ครอบครัวยากจนในประเทศโลกที่ 3 สมัยนี้ แม่ต้องยอมบากหน้าไปกู้เงินมาเพื่อซื้อโทรศัพท์ให้ลูก เพราะลูกบอกว่าถ้าไม่มี ไอโฟนจะไม่ยอมไปโรงเรียน สะท้อนให้เห็นว่าค่านิยมของเด็กสมัยนี้ ที่ยึดติดวัตถุทุนนิยมสร้างภาพจนเกินไป ทำให้เกิดคำถามตามมาหากได้ ไอโฟนแพงๆ มาใช้ เด็กจะใช้มันคุ้มหรือไม่? หรือสรุปแล้วทั้งหมดทั้งมวลไอโฟนกำลังจะกลายเป็นเทรนด์ของคนยุคนี้ไปเสียแล้ว!
รักลูกไม่ถูกทาง!
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศโลกที่สาม อย่างไทย เวียดนาม ที่ประชาชนไม่มีกินแต่ก็หลงใหลไปกับวัตถุนิยมด้วย! ล่าสุดเกิดเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจขึ้นกับครอบครัวหนึ่งในประเทศเวียดนาม หลังจากลูกบังเกิดเกล้าขู่แม่ของตัวเองว่าหากไม่ซื้อโทรศัพท์ไอโฟนให้จะไม่ยอมไปโรงเรียน โดยเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่โดยเฟซบุ๊ก "Viroj Tuntikula" เผยให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรุ่น iPhone 5s อยู่ที่ร้านขายโทรศัพท์แห่งหนึ่ง
โดยที่เจ้าของภาพระบุว่านี่เป็นภาพของคุณแม่รายหนึ่งที่ต้องบากหน้าไปกู้เงินมา เพื่อซื้อโทรศัพท์ให้ลูกเพราะลูกบอกว่าถ้าไม่มีไอโฟนจะไม่ยอมไปโรงเรียน หลังจากเรื่องราวนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนั่นทั่วโลกออนไลน์ ผู้ใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย ต่างเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นกันมากมาย บ้างก็ว่าสงสารคุณแม่รายนี้ พร้อมทั้งต่อว่าการกระทำของเด็กคนดังกล่าว บ้างก็ว่าเด็กคนนั้นน่าจะเลือกไปโรงเรียนแล้วเก็บเงินซื้อโทรศัพท์ด้วยตัวเอง
“ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เอารางวัลลูกทรพีแห่งปีไปครองเลยครับ จริงๆ ป้าก็ต้องโทษตัวเองด้วยที่เลี้ยงลูกผิดวิธีแบบนี้ ย้ำว่าถ้าคือเรื่องจริงก็สมควรโดนด่าทั้งแม่ทั้งลูก”
“ที่บ้านเราคงโดนด่าเละค่ะ อดข้าวประท้วงแม่ก็ไม่ซื้อให้หรอก อยากได้เก็บตังค์ซื้อเองหรือหาเอาเอง หรือไม่ก็ทำอะไรดีๆ แม่ถึงค่อยซื้อของดีๆ เป็นของตอบแทนความขยัน ไม่ใช่ให้ลูกมาขู่แบบนี้ เลี้ยงลูกแบบนี้เรากลัวว่านอกจากลูกไม่สำนึกแล้วยังได้ใจ แถมอนาคตโตขึ้นเราว่าเด็กประเภทนี้แหละจะทิ้งพ่อแม่ ไม่ยอมดูแล”
“ถ้าเด็กมันมองว่าอยากได้สมาร์ทโฟนมาใช้งาน มันมีรุ่นอื่นที่ใช้งานได้เหมือนกันราคาถูกกว่า แต่ถ้าเด็กมันมองว่าอยากได้เพราะมันคือแฟชั่น เพื่อนๆ มีกัน รุ่นหน้ามาใหม่ก็ต้องซื้อให้ใหม่ ไม่อย่างนั้นไม่ยอมเรียน ถ้าเด็กมันใฝ่ดีมันจะรู้เลยว่าพ่อแม่ลำบากแค่ไหน คงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก ส่วนแม่ก็รักลูกไม่ถูกทาง อนาคตที่ลำบากก็คือพ่อแม่อีกนั่นแหล่ะ”
