีแต่เรื่อง หรือคนเอาแต่ปัญหามาให้
"คงไม่เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้วล่ะ ถ้าวันหนึ่งไม่ได้ทำหนังก็คงอยู่บ้านใช้เงิน เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองรวย และสวยมาก (หัวเราะ) จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก เพราะใจเรายังรักที่จะทำหนังอยู่ ถ้าเราไม่ทำก็จะต้องหาคนอื่นขึ้นมาเป็นผู้กำกับ ส่วนเราก็เป็นโปรดิวเซอร์ แต่เคยเอาคนอื่นขึ้นมาเป็นผู้กำกับหลายๆ เรื่อง เราก็เจอปัญหาเพราะไม่ค่อยเชื่อฟังกัน"
หนังเรื่องไหนของพจน์ อานนท์ที่ภูมิใจสุดๆ ในชีวิต
"มันก็ภูมิใจทุกเรื่องนะ อย่าง 18 ฝน, เพื่อน...กูรักมึงว่ะ หรือจะเป็นเรื่องเอ๋อเหรอที่เราจะภูมิใจเพราะสามารถกำกับเด็กที่เป็นออทิสติกได้ หอแต๋วแตกเราก็ภูมิใจนะ ถึงจะมีคนด่าเยอะ แต่หนังมันก็ประสบผลสำเร็จ แม้จะงงๆ ว่าเราต่อสู้เพื่อเพศที่สามมาตลอด แต่สุดท้ายทำไมคนกลุ่มนี้บางกลุ่มถึงเกลียดเรา ด่าเรา ซึ่งหนังประเภทนี้จริงๆ เราก็ไม่ได้มีเยอะนะ แค่ตระกูลหอแต๋วแตก แล้วก็มีปล้นนะยะแค่นั้น แต่คนกลับรู้สึกว่าทำแต่หนังพวกนี้"
อะไรคือสิ่งที่หลงใหลที่สุดในการทำหนัง
"หลงใหลที่สุดคือการที่เราได้ไปดูหนังแล้วคนทั้งโรงหัวเราะกับหนังเรา อันนี้แหละคือเสน่ห์ หรือจะเป็นหนังร้องไห้อย่างเพื่อน...กูรักมึงว่ะ ปรากฎว่า คนก็ร้องไห้เกือบทั้งโรง เพราะเวลาทำหนัง เราจะคิดถึงคนดูหนังเป็นหลัก ไม่เคยคิดถึงแต่ตัวเอง คนดูชอบแบบนี้เราก็ใส่แบบนี้ไป แต่ถ้าคิดถึงแต่ตัวเอง คุณก็สร้างเองดูเองอยู่ที่บ้าน เพราะฉะนั้นอย่ามาด่าผมกันนักเลย ผมเหนื่อย (ถอนใจหาย)"
ความเจ๋งของพชร์ อานนท์อยู่ตรงไหน
"เราตอบโจทย์นายทุนถูกไง นายทุนอยากได้หนังแมส หนังตลก หนังผี หรือหนักรักเราทำได้หมด คืออยากได้อะไรเราทำให้หมด พูดง่ายๆ คือ เราทำหนังมาทุกค่ายละ เหลือค่ายใหญ่ค่ายเดียวที่ไม่ได้อยู่ ล่าสุดมาทำหนังให้กับค่ายโมโนก็ต้องติดตามผลงานกันต่อไป"
ใครคือบุคคลต้นแบบที่มีอิทธิพลต่อคุณ
"แม่ผมไง ทุกวันนี้เราทำงานเราเลี้ยงดูแม่อยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราจะลำบากยังไงแม่เราต้องสบาย เราก็ต้องมีแม่เป็นแรงขับเคลื่อนให้สู้ต่อไป เพราะตอนเด็กๆ บ้านเราจนมาก ไข่ต้ม 1 ใบกินกันทั้งบ้าน คลุกข้าวแล้วก็กิน ตั้งแต่นั้นมาเราก็ฮึดสู้เพื่อแม่ด้วยการทำงานเพราะแม่จะได้ไม่ลำบาก พอมีงานทำ มีเงินเข้ามา เราก็ปลูกบ้านให้แม่ ซื้อรถให้แม่ก็ไม่เอาเพราะขับไม่เป็น เพราะนอกจากแม่ และลูกน้อง เราก็ไม่มีใครแล้ว"
ชอบทำอะไรเวลาที่ไม่ได้ทำงานหรือดูแลครอบครัว
"เราชอบดูหนังคนเดียว เพราะการดูหนังเหมือนได้ไปเรียนหนังสือ ซึ่งจะเข้าไปดูวิธีการเล่าเรื่อง ไปดูวิธีการจัดแสง ดูมุมกล้อง เสื้อผ้า โทนสี พอดูหนังดีๆ แล้วชอบก็จะมาโพสต์ลงอินสตาแกรม แต่ก็ถูกด่าอีกว่า มึงดูเป็นด้วยเหรอ ตอนนั้นก็คิดในใจ มึงจะเอาอะไรกับกู (ลากเสียวยาว)"
สุดท้ายนี้ ในฐานะผู้กำกับที่คลุกคลีอยู่กับวงการหนังไทยมานาน มีทัศนะอย่างไรต่อวงการหนังในบ้านเรา
