xs
xsm
sm
md
lg

แฉทางลัดความขาว! "น้ำยาลอกผิว" อันตรายสู่ความตาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลอกออกมาเป็นแผ่นๆ ดูแล้วชวนสยอง คือผลมาจาก "น้ำยาลอกผิว" กระแสฮิต "คนคลั่งขาว" ทางลัดผิวขาวกระจ่างใสแบบเร่งด่วน เห็นผลภายในไม่กี่วัน แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีแพทย์ออกมาเตือนอยู่บ่อยๆ ว่า "อันตรายมากกว่าผลดี" อยากให้ฉุกคิดจากหลายอุทาหรณ์เตือนใจ เพราะโลกนี้ไม่มีผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์ใดทำให้ผิวขาวเด้งในทันทีโดยไม่เสี่ยงต่ออันตราย

"ลัทธิคลั่งขาว" ในยุคขาดสติ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ผิวขาวใส" กลายเป็นความปรารถนาของใครหลายคน และถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานภาพ โอกาส และความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะสาวๆ ที่จะให้ความสำคัญกับความขาวใส ยิ่งในยุคสมัยที่ตลาดสินค้าในรูปแบบครีมหน้าขาว หน้าเด้ง โฟมล้างหน้า ครีมบำรุง และอื่นๆ กำลังได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม ไม่แปลกที่ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น


อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องความสวย ความงามในข้างต้น แม้จะมีราคาถูกกว่า แถมคุณภาพของครีมต่างๆ ก็อยู่ในระดับที่รับได้ บางตัวใช้แล้วเห็นผลจริง ทำให้หลายๆ คนนิยมเลือกใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ แต่อีกหนึ่งความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ ผลิตภัณฑ์บางตัวก็เคยให้โทษแก่ผู้ใช้หลายรายด้วยเหมือนกัน


เห็นได้จากข่าวต่างๆ ที่มีผู้บริโภคหลายรายออกมาโวยวายหลังจากซื้อครีมไปใช้แล้วหน้าพัง หรือบางรายเกิดการโต้เถียงกันใหญ่โตจนสื่อต่างๆ หยิบยกไปนำเสนอ เมื่อพบว่าครีมบางตัวปนเปื้อนสารปรอท ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัย และเกิดข้อครหาถึงคุณภาพของบรรดาครีมและเครื่องสำอางที่วางขายในโลกออนไลน์ว่าเชื่อถือได้หรือไม่


แม้จะมีบางกลุ่มออกมาจุดประเด็นความเสี่ยง และอันตรายต่อผลิตภัณฑ์ช่วยผิวขาวกระจ่างใส แต่ดูเหมือนตลาดของสินค้าเหล่านี้ก็ไม่หยุดที่จะใช้ความขาวมาเป็นจุดขาย พยายามแข่งขันแย่งชิงลูกค้าด้วยการทำภาพก่อน-หลังเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ว่าเปลี่ยนจริง ขาวจริง ไล่มาตั้งแต่ใบหน้า ผิวกาย ไม่เว้นแม้แต่จุดซ่อนเร้นที่โอ้สรรพคุณว่าช่วยให้พื้นที่ซ่อนเร้นของผู้หญิงขาวขึ้นได้ภายใน 4 สัปดาห์



ที่น่าตกใจก็คือ ทางลัดความขาวยุคใหม่ ไม่ใช่แค่กินกับทาในรูปแบบไวเทนนิ่งเท่านั้น ปัจจุบันได้เกิดทางลัดใหม่ๆ ขึ้นมา หนึ่งในนั้นก็คือ "น้ำยาลอกผิว" ซึ่งสามารถพบเห็นการโฆษณาในอินเทอร์เน็ต โดยจะบรรยายสรรพคุณสารพัด แถมมีราคาถูก และมักจะขายในรูปตลับ หรือเป็นลิตร และเป็นแกลลอน เพื่อนำมาอาบหรือทา พอก 2 ชั้น 3 ชั้น เพื่อเปลี่ยนผิวที่เสื่อมสภาพ หยาบกร้าน และดำคล้ำให้หลุดลอกออกเป็นแผ่นๆ แบ่งเร่งด่วน ทำให้เกิดประเด็นเกิดการตั้งข้อสงสัยตามมาว่า มีส่วนผสมของอะไร และปลอดภัยหรือไม่