“มีเครื่องโทรศัพท์ แล้วเด็กจะเก่งกว่าเพื่อนเหรอครับ นี่คือเด็กและวัยรุ่นไทย ที่กำลังตกลงในหลุมดำ อนาคตพวกเขาจะทำอะไรได้ในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีเป็นการคลั่งไอโฟนของหนุ่มวัย 30 ปี น้อยใจญาติไม่ยอมซื้อไอโฟนให้ จึงหนีออกจากบ้านปีนเสาส่งสัญญาณ สูงกว่า 100 เมตร หวังกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย จนต้องให้ญาตินำไอโฟนมาให้ จึงยอมลงมา
หรือเป็นข้อความที่มีการทวิตผ่าน ทวิตเตอร์ ของผู้ที่ใช้ชื่อว่า @motorcyrubjang เป็นการเขียนข้อความ เล่าเรื่องชีวิต ของลุงคนหนึ่งที่มีอาชีพขับจักรยานยนต์รับจ้าง หลังลูกชายขอเงินไปซื้อโทรศัพท์ไอโฟนพร้อมกับอ้างว่าถ้าหากซื้อยี่ห้ออื่น จะไม่สามารถต่อเน็ตที่ทางมหาวิทยาลัยได้ ลุงจึงยอมไปกู้เงินมาเพื่อมาซื้อโทรศัพท์ให้ลูก โดยต้องเสียดอกเบี้ยรวมกับเงินต้น วันละ 300 บาท
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตัวสะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า อิทธิพลของการใช้โทรศัพท์ไอโฟนเป็นค่านิยมของคนในยุคสมัยนี้ไปเสียแล้ว อีกทั้ง ยังสื่อได้ถึงหัวอกคนเป็นแม่ว่ารักลูกมากขนาดไหน แม้จะเป็นการรักที่ผิดวิธีไปบ้างก็ตาม
เพราะเด็กรู้ว่าไอโฟนดีที่สุด
ไอโฟน คือมือถือที่ดีที่สุดเป็นเหมือนศาสดาเด็กเขารู้ เขาก็เลยอยากได้ ส่วนการที่มือถือมีการตั้งราคาไว้สูงนั้นเป็นเพราะไม่ให้เกิดความแพร่หลายเหมือนอย่างแอนดรอยด์ พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ผู้คร่ำหวอดในวงการ IT กล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้กับทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live
“เด็กมันรู้ว่าไอโฟนดีที่สุด เพียงแต่ว่าราคามันก็ไม่ได้ดีที่สุดคือ ไอโฟนเป็นมือถือราคาแพง เพราะว่าแอปเปิลตั้งราคาไว้สูง เพราะว่าไม่ทำให้เกิดความแพร่หลายของแอนดรอยด์ คือแอนดรอยด์มันคิด 1 ครั้ง ยี่ห้อไหนเอาไปใช้ก็ได้ แต่แอปเปิลนี่คือเป็นเหมือนศาสดา มันต้องมีเป็นยี่ห้อของตัวเอง เพราะฉะนั้น ราคาก็ไม่เคยตั้งถูกเลย อย่างไอโฟน 5 ที่มีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่าจะถูกก็ไม่ถูก ในปัจจุบันเด็กก็คงพูดกันว่าแอปเปิลดีที่สุดก็เลยอยากได้บ้าง”
ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่เด็กที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี อย่างเด็กมัธยมก็ตาม เขาเหล่านั้นถือโทรศัพท์มือถือไอโฟนกันเป็นว่าเล่น แม้ว่าจะมีราคาที่แพงกว่ายี่ห้ออื่นๆ แต่พ่อ-แม่ก็ยอมควักเงินจ่ายให้ลูกอย่างไม่มีข้อกังขาเพื่อไม่ให้ลูกน้อยหน้าใคร จากประเด็นดังกล่าวนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า โทรศัพท์มือถือราคาแพงขนาดนี้เด็กจะใช้มันคุ้มหรือไม่? แล้วสรุป ณ ปัจจุบันไอโฟนกลายเป็นเทรนด์ของคนยุคนี้ไปแล้วหรือเปล่า?
