ด้วยการเป็นนักปั่นผู้มีฝีเท้าดี พร้อมกับดีกรีก่อนเข้าสู่วงการที่ไม่เหมือนใคร M-Lite จึงไม่อาจปล่อยให้ มิ้นท์ วณิชชา กาญจนอภิรักษ์ แซงหน้าไปเฉยๆ ได้ ขอเพิ่มดีกรีความฮา บ้าบิ่น แล้วอัดพลังให้สุดแข้งไปพร้อมๆ กับสาวหน้าหวานคนนี้ บนเส้นทางที่คัดเฉพาะคนรักเส้นชัย อย่างที่หุ่นเพรียวบางฉายา "มิยาบิ" อย่างเธอหันมาตะโกนบอกกันไว้ "จะไม่ยอมแพ้ ไม่มีทางยอมแพ้อยู่แล้ว"
สายเลือดนักแข่ง
"ตั้งแต่เด็กๆ มิ้นท์ก็เป็นนักกีฬากรีฑาของโรงเรียนแล้วค่ะ ทุกๆ เย็นหลังเลิกเรียนจะต้องมาซ้อมกับโค้ช เรียกว่าซ้อม ค่อนข้างหนัก เหมือนชีวิตนักกีฬาจริงๆ เลย มีตั้งแต่วิ่งยกดัมเบล ผูกถุงทรายไว้ที่ข้อเท้าเพื่อเพิ่มความอดทนของกล้ามเนื้อ ซ้อมวิ่งกระโดดรั้ว ไปจนถึงใช้ยางรถบรรทุกผูกกับเอวแล้ววิ่งเลยค่ะ ถึกมาก" เจ้าตัวย้อนอดีตให้ฟังอย่างเริ่งร่า ทว่ายังมีความตื่นเต้นแฝงอยู่ในน้ำเสียง
จากนั้นการฝึกฝนอย่างเคี่ยวกรำในวัยเด็ก ก็ช่วยนำชีวิตผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปสู่การแข่งขันเรื่อยมา ทั้งแข่งกรีฑาในนามเขต นามโรงเรียน นามจังหวัด จนได้ผ่านเข้ารอบไปคัดตัวต่อถึงระดับภาค ทำให้ดีกรีรางวัลชนะเลิศมากมายกลายเป็นบันไดไต่เต้าสู่จุดหมายที่นักกีฬาเยาวชนหลายๆ คนฝันใฝ่ นั่นก็คือ "คัดตัวดาวรุ่งมุ่งสู่โอลิมปิก"
"แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ไปถึงจุดตัวแทนของประเทศ เพราะมิ้นท์แค่อายุ 13 ปี ต้องไปแข่งกับพี่ๆ เยาวชนในรุ่น 18 ปี แต่ก็คว้าที่ 4 มานะคะ นอกจากการวิ่ง กีฬาอื่นๆ อย่างขว้างจักร กระโดดสูง และกระโดดไกล มิ้นท์ก็ไปแข่งมาค่ะ เรียกว่าเอาทุกอย่างเลย (หัวเราะ) ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจของตัวเอง แบบไม่เคยลืมเลยค่ะ"
เมื่อผลงานออกมาดี จนมีโค้ชต่างโรงเรียนต่อคิวทาบทาม เธอจึงหลงใหลการวิ่งไปโดยปริยาย หนำซ้ำเจ้าตัวยังบอกอีกว่า "การวิ่งนี่แหละเจ๋งสุดๆ" ไม่เพียงจะช่วยให้สุขภาพดี ยังทำให้ผู้เล่นเกิดสมาธิซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องเรียน และชีวิตประจำวันได้ต่อ ที่สำคัญ ยังรู้ซึ้งถึงคำว่า "เพื่อน" เพราะการแข่งกรีฑา คือเกมกีฬาที่ศัตรูไม่ใช่ผู้แข่งขันรอบข้าง แต่เป็นหัวใจของตัวเอง