"คือวงการหนังบ้านเรามันเป็นวงการที่คนดูกลายเป็นผู้ดูตามกระแสไปแล้ว ถ้าเป็นค่ายใหญ่ๆ คนก็จะแห่ไปดู พูดง่ายๆ คือ ดูอยู่กลุ่มเดียว ค่ายเดียว พอหนังค่ายอื่นมาก็พากันเจ๊ง เพราะถูกอคติไปแล้วว่า หนังคุณไม่สนุกเท่ากับค่ายนั้น ค่ายนี้ ซึ่งเราก็ไม่ได้โทษคนดูหรอกนะ ต้องโทษวงการหนังด้วย แล้วอีกอย่างคนไม่ค่อยดูหนังในโรงกันแล้ว ส่วนใหญ่ไปโหลดกันดู ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราก็อาจจะไม่มีหนังให้ดู หรือวงการเพลงเองเราก็อาจจะไม่มีใครทำเพลงออกมากันแล้ว เพราะทำมาก็โหลดฟังฟรี อีกหน่อยก็ไม่มีเพลงไทยให้ฟังกันแล้ว"
สำหรับการพูดคุยกับ "พชร์ อานนท์" ในครั้งนี้ ทีมงานได้เปิดโอกาสให้แฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Live ได้มีส่วนร่วมในการฝากคำถามเข้ามา ผ่านหัวข้อที่ว่า ถ้าคุณได้มีโอกาสนั่งคุยเป็นการส่วนตัวกับ "พชร์ อานนท์" ผู้กำกับหนังชื่อดัง คุณอยากถาม หรือรู้อะไรเกี่ยวกับเขาคนนี้
คุณเป็นอาแท้ๆ ของ "นนท์" หรือเปล่า
"ไม่ใช่ครับ แต่เจ้าสาวของอานนท์คือหลานของเราเอง"
มีพี่น้องกี่คน
"5 คน เราเป็นคนสุดท้องทำหน้าที่ดูแลแม่อายุ 80 ปี"
เติบโตมาในครอบครัวแบบไหน
"เลี้ยงแบบให้สู้ชีวิต คิด และตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง"
ในชีวิตนี้เคยคิดที่อยากจะแต่งงาน มีครอบครัวบ้างไหม
"ส่วนตัวมองว่าการแต่งงาน มีครอบครัวมันไม่จำเป็นสำหรับเรา ปัจจุบันได้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ถ้าเรามีครอบครัว เราก็ต้องมีคนมาแย่งเงินเราใช้ ซึ่งเป็นเงินที่เราหามาแทบตาย (หัวเราะ) เอาจริงๆ เรารู้ว่าตัวเราเป็นอะไร ถ้ามีไปก็สงสารผู้หญิง จริงไหม"
อยู่อย่างไรในวงการให้ได้นาน
"ปรับตัวเองอยู่ตลอดๆ วิ่งเข้าหาคนยุคใหม่ว่าต้องการอะไร ไม่ใช่แก่กะโหลกกะลา แล้วก็เลิกกินลำไยกะโหลกไปซะ (หัวเราะ)"
เมื่อไรจะเลิกสร้างหนัง
"ยังไม่รู้ รู้แต่ว่ายังต้องสร้างต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นอาชีพและความชอบของเรา เวลาไม่มีหนังทำ เรารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป เพราะเป็นคนชอบเล่าอะไรสนุกๆ ให้คนอื่นฟัง พอได้มีโอกาสทำหนังก็อยากจะถ่ายทอดให้คนดูได้สนุกไปกับเรื่องของเราด้วย"
อยากเห็นหนังแอคชั่นดีๆ ของไทยที่สู้ต่างประเทศได้ คุณทำได้ไหม
"ไม่ได้ เพราะไม่มีเงิน ร้อยล้านของเราไปสู้กับพันล้านของเขาไม่ได้"
บอกได้ไหมว่าคุณเป็นรุกหรือรับ
"(นิ่งคิด) มันแล้วแต่อารมณ์นะ ถ้าหล่อๆ ก็รับ พูดเล่นๆ (หัวเราะ) ของแบบนี้มันพูดไม่ได้ (ทำท่าเขิน) มันเป็นรสนิยมมากกว่า แต่ส่วนใหญ่เราไม่ชอบมีอะไรกันลึกซึ้ง พูดง่ายๆ คือ แค่ภายนอกให้กันพอ แต่ทั้งหมดทั้งปวง การจะคบกันมันอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่เรื่องเพศ หรือแค่การมีเซ็กซ์"
ปล. ทีมงานขอขอบคุณคำถามที่ฝากคำถามเข้ามา แม้ใจจริงอยากจะยกมาถามทุกคำถาม แต่บางคำถามได้สอดแทรกอยู่ในบทสัมภาษณ์ถาม-ตอบในข้างต้นแล้ว
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ศิวกร เสนสอน และขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @poj_arnon
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754