“มันไม่คุ้มอยู่แล้วกับเด็ก เพราะเด็กเป็นผู้บริโภคโดยสมบูรณ์ เด็กไม่ได้เอาไปใช้งานในเชิงการสร้างผลผลิต เพราะฉะนั้น ในเชิงการเพิ่มมูลค่ากับสิ่งที่ซื้อมาเด็กทำได้น้อยกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว และยิ่งแหล่งที่มาของรายได้ยังไม่มี แหล่งที่มาของรายได้เป็นศูนย์ก็ต้องขอพ่อแม่ในการซื้อ ซึ่งไม่เหมาะสมทุกประการทั้งปวง มันไม่มีเหตุผลไหนจะซัปพอร์ตว่าคุณควรถือไอโฟนเลย
ถ้าจะพูดว่ามีสิจะได้เอาไปขายของทางไอจี มันคือเรื่องของอนาคตทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือเปล่า ในวันนี้เด็กก็จะมีวิธีการและเหตุผลเด็กๆ ที่ใช้บอกแม่ เช่น ซื้อมาก่อนและเดี๋ยวจะเอามาหาเงิน ขายของผ่านไอจี โอเคมันมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้แต่มันไม่ใช่ทุกคน เพราะเรียนหนังสือแต่ละคนยังเรียนได้ไม่เหมือนกันเลย
คนวิจารณ์เทคโนโลยี ผมต้องบอกตรงๆ ว่า ios มันเป๊ะกว่า มันเป๊ะกว่าคือเป็นมือถือที่ไม่ได้ออกบ่อย มันออกปีละครั้ง และการออกของมันด้วยความที่ฝั่ง ios ราคาเครื่องไอโฟนมันสูง เพราะฉะนั้น แอปฯ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกลงใน ios ก่อนลงในแอนดรอยด์ แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะปัจจุบันก็ออกพร้อมกันซะส่วนใหญ่”
สอดคล้องกับประเด็นดรามาเมื่อหลายวันก่อน โฆษณาดีแทคที่ออกแบบแนวคิดที่ใครๆ ก็ต้องใช้ไอโฟน ทันทีที่โฆษณาออนแอร์ โดนด่าเละจนต้องถอดออก และถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู เพราะโฆษณาชิ้นนี้สื่อให้เห็นถึงการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ และให้ตัดสินคนจากการใช้มือถือ ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าเด็กสมัยนี้ที่ยึดติดกับค่านิยม และอาจได้รับอิทธิพลมาจากสื่อโฆษณาก็เป็นได้
“โดยส่วนตัวคิดว่า การเปรียบคนด้วยฐานะมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่แล้ว ซึ่งโฆษณาตัวนี้ดีแทคเขาก็รู้สึกเสียใจแล้ว มันไม่ใช่แคมเปญใหญ่ แต่มันเป็นแคมเปญที่เขาลือกันในส่วนการตลาด มันเป็นแคมเปญเฉพาะในการตลาดที่เขาต้องการจะเร่งขายไอโฟนที่กำลังจะตกรุ่นในอีกไม่กี่เดือนนี้ เพราะของใหม่จะมาแล้ว เขาก็ต้องรีบเคลียร์ ซึ่งเขาทำแบบนี้ทุกปี ทุกค่าย ก็ต้องเร่งเอาไอโฟนมาลด แลก แจก แถม แต่ว่าด้วยวิธีการของแต่ละค่ายก็อาจจะตีความออกมาได้ไม่เหมือนกัน
ผมในฐานะแนะนำเรื่องเทคโนโลยีก็ต้องบอกว่า ไอโฟนมันเป๊ะที่สุด มันดีที่สุด แต่ราคาเมื่อเทียบกันกับความคุ้มค่าเงินบาท มันยังมีแอนดรอยด์อื่นๆ ที่คุ้มค่าเงินบาทกว่าเยอะ มันไม่ได้แปลว่าความดีที่สุดมันจะคุ้มค่าที่สุด เพราะว่าดีที่สุดมันก็มาด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่แพง ฉะนั้น ในสเปกใกล้เคียงกันเราอาจจะได้แอนดรอยด์ราคาที่ถูกว่า เราก็สามารถซื้อได้ แต่ว่าความเป็น ios มันไม่เข้าใครออกใคร คือมันเป็นเฉพาะยี่ห้อแอปเปิลเท่านั้น มันเลยทำให้เป็นส่วนต่างและอาจจะเป็นค่านิยมที่พูดกันว่าไอโฟนดีที่สุด”
ยุคนี้..พ่อแม่ต้องเข้มแข็ง
เพราะเด็กสมัยนี้ก็ติดต่อสื่อสารกันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก แน่นอนต้องมีการแข่งขันระหว่างเด็กด้วยกันเอง เด็กอาจจะคิดไม่ได้หรือคิดน้อยเกินไป ดังนั้น การเลี้ยงดูลูกในยุคไอทีต้องอย่าตามใจมากจนเกินไปเพราะจะยิ่งกลายเป็นปัญหา ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร อาจารย์ประจำภาควิชาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ช่วยวิเคราะห์เพิ่มเติม