"ยิ่งอดทนหมั่นฝึกฝนเท่าไหร่ โอกาสคว้าชัยก็เยอะขึ้นเท่านั้นค่ะ แต่ที่มิ้นท์คิดว่าตัวเองได้อะไรดีๆ จากการวิ่งเลยก็คือ ความสนุก ซึ่งมันเป็นความสนุกที่เราได้อยู่กับเพื่อนๆ ค่ะ เพราะนักกรีฑาเวลาที่จะต้องไปแข่ง โค้ชก็จะพากันออกไปตามต่างจังหวัด ฝึกซ้อม เก็บตัว พักผ่อน ต้องไปค้างด้วยกันหลายๆ คืน เป็นช่วงที่สนุกกันมากเลยตอนนั้น ตามประสาเด็กๆ และที่มันมากกว่าการแข่งขันคือการไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นั่นเอง ไปเปิดหู เปิดตา ไปดูโลก สัมผัสอะไรใหม่ๆ ค่ะ"
ถึงจะหลงรักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ แต่ในที่สุด เมื่อกระจกเงามันกระซิบบอกเบาๆ ว่า "อื้อหือ ยัยมิ้นท์ เธอจะดำถึกไปไหนเนี่ย" บวกกับการอยากโฟกัสเวลาไปที่เรื่องเรียน ช่วงเข้าสู่วัยรุ่น เธอจึงเริ่มถอยห่างจากกิจกรรมกีฬาทุกประเภท ถึงขั้นขอย้ายโรงเรียนหนี เพราะโค้ชและครูจะไม่ยอมให้เลิกวิ่ง หันมาเป็นคนใส่ใจตัวเอง รักสวยรักงาม เล่นกีฬาในที่ร่มอย่างโยคะ และเวทเทรนนิ่งเบาๆ แทน “มิ้นท์กลัวไม่สวยนั่นเอง” อดีตสาวน้อยนักกรีฑาแสยะยิ้มเขิลๆ
จักรยานเยียวยา(ใจ)
คงเป็นเรื่องยากทำใจ ถ้าวันหนึ่งคนที่ทำให้ตกหลุมรักจักรยาน คือคนเดียวกันกับที่พาหัวใจออกไปจากร่าง และเหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงชื่อมิ้นท์ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตอนที่เธอโบกมือลาบ้านเกิด ด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงลำพัง ดังนั้นการมีคนเข้าใจ คอยให้คำปรึกษายามท้อแท้ ถือเป็นยาบำรุงได้ดีในวันไกลบ้าน เธอจึงตกลงคบหากับชายคนหนึ่ง ซึ่งคนๆ นั้นดันปั่นจักรยาน
"พอเห็นแฟนชอบปั่นจักรยาน เห็นเขาทำอะไรที่ตัวเองชอบ ก็เลยอยากให้เขามีโมเมนต์ดีๆ กับเราในสิ่งที่เขารัก จึงลองมาปั่นกับเขาค่ะ แล้วด้วยความที่เรามีทักษะทางกีฬาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำได้ค่อนข้างดี เลยสนุกกับมันและก็ชื่นชอบมาก แบบว่า เมื่อก่อนเวลาเราไปเที่ยวต่างจังหวัด เราก็จะขับรถไป พอถึงที่พักเราก็จะมีปาร์ตี้ ทานข้าว คุยกันเฮฮา แต่พอมีจักรยานเข้ามาในชีวิต พี่ๆ เพื่อนๆ ที่สนิทๆ กัน ก็เป็นคนชอบปั่นจักรยานเหมือนกันค่ะ เวลาไปเที่ยวกันจึงแพ็กจักรยานไปกันด้วย เจอถนนไหนเส้นทางน่าปั่น ก็จอดลุยเลยค่ะ”
จากนั้นจักรยานคู่ใจก็เริ่มพาชีวิตรักทั้งคู่ออกท่องโลกกว้างไปด้วยกัน การได้สูดโอโซนเต็มปอดตามต่างจังหวัดกับคนรู้ใจนี่ช่างวิเศษสุด ภูเขาและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ริมสองข้างทาง ยังเป็นความสุขสบายที่ยากจะบรรยาย ใครเล่าจะเข้าใจหัวอกของคนที่เคยออกเดินทางไกลด้วยรถถีบสองล้อ "หนึ่งหลังอานพาชีวิตสองเราไปไกล ได้เท่าที่อยากจะไป"