"น้ำยาลอกผิว" อันตรายสู่ความตาย


"ใครๆ ก็อยากมีผิวขาว" เป็นเรื่องจริงที่อยู่ในความคิดของผู้หญิง รวมไปถึงผู้ชาย และเพศที่สามจำนวนไม่น้อย บางคนดูแลผิวให้ขาวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่บางคนอยากขาวแบบเร่งรัด นำไปสู่ทางลัดเพื่อผิวขาวกระจ่างใส ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลูต้าไธโอนเสริมความขาวใส ทั้งกิน ทั้งฉีด ไปจนถึงการใช้น้ำยาลอกผิวขาวที่กำลังได้รับความสนใจจากสาวๆ หลายคน เพราะไม่เจ็บ แถมเห็นผลภายในไม่กี่วัน


สำหรับทางลัดผิวขาวด้วยการใช้ "กลูต้าไธโอน" เพื่อเสริมความขาวใส โดยเฉพาะการฉีดเข้าสู่กระแสเลือด นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เคยเตือนเอาไว้ผ่านทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ว่า หากฉีดเป็นจำนวนมากในเวลานานจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับจอประสาทตาซึ่งอาจทำลายการมองเห็นได้


"ไม่แนะนำให้ฉีดเลยครับ ฉีดไปก็ได้ผลแค่ชั่วคราว มันต้องฉีดต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าฉีดต่อเนื่องในระยะยาว มันจะเกิดปัญหาอะไรต่อร่างกายเราหรือไม่ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมันจะทำให้เม็ดสีเมลานินทั่วร่างกายเราลดลง โดยสิ่งที่น่าห่วงที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นที่ผิวหนัง แต่คือจอประสาทตา จอประสาทตามันจะมีสีดำเพื่อรับแสง พอเราไปฉีดกลูต้าฯ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้เมลานินตรงจอประสาทตาลดลงมั้ย ถ้าเมลานินตรงจอประสาทตาลดลงมันอาจจะทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นเช่น เห็นไม่ชัด ตามัว เพราะฉะนั้น จึงแนะนำว่า อย่าไปฉีดเลยครับ"


ส่วนการใช้ "น้ำยาลอกผิว" เพื่อความขาว ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ก็เคยออกมาเตือนถึงอันตรายที่มีมากกว่าผลดี นอกจากจะไม่สามารถทำให้ผิวขาวได้ถาวรแล้ว ยังเป็นอันตราย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และตาบอดด้วย


สำหรับน้ำยาลอกผิวนั้น ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นกรดชนิดรุนแรง จะเกิดการกัดผิวจนไหม้จนลอกผิวหนังชั้นนอกออกมา โดยผิวหนังชั้นนี้เป็นชั้นขี้ไคลส่งผลให้ดูขาวขึ้น แต่เมื่อใช้ติดต่อกันผิวหนังชั้นนอกจะตายไปด้วย



"เมื่อเจอแสงแดดอีก ผิวก็กลับมาเป็นอย่างเดิม แถมไม่มีเม็ดสีป้องกันแสงแดด ป้องกันการไหม้ก็อาจมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ หากรุนแรงกว่านี้จะส่งผลทำให้ผิวเกิดแผลไหม้ อาจติดเชื้อจนเกิดอันตรายตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น มีบางเคสใช้น้ำยาลอกหน้าแล้วเกิดแผลจนติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายมาก หากเกิดที่ตาอาจทำให้ตาบอดได้" ผศ.พญ.สุวิรากร บอกถึงอันตรายที่อาจจะตามมา


ปัจจุบันน้ำยาลอกผิวจะพบโฆษณาง่ายๆ ได้ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งบรรยายสรรพคุณสารพัดและมีราคาถูก ซึ่งค่อนข้างน่ากลัวมาก


"พวกนี้พอทาไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผิวก็จะลอกออกมาเป็นแผ่น สิ่งที่ลอกออกมา ก็คือผิวชั้นนอก ซึ่งในทางการแพทย์มีวิธีการลอกผิวด้วยสารเคมีที่มีความปลอดภัย เช่น AHA ที่ใช้ลอกเพื่อรักษาผิวหน้าที่มีปัญหา เช่น หลุมสิว สิว ฝ้า แต่เมื่อวัยรุ่นมาเห็นก็อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย เลยนำมาใช้นำมาขัดกัน โดยตัวที่นำมาใช้จะเป็นกรดแบบแรง ทำให้ไหม้ผิว แต่เวลาที่ทาลงไปบนผิวหรือหน้าไม่รู้สึกแสบ เนื่องจากมีการใส่ยาชาเข้าไปด้วย รวมไปถึงใส่สีให้มีหลายแบบ เพื่อบอกว่าสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือแบบแรง" ผศ.พญ.สุวิรากรเผย