“เอาที่ตัวแม่ก่อนนะครับ การดูแลเลี้ยงดูลูกในยุคไอที ยุคข้อมูลข่าวสาร จะตามใจลูกเยอะมากไปโดยที่สาเหตุอาจจะเกิดจากเขาต้องทำงาน หาเงิน เลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงดูลูก บางทีก็ปล่อยให้ลูกอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปดูในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพราะเด็กสมัยนี้ก็ติดต่อสื่อสารกันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ต้องบอกเลยว่าครอบครัวในยุคปัจจุบันค่อนข้างอ่อนแอลงมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่พ่อ แม่ ลูก มีความใกล้ชิดกัน และมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่มันเริ่มจากครอบครัว มันทำให้เด็กมีความรู้สึกนึกคิดที่มีเหตุมีผล แต่พอมาในยุคนี้ต้องบอกว่าครอบครัวอ่อนแอ ซึ่งมันเกิดขึ้นจากสังคมที่เปลี่ยนไป พ่อแม่มีเวลาดูลูกน้อยลง ปล่อยให้ลูกอยู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่”
ทางออกที่ดีของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือการใช้เหตุผลคุยกัน เพราะโทรศัพท์ที่แพงและดีที่สุด มันอาจจะไม่จำเป็นต่อชีวิตของเราเลยด้วยซ้ำ และนี่ถือเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ที่พ่อ-แม่ควรทำ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตของลูกในภายภาคหน้า ดังเช่น คำกล่าวที่ว่า ‘พ่อแม่รังแกฉัน’
“แม่ต้องรู้เท่าทัน ถ้าลูกต่อรองแบบนี้แล้วแม่ยิ่งไปตามใจมันจะยิ่งกลายเป็นปัญหา มันจะยิ่งมีการต่อรองไปเรื่อยๆ ฉะนั้น แม่ต้องเข้มแข็งและต้องคุยกับลูกด้วยเหตุด้วยผลว่า การมีเครื่องไม้เครื่องมือ โทรศัพท์รุ่นใหม่ต่างๆ มันจำเป็นแค่ไหนกับชีวิตของเรา มันจะมีระหว่างเด็กด้วยกันเองก็มีสิ่งที่แข่งขันกันเอง ในกลุ่มเพื่อนจะมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ มาอวดกัน เด็กก็อาจคิดไม่ได้เลยอยากมีบ้างจึงเกิดการต่อรองกับพ่อแม่
ในประเด็นแบบนี้พ่อแม่ต้องเข้มแข็งและคุยกับลูกด้วยเหตุผล ผมคิดว่ามันคือกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่มันเริ่มจากครอบครัว พ่อแม่ต้องเท่าทันและอย่าเลี้ยงลูกโดยปล่อยให้ลูกอยู่เองกับเทคโนโลยี และมันเป็นอันตรายกับการดำรงชีวิตของลูกในระยะยาวด้วยนะครับ ถ้าลูกมาต่อรองกับพ่อแม่ได้แล้วพ่อแม่ตามใจ ต่อไปเขาเติบโตขึ้นไปในสังคมมันก็จะทำให้เขาต่อรองกับคนอื่นๆ ซึ่งบางทีมันไม่มีเหตุผล”
อย่าปล่อยให้ลูกอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป สอนลูกว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของมัน และไม่ใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิด อาจารย์ประจำภาควิชาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม กล่าวทิ้งท้าย
“ต้องคุยกันในครอบครัวครับ แล้วพ่อแม่ต้องอย่าปล่อยให้ลูกไปอยู่ในมุมของเทคโนโลยีที่ควบคุมไม่ได้มากเกินไป ต้องดูแลให้ใกล้ชิดและคุยกัน คือการไปห้ามไม่ให้เล่นเลย ไม่ให้ติดต่อสื่อสารกับใครเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าต้องมีกติกา วันละกี่ชั่วโมง ต้องสอนเขาไปด้วยว่า เทคโนโลยีเหล่านี้มันสร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกมนุษย์ แต่เราต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของมันในการใช้ไปในทางที่ผิด ควรใช้ไปในเรื่องของการเรียนรู้ ศึกษา หาข้อมูล มันจะเป็นประโยชน์มากกว่าจะใช้ไปในทางที่ไม่มีสาระ”
ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive
ภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก Viroj Tuntikula , เฟซบุ๊ก 5facevn, www.oknation.net, www.bangkokvoice.com,
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754