เหมือนจะลงเอยกันได้ด้วยดี แต่แล้ว! เสียงดนตรีเพลงเศร้าก็ดังแว่วมาดื้อๆ เมื่อชายที่เธอรักขอเปลี่ยนไปขี่มอเตอร์ไซค์ "ไม่ใช่ละ เค้าขอมิ้นท์เลิก" เจ้าตัวรีบแย้ง สาวน้อยรายนี้จึงรู้สึกว้าเหว่ หมดหวัง เพราะที่พึ่งทางใจในวันที่ไม่เหลือใครดันด่วนแยกทาง แทบทุกๆ วันเธอจึงต้องนำปัญหาไปปรึกษาขวดเหล้า ตามประสาวัยรุ่นที่กำลังอินกับฟิวส์เฮิร์ตๆ
"เพราะคิดว่ากลางคืนมันโหดร้ายมากสำหรับคนที่สภาจิตใจอ่อนแอ แล้วยิ่งมิ้นท์ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องเจอกับคืนโหดร้ายแบบนี้ หลังเลิกกับแฟน ก็เลยใช้วิธีเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ เลย ที่เวลาอกหักก็มักจะหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้เราลืม ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือการไปสนุก ออกไปปาร์ตี้ ดื่มแฮลกอฮอล์ที่จะทำให้สามารถลืมได้ชั่วขณะ แต่พอเที่ยวกลางคืนมาเรื่อยๆ จู่ๆ ก็นึกได้ว่า ในเมื่อมันโหดร้าย ในเมื่อมีคนทำร้ายเรา แล้วทำไมเรายังต้องมาทำร้ายตัวเอง”
ทันทีที่ฉุกคิดได้ว่า "ถ้ามัวคิดว่าชีวิตมันแย่ นั่นเท่ากับ กำลังเพิ่มความแย่ให้ชีวิตตัวเอง" อนาคตนางฟ้าฉายา "มิยาบิ" อย่างวันนี้ จึงลุกขึ้นปาดน้ำตา พร้อมกับหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจักรยานคู่ใจที่เจ้าตัวปล่อยทิ้งไว้จนฝุ่นจับ เพื่อบอกกับมันว่า “ไม่มีเขา เราก็ยังมีเธอ” นับจากวันนั้น จุดเริ่มต้นของการปั่นจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
“ก็เลยปั่นจักรยานคนเดียวมาตลอดเลยช่วงนั้น ปั่นไปมองชีวิต มองผู้คน ปั่นไปปล่อยความรู้สึก บวกกับช่วงนั้นมีการชุมนุมทางการเมือง การปั่นตอนกลางคืนจึงมีคนเยอะ ค่อนข้างปลอดภัยค่ะ อีกนัยหนึ่งมิ้นท์แอบไปเข้าร่วมชุมนุมกับเค้ามาด้วย (หัวเราะ) แล้วมันก็ช่วยได้จริงๆ นะ พอปั่นจักรยานกลับมาถึงห้อง ด้วยความที่ค่อนข้างเหนื่อยแล้ว เลยทำให้นอนหลับได้ดี ลืมทุกอย่างหมดเลย โดยไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์เลยค่ะ แถมยังได้ถ่ายรูปที่กับสถานที่ต่างๆ ที่เราไปลงเฟซบุ๊กกับไอจีอีก”
กระทั่งภาพถ่ายเหงาๆ คู่เพื่อนรักสองล้อที่เจ้าตัวหมั่นอัพสู่โลกออนไลน์ ก็ดันไปสะกิดใจใครบางคนในเพจ จักรยานดังอย่าง Ride for eat เข้า
บททดสอบนางฟ้า
