จากเหตุสลดฟ้าผ่าดับสยอง หญิงสาวรายหนึ่งขณะซ้อนท้ายจักรยานยนต์ และมีผู้บาดเจ็บ 2 คน คือ น้องชายผู้ตายเป็นคนขับ และลูกชายวัย 4 ขวบ บริเวณถนนเลียบคลองห้า หมู่ 13 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ลัดที่ตัดไปทุ่งนาเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาตรวจสอบ พบตามลำตัวผู้ตายมีรอยไหม้ดำ เบาะรถมีการฉีดขาดจากรอยไหม้ของกระแสไฟฟ้าแรงสูง โดยมีการสันนิษฐานเบื้องต้นว่า สาเหตุหลักเชื่อว่าน่าจะเป็นชุดชั้นในหรือตะขอยกทรงโครงเหล็ก เป็นชนวนสื่อให้เกิดฟ้าผ่าคร่าชีวิตของเธอ
ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้ผ่านเฟชบุ๊ค “Jessada Denduangboripant” ว่า ยกทรงโครงเหล็กไม่ได้ล่อฟ้าผ่า มอเตอร์ไซค์ทั้งคันยังน่าห่วงกว่า
ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องใส่สร้อยโลหะจะล่อฟ้าผ่า หรือแม้แต่ใส่ยกทรงเสริมโครงเหล็กจะล่อฟ้าผ่า คงเป็นความเชื่อที่ฝังใจคนไทยมานาน จนมีข่าวแบบนี้ออกมา ทั้งที่ถ้าฟ้าจะผ่าโลหะ มอเตอร์ไซค์ที่เป็นโลหะก้อนใหญ่มากนั้นน่าจะเป็นตัวล่อฟ้าที่ดีกว่ายกทรงมาก
“จริงๆ แล้ว การที่เราไปอยู่โดดเด่นโดดเดี่ยวอยู่กลางที่โล่งต่างหาก เช่น หลบฝนใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือ ขี่มอเตอร์ไซค์กลางฝนคันเดียวอย่างนี้ ที่ทำให้เรามีโอกาสถูกฟ้าผ่าได้ง่าย”
ที่เกิดความเชื่อเรื่อง "ยกทรงโครงเหล็กล่อฟ้า" มาจากข่าวตั้งแต่ปี 2542 ที่มีหญิงไทยถูกฟ้าผ่าที่อังกฤษขณะหลบฝน ซึ่งฟ้าน่าจะผ่าลงมาที่ต้นไม้ แล้วกระแสไฟฟ้าไหลไปตามกิ่งก้าน ไปโดนสาวเคราะห์ร้ายที่แตะลำต้น หรือไหลแลบออกมาด้านข้างต้น มาโดนจนถึงแก่ความตายได้จากนั้น กระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าได้ทำให้เส้นลวดในยกทรงร้อนขึ้น จนทำให้ผิวหนังที่สัมผัสกับลวดเกิดเป็นรอยไหม้ เลยทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าฟ้าตั้งใจผ่าที่ยกทรง
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากสภาวิศวกรที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ฟ้าผ่า http://www.coe.or.th/e_engineers/knc_detail.php?id=35 ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ว่า
ข้อเท็จจริงที่ควรรู้
ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าในอากาศมีอย่างน้อย 4 แบบหลัก ได้แก่
1. ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ ฟ้าผ่าแบบนี้เกิดมากที่สุด และทำให้เมฆเปล่งแสงกะพริบที่คนไทยเราเรียกว่า “ฟ้าแลบ” นั่นเอง
2. ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่ง
3. ฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้น เป็นการปลดปล่อยประจุออกจากก้อนเมฆจึงเรียกว่า ฟ้าผ่าแบบลบ (Negative Lightning) ซึ่งเป็นฟ้าผ่าที่อันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนพื้น โดยจะผ่าลงบริเวณ “ใต้เงา” ของเมฆฝนฟ้าคะนองเป็นหลัก
4. ฟ้าผ่าจากยอดเมฆลงสู่พื้น เป็นการปลดปล่อยประจุบวกจากก้อนเมฆจึงเรียกว่า ฟ้าผ่าแบบบวก (Positive Loghtning) สามารถผ่าได้ไกลจากก้อนเมฆได้ถึง 30 กิโลเมตร นั่นคือ แม้ท้องฟ้าเหนือศีรษะของเราจะดูปลอดโปร่ง แต่เราอาจจะถูกฟ้าผ่า (แบบบวก) ได้ หากมีเมฆฝนฟ้าคะนองอยู่ห่างไกลออกไปในระยะ 30 กิโลเมตร อันเป็นที่มาของคำว่า “ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ” ซึ่งเป็นฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้คาดคิดนั่นเอง
ฟ้าผ่าผลกระทบต่อชีวิตคน
ข้อมูลจาก นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า ผู้ถูกฟ้าผ่าประมาณ 1/3 หรือร้อยละ 30 เสียชีวิตในที่เกิดเหตุส่วนที่รอดจะมีความพิการถาวรจากการถูกทำลายระบบประสาท เช่น อัมพาต ตาบอด หูหนวก เป็นต้น
ไฟฟ้าจากฟ้าผ่า มีแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 100 ล้านโวลต์มีกระแสไฟฟ้าประมาณ 25-250 กิโลแอมแปร์ (KA) มีอุณหภูมิประมาณ 15,000 องศาเซลเซียส มีความเร็วประมาณ 1/10 ของความเร็วแสง สามารถวิ่งผ่านร่างกายด้วยเวลาเพียง 1/10,000-1/1,000 วินาที จึงส่งผลต่อการเต้นของหัวใจและการทำงานของระบบประสาท
ทำไมจึงห้ามหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ในระหว่างที่เกิดฝนฟ้าคะนอง?
- เมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไปแตะโดยต้นไม้ จะทำให้กระแสไฟฟ้าวิ่งเข้า ณ จุดสัมผัสโดยตรง
- หากอยู่ใต้ต้นไม้ กระแสไฟฟ้าอาจ “กระโดด” เข้าสู่ตัวคุณทางด้านข้างได้ เรียกว่า ไซด์แฟลช (side Flash) หรือกระแสไฟฟ้าแลบจากด้านข้าง
- แม้จะยืนห่างจากต้นไม้พอสมควร ก็ยังมีโอกาสที่กระแสไฟฟ้าซึ่งวิ่งลงมาตามลำต้นจะไหลลงมาที่โคนต้นแล้วกระจายออกไปตามพื้นโดยรอบกระแสไฟฟ้าไหลตามพื้น (Ground Current) นี้เกิดจาก แรงดันไฟฟ้าช่วงก้าว (step Voltage) และสามารถทำอันตรายคนและสัตว์ที่อยู่ในบริเวณที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ (คนหรือสัตว์ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตใกล้ต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจะเกิดจากสาเหตุนี้)โทรศัพท์มือถือ MP3 ตะกรุด สร้อย แหวน ฯลฯ เป็นสื่อล่อ “ฟ้าผ่า” หรือไม่?
ข่าวกรณีฟ้าผ่าจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งในไทยและต่างประเทศ มักถูกระบุว่าโทรศัพท์มือถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องประดับที่ทำจากโลหะเป็นสื่อล่อให้เกิดฟ้าผ่าแต่ความจริงแล้วชิ้นส่วนโลหะขนาดเล็กไม่ใช่ตัวล่อฟ้าผ่าแต่อาจจะมีผลกระทบข้างเคียงได้หากคุณถูกฟ้าผ่า หรืออยู่ใกล้บริเวณที่ถูกฟ้าผ่า
ทั้งนี้ เนื่องจากฟ้าผ่าทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กแผ่ออกโดยรอบ ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้สามารถทำให้เกิดกระแสเหนี่ยวนำ (induced Current) ขึ้นในโลหะ ส่งผลให้โลหะร้อนขึ้น และทำให้เกิดรอยไหม้บนผิวหนังที่โลหะนั้นสัมผัสอยู่ (ในสหรัฐอเมริกามีกรณีที่เกิดฟ้าผ่าลงบนต้นไม้ใกล้ๆ บ้าน และทำให้เด็กที่ใส่ลวดดัดฟันได้รับอันตราย เนื่องจากลวดดัดฟันร้อนขึ้นและในรัสเซีย มีกรณีที่โทรศัพท์มือถือละลายคามือผู้หญิงที่ถูกฟ้าผ่า) ในกรณีที่โชคร้ายกว่านั้นหากระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกาย ก็เป็นไปได้ว่ากระแสส่วนหนึ่งจะไหลเข้าสู่เส้นลวดหรือโลหะ ทำให้โลหะร้อนขึ้น เกิดเป็นรอยไหม้ที่ผิวหนังและทำให้เกิดการบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น
คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยจากฟ้าผ่า
หลีกเสี่ยงการอยู่ที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา สนามฟุตบอล สระน้ำ สนามกอล์ฟ ฯลฯ หากเลี่ยงไม่ได้ให้ปฏิบัติดังนี้
- อย่าอยู่รวมกลุ่ม
- อย่าอยู่ใต้ต้นไม้ (โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ที่อยู่โดดเดี่ยวในที่โล่งหากมีต้นไม้เป็นกลุ่มให้เลือกต้นไม้เตี้ย)
- อย่าอยู่ในที่สูง หรือถือวัตถุที่ชูสูงขึ้นไป เช่น ร่ม เบ็ดตกปลา
- ถอดวัตถุหรือเครื่องประดับที่เป็นโลหะออกจากร่างกาย
- อย่าอยู่ในสระน้ำหรือแหล่งน้ำ
- อย่างอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ
- หลีกเลี่ยงวัตถุที่เป็นโลหะ
ท่านั่งลดอันตราย (กรณีอยู่ที่โล่งแจ้ง)