"ซีม่าโลชั่น" ลอกผิวดำได้จริงหรือ


นอกจาก "น้ำยาลอกผิว" แล้ว อีกหนึ่งตัวที่มีกระทู้รีวิวในเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง "พันทิป" ก็คือ การเอา "ซีม่าโลชั่น" มาลอกหนังด้านๆ คล้ำๆ ที่หัวเข่า หรือข้อศอก กระทั่งมีกระแสสงสัยและข้อครหาถึงสรรพคุณ เพราะมีการตั้งกระทู้เตือนใจคนข้อเข่า และข้อศอกดำหลังได้รับบทเรียนราคาแพงจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากข้อเข่าไหม้ดำ และทรมานจากอาการแสบผิวหนัง เป็นเหตุให้ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนหลักแสน


เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีมข่าวต่อสายตรงไปขอความรู้จาก รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้คำตอบว่า ซีม่าโลชั่น มีส่วนผสมของกรดเอาไว้ใช้รักษาโรคผิวหนังอย่างกลาก เกลื้อน เชื้อรา โดยจะทำการลอกผิวหนังชั้นนอกออกมา ส่วนเวลาทาจะเกิดอาการระคายเคืองอย่างมาก อาจทำให้แสบ หรือไหม้ได้ โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังอ่อนๆ เช่น ข้อพับ ขาอ่อน ใบหน้า นอกจากนี้ไม่แนะนำให้เอามาใช้ทาผิว ลอกผิว ตามสูตร "สวย เด้ง ขาว" เพราะจะส่งผลให้เกิดอาการแสบ ซึ่งแทนที่จะขาวอาจทำให้ดำจนไหม้ได้ เช่นเดียวกับน้ำยาลอกผิวที่่มีผลเสียมากกว่าผลดี



"น้ำยาลอกผิวมันก็คือกรด คล้ายๆ กับซีม่า พอทาไปแล้วจะไปลอกผิวหนังชั้นบนๆ ออก ฝรั่งเขาจะใช้รักษาพวกรอยดำ รอยตีนกา แต่พอมาใช้กับคนเอเชีย ผลที่ตามมาคือผิวหนังอักเสบ และทำให้ผิวหนังดำอยู่นานมาก แทนที่จะขาวก็จะยิ่งแย่ลง สำหรับบางคนหากใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดแผลเป็นตามมาได้" นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยกล่าวเตือนเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง


แม้วันนี้ "ความขาว" คือความปรารถนาที่ใครหลายคนอยากได้ และกำลังเสพติดแบบขาดสติ แต่จะดีกว่าไหมถ้าหันมาดูแลสุขภาพผิวพรรณด้วยวิธีธรรมชาติ ตามคำแนะนำของ ผศ.พญ.สุวิรากร ที่เคยบอกไว้ด้วยความหวังดี เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเสี่ยงเป็นผิวไหม้ และแผลติดเชื้อจนลุกลามเป็นมะเร็งจาก "น้ำยาลอกผิว"


เริ่มจาก 1. ควรรับประทานผัก ผลไม้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินสูง เพราะอาหารที่มี น้ำตาลมากทำให้เกิดสิว 2. อย่าอดนอน เพราะการนอนดึกเป็นปัจจัยทำให้เกิดสิวได้ง่าย 3. ปรับอารมณ์ให้ดี ไม่เครียดมาก 4. การขับถ่ายให้เป็นเวลา บางคนขับถ่ายไม่ออกแสดงว่ากินน้ำน้อย กินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย การเก็บของเสียไว้อยู่ข้างในทำให้มีสารพิษต่างๆ ซึ่งไม่ดีต่อร่างกาย และ 5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการอยู่ในที่ที่มีมลภาวะ เพราะทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ส่งผลเสียต่อผิวพรรณตามมา


ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live



มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...

Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015

รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น