"มีพี่ที่ตามไอจีมิ้นท์คนหนึ่ง มาชวนไปเข้ากรุ๊ปนั้น เขาบอกว่าจะได้ไม่เศร้า เราก็เลยลองไปดูค่ะ พอไปร่วมทริปกับ Rfe วันแรก ก็เจอกับพี่คนที่ชวนเลย คือพี่ยุ้ย พี่เขาน่ารักมาก เจอวันแรกก็เฟรนลี่เหมือนสนิทกันมานาน และตอนนี้พี่ยุ้ยก็เปรียบเสมือนแม่ที่คอยรับฟังและให้คำปรึกษากับมิ้นท์ทุกๆ เรื่อง ทุกวันนี้มิ้นท์เลยเรียกพี่ยุ้ยว่าแม่ยุ้ยค่ะ เป็นคู่แม่ลูกที่ฮาและบ้าๆ บอๆ มากๆ เวลาเจอกัน ตั้งแต่วันนั้นเลยมาเข้าทริปกับ Rfe เป็นประจำเลยค่ะ”
ไม่นานการไปร่วมในทริปสองน่องกับมิตรภาพครั้งใหม่ ก็พานให้ทักษะความอึด และอดทนอันส่งผลมาจากการเป็นอดีตนักกีฬาของเธอ ฉายชัดสู่สายตาคนรอบข้าง จนรู้ไปถึงหูผู้จัดการทีมแข่งขันชื่อดังแห่งวงการจักรยานอย่าง BG media ผู้มอบโอกาสให้เธอได้เข้ามาเป็น 1 ใน 10 นักปั่นสาวประจำทีม ที่เฟ้นหาเฉพาะนักปั่นหญิงฝีเท้าระดับพระกาฬจริงๆ เพื่อลงแข่งขันตามงานปั่นวัดใจชิลชิล รวมถึงฟาดฟันตามทัวร์นาเมนต์โหดๆ หลัก 100 กิโลเมตรขึ้น ดังนั้นการฝึกซ้อมที่กำลังรอเธออยู่ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
"มิ้นท์และพี่ๆ ในทีมทุกคน เรามีโค้ชประจำทีมคอยดูแลเรื่องการฝึกซ้อมตลอดค่ะ จะมีตารางการฝึกซ้อมของทุกๆ วัน ส่วนใหญ่ตารางคือการขึ้นเทรนเนอร์ปั่นที่บ้านตามตาราง มีการวัด hr / รอบขา และเวลา ทุกวันค่ะ ส่วนเสาร์อาทิตย์ ทีมเราจะมีการนัดซ้อมรวมนอกสถานที่ หลักๆ คือเส้น work point บางปะอินค่ะ เริ่มต้นจาก WP ปั่นไปตามเส้นทางธรรมชาติ มุ่งหน้าไปทางบางไทร ซึ่งอันนี้ถ้าใครตามไม่ทันก็ต้องว้าเหว่เลยทีเดียว ต้องพยายามเกาะติดกับกลุ่มไว้ค่ะ ปั่นแบบน้ำมูกน้ำหูน้ำตาไหลเลยจริงๆ ระยะทางเส้น WP ก็จะประมาณ 70 - 100 กิโลเมตรขึ้นไป แบบว่า กลับถึงบ้านพอถอดปลอกแขนออกนี่เหมือนขนมกูลิโกะป๊อกกี้เลยอ่ะ (หัวเราะ)"
แม้การฝึกฝนจะสาหัสเอาการ ทว่า สาวหน้าหวานกลับมองว่า สำหรับเธอ บททดสอบแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็ก เพราะทุกการซ้อมต้องดำเนินไปด้วยใจ "ทุกอย่างจะทำได้ดีถ้าเราใช้หัวใจ พรสวรรค์ก็ไม่สู้พรแสวงค่ะ" เจ้าตัวเผยยิ้มเจื่อนๆ หากแต่ความภูมิใจและความสุขกลับฉายชัดในแววตา
สวย-เก่ง นี่สิเธอ
แน่นอนว่าการฝึกซ้อมอันไม่ธรรมดา ย่อมมีที่มาจากการแข่งขันอันน่าสะพรึง นักปั่นสาวหน้าหยกอย่างมิ้นท์เล่าว่า แค่สนามแข่งแรกในชีวิต เจ้าตัวก็เจอแจ็กพอตงานช้างเสียแล้ว เพราะธงเส้นชัยดันไปตั้งไว้บนพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 1,768 เมตร อย่างยอดภูทับเบิก หรือเส้นทางที่ร่ำลือกันว่า "ไม่เซียนจริง มีหาม" ก่อนถึงวันแข่งเธอจึงต้องฝึกซ้อมทุกเช้า ตั้งแต่ตี 5 ถึง 8 โมง เพื่อปั่นเผชิญแสงแดดให้ร่างกายทนทานกับสภาพแดดจ้าเมืองไทยได้ดีที่สุด