นั่งยองๆ เท้าชิด มือปิดหู (เพื่อป้องกันเสียง) เขย่งปลายเท้า อย่างนอนราบ เพื่อลดความเสี่ยงกรณีกระแสไหลมาตามพื้น
กรณีอยู่ในรถ ให้จอดรถ อย่าสัมผัสส่วนที่เป็นโลหะ (ให้นั่งกอดอกหรือวางมือบนตัก) ปิดหน้าต่างทุกบาน อย่าจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์แฮนด์ฟรี รถเปิดประทุนหรือรถที่หลังคาไม่ใช่โลหะไม่ปลอดภัย
กรณีอยู่ในอาคาร ให้ปิดประตูและหน้าต่าง ห้องชั้นในปลอดภัยกว่าห้องที่มีทางออกภายนอก อาคารที่มีสายล่อฟ้าปลอดภัยกว่าอาคารที่ไม่มี
- หลีกเลี่ยงจุดที่ไฟสามารถวิ่งเข้าถึงได้ผ่านทางสายไฟ สายอากาศ สายโทรศัพท์ และท่อน้ำ เช่น อ่างล้างหน้า ฝักบัว
- ถอดสายไฟ สายอากาศ สายโทรศัพท์ สายโมเด็ม ก่อนเกิดฝนฟ้าคะนอง อย่างทำเมื่อเกิดแล้ว
- อยู่ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสาย
- อย่าใช้โทรศัพท์จะทำให้กระแสไฟฟ้าวิ่งมาตามสายโทรศัพท์เข้าทำอันตรายผู้ใช้โทรศัพท์ได้โดยตรง
สัญญาณเตือน...จากร่างกายของเรา
เมื่อรู้สึกว่าเส้นขนบนผิวหนังลุกขึ้นหรือถึงขนาดเส้นผมศีรษะลุกตั้งขึ้น ก็แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า เนื่องจากเส้นขนและเส้นผมของคุณกำลังถูกเหนี่ยวนำอย่างแรง
วิธีพยาบาลผู้ถูกฟ้าผ่า
1. ก่อนอื่นให้สังเกตว่า ในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องทำการเคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันตัวเราเองจากการถูฟ้าผ่า
2. เราสามารถแตะต้องตัวผู้ถูกฟ้าผ่าได้ทันที เนื่องจากคนที่ถูกฟ้าผ่าไม่มีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ในตัว ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าเราจะถูกไฟฟ้าดูด (ต่างจากกรณีคนที่ถูกไฟฟ้าดูด)
3. การปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกฟ้าผ่า จะใช้วิธีเดียวกับผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อตซึ่งฝ่ายป้องกันอุบัติภัย การไฟฟ้านครหลวง ได้แนะนำวิธีปฐมพยาบาลในเอกสาร “ขั้นตอนผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้า โดยการทำ CPR” ว่า
หากผลได้รับบาดเจ็บหมดสติไม่รู้ตัว หัวใจหยุดเต้น และไม่หายใจ ซึ่งสังเกตได้จากอาการที่เกิดขึ้น คือ ริมผีปากเขียว สีหน้าซีดเขียวคล้ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมากหรือไม่เคลื่อนไหว ชีพจรบริเวณคอเต้นช้าและเบามาก ถ้าหัวใจหยุดเต้นจะคล้ำชีพจรไม่พบม่านตาขยายค้างไม่หดเล็กลง หมดสติไม่รู้สึกตัว ต้องรีบทำการปฐมพยาบาลทันที เพื่อให้ปอดและหัวใจทำงาน โดยวิธีการผายปอดด้วยการให้ลมทางปาก หรือที่เรียกว่า “เป่าปาก” ร่วมกับนวดหัวใจ
โดยวางมือตรงกึ่งกลางลิ้นปี่เล็กน้อย ถ้าทำการปฐมพยาบาลคนเดียวให้นวดหัวใจ 15 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง ถ้าทำการปฐมพยาบาลสองคน ให้นวดหัวใจ 5 ครั้งสลับกับการเป่าปาก 1 ครั้ง ก่อนนำผู้ป่วยส่งแพทย์ต่อไป
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754