“ก็ตื่นเต้นนะคะ เพราะมันเป็นการแข่งครั้งแรก แถมจุดหมายยังสูงลิบอีก แต่เพราะตอนนั้นเราซ้อมมาดี เลยทำให้สภาพร่างกายค่อนข้างฟิตมาก ก่อนถึงวันแข่งมิ้นท์เลยไม่ค่อยกังวล แต่ก็นะ พอเอาเข้าจริง เช้านั้นอากาศดันเย็นสบาย เลยทำให้เวลาปั่น กล้ามเนื้อจะเกร็งๆ จึงทำความเร็วไม่ค่อยได้ มิ้นท์จำได้ว่าขึ้นไปถึงแค่ 7 กิโลเมตรแรก ก็งอแงมากๆ แล้วค่ะ การเจอเนินชันๆ นี่ทำความเร็วไม่ได้เลย แถมเหนื่อยกว่าปั่น 100 กิโลเมตรทางเรียบหลายเท่าอีก แต่ด้วยความที่เป็นคนมีนิสัยไม่ยอมแพ้ ตอนปั่น จึงคิดเพียงว่า เราเก่งมาก เราทำได้ เราเก่งมาก เราทำได้ คิดแบบนี้ตลอดทาง”
ในที่สุดไอ้คำว่า “เราจะไม่ยอมแพ้ ไม่มีทางยอมแพ้” สองประโยคที่เจ้าตัวกัดฟันท่องในใจระหว่างทางลาดชัน ก็พานักแข่งหน้าใหม่อย่างเธอ ไต่ขึ้นไปสู่จุดหมายปลายทางได้จริงๆ “ตอนนั้น มินท์อยากจะกรี๊ดดังๆ แล้วตะโกนให้โลกรู้ว่า นี่ปั่นจักรยานมานะ ถึงด้วยโว้ย” ซึ่งภายหลัง โล่รางวัลจากครั้งนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นบทเรียนอันล้ำค่ามาจนถึงวันนี้ไปโดยปริยาย ที่สอนให้รู้ว่า “ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ถ้ามีความพยายามมากพอ จักรยานก็เหมือนกัน จะถึงช้าหรือเร็ว มันก็ถึงแน่นอน ถ้าไม่หยุดปั่นซะก่อน” และนี่เป็นความลับแห่งขุมพลังโดยผู้ที่ฝ่าถึงเส้นชัยบนยอดหุบเขามาแล้ว
ไม่ได้เทพแค่ฝีเท้า แต่ความน่ารักสดใส อ่อนหวานปานผ้าพับไว้ คืออีกมุมที่หนุ่มๆ ฝันถึงเธอ เเละล่าสุด รางวัลอันดับสอง Angle Rider 2015 ก็การันตีแล้วว่า "น้องมิ้นท์คนนี้ ไม่เพียงแต่แกร่ง ยังแหล่มมากๆ ด้วย" เพราะกว่าจะคว้านหาสาวงามแห่งวงการนักปั่นมาได้ ต้องผ่านสายตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวจากคณะกรรมผู้ทรงคุณวุฒิถึง 10 ท่านโดยเริ่มจากการนับผลคะแนน
ตั้งแต่ในเพ็จ fit 4 fun และ bike community ที่มีผู้ถูกเลือกให้มาลงแข่งกันเป็นร้อยๆ แต่คัดจนเหลือเพียง 10 คน จากนั้นก็จะเปิดโอกาสให้คนทั่วไป เข้ามาโหวดนักปั่นสาวที่ตัวเองแอบหลงใหล เพื่อไปแข่งกันสปรินต์ และประชันความงามกันต่ออีกครั้งบนเวทีรอบตัดสิน
"ไม่เคยคิดว่าจะได้ ยังตกใจว่าเรามีรายชื่อเข้าไปใน 10 สาว Angle Rider ได้ยังไง เลยเข้าไปร่วมแบบไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ดีใจนะคะ ถ้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสาวๆ อยากปั่นจักรยานเพราะเราค่ะ ตอนประกวดก็เจอพี่ๆ ทั้ง 9 คน รู้สึกตระกรานตามากค่ะ พี่ๆ ทั้งสวยและเก่งกันทุกคนเลย ที่สำคัญสาวนักปั่นหุ่นดีทุกคน (หัวเราะ)" พูดจบรองแชมป์หัวเราะแก้มแดงน่าหยิก
รู้ลึกรู้จริง เทคนิคนักแข่ง
เพราะชั่วโมงบินมีสูงถึง 3 ปี นางฟ้าแห่งวงการสองล้อคนนี้ จึงขอเผยเทคนิคดีๆ ที่ไม่มีในอินเทอร์เน็ต "รึเปล่าไม่รู้นะ" อันนี้เจ้าตัวแอบเบรกไว้
"ทุกวันนี้การซ้อม จะมีการใช้ความเร็ว ควบคู่กับอุณภูมิเมืองไทยที่ค่อนข้างร้อนมาก จึงสำคัญมากที่เราจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของร่างกายเพราะหากเราออกกำลังกายหนัก ใช้หัวใจทำงานหนัก ในอุณหภมิที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำได้ เรียกว่า Heat Stroke หรือเรียกให้เข้าใจง่ายคือโรคลมแดดนั่นเองซึ่งเราจะละเลยไม่ได้เพราะเป็นอันตรายมาก มิ้นท์จึงมี garmin คอยวัด heart rate ขณะปั่นตลอดเวลา เพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจ ว่าตอนนี้เราปั่นเราเหนื่อยเกินไปไหม หัวใจเต้นอยู่ในโซนที่เร็วเกินไป จนอาจเกิดอันตรายรึเปล่า หากหัวใจเต้นเร็วเกินไป เราก็จะได้ลดความเร็วลงมา"
นอกจากนี้ประสบการณ์สั่งสมยังบอกเธออีกว่า นักปั่นควรจิบน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะตลอดเวลาของการออกทริป ผู้ปั่นมักสูญเสียเหงื่อกันจำนวนมาก ร่างกายจึงต้องการน้ำไปทดแทน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการอ่อนล้า และช่วยตัดปัญหาการเป็นตะคริวได้อีกด้วย ซึ่งเธอเคยโดนมากับตัว
“อย่างครั้งแรกที่จะปั่นกับเพื่อนๆ ride for eat tour ช่วงเดือนเมษากับอุณหภูมิ 40 องศาร้อนระอุ ครั้งนั้นต้องปั่นจากสยาม ไปอยุธยา ระยะทางไปกลับ 110 กิโลเมตร เป็นครั้งแรกที่ออกทริปไกลขนาดนี้ และอากาศร้อนขนาดนี้ มิ้นท์เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในทริปนั้น เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่กล้าไปค่ะ (หัวเราะ) ไปกับจักรยาน Miyata โคโมรี่ วินเทจคันเก่าที่หนัก 16 กิโลกรัม แต่ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้ พี่ๆ ผู้ชายทยอยขึ้นรถเซอร์วิส น้ำในกระติกที่เติมตลอดทางใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวจากน้ำเย็นกลายเป็นน้ำร้อน มิ้นท์ดื่มน้ำเลี้ยงตลอดการปั่นเพื่อหลีกเลี่ยงตะคริว ที่อาจเกิดขึ้นได้เพราะขาดน้ำ จึงทำให้ไม่เกิดตะคริวขึ้นเลย ด้วยความบ้าของตัวเอง บวกกับมีน้ำดื่มช่วยไว้ ก็เลยปั่นกลับมาจนจบ เป็นผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คน”
"แต่ที่สำคัญที่สุดเลย ควรสวมหมวกกันน็อกและอุปกรณ์ป้องกันอันตรายด้วยนะคะ รวมถึงต้องนอนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนออกปั่นทางไกล และหมั่นเช็กสภาพรถก่อนปั่นทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย และความสนุกของเราค่ะ"
เรื่องอาหารการกินก็สำคัญใช่ย่อย นางฟ้าจักรยานคนนี้ เผยเทคนิคว่า เพราะทุกการปั่นจำเป็นต้องใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตมาเป็นส่วนช่วยในเรื่องของพละกำลัง ดังนั้นหัวใจสำคัญของการออกทริป หรือออกแข่งขัน ผู้ปั่นจึงควรหาข้าวกล้องไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีต นม กล้วยหอม หรือธัญญาพืชมารับประทาน เนื่องจากอาหารที่ว่า สามารถย่อยง่าย ทำให้นำพลังงานออกมาใช้ได้ไว และไม่จุกจนเกินไปด้วย ซึ่งหากไม่ทำตามสูตรนี้อาจมีนาทีฉุกเฉินถามหา
"เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นทริปที่มิ้นท์ต้องออกเดินทางแต่เช้า ตื่นตอนตี 4 แล้วปั่นตอนตี 5 ถ้าเจอแบบนี้มิ้นท์จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทำให้นอนไม่หลับค่ะ นอนไปได้ 2-3 ชม. พอเช้ามาต้องปั่นระยะไกลเจอแดด ทำให้ไม่ค่อยมีแรง อ่อนเพลีย ปั่นได้ไม่ดีเท่าวันที่นอนพักผ่อนเพียงพอ ส่วนเรื่องอาหารหากไม่ทานอะไรเลยก่อนปั่นระยะทางไกล เจอแดด แบบนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นลมได้ค่ะ มิ้นท์เจอหลายคนเป็นบ่อยๆ ควรทานไปบ้างเพื่อจะได้มีพลังงานไปใช้ปั่น และจะได้ไม่ท้องร้องดัง ตอนปั่นด้วยนะจ๊ะ (หัวเราะ)"
ไม่มีทุนก็เทพได้
เรียกได้ว่า จักรยานกลายเป็นพาหนะยอดนิยมไปแล้วในขณะนี้ เพราะนอกจากจะเหมาะกับชีวิตคนเมือง ช่วยหลบเลี่ยงปัญหารถติด แถมยังช่วยเซฟกระเป๋าค่าน้ำมันในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจทีกำลังตั้งเค้าบ้านเรา แต่การเริ่มต้นที่ดี มักเป็นหัวใจของความสำเร็จ วันนี้เมื่อเจอสาวผู้เชี่ยวชาญของวงการหลังอาน คำถามที่ไม่ถามไม่ได้เลยคือ “งบน้อย ขอถูกแต่ดี มีมั้ย"
"จักรยานจริงๆ ไม่ต้องแพงก็เป็นเพื่อนที่ดีได้ค่ะ คันไหนถ้าเป็นเนื้อคู่เราจริงๆ สังเกตุง่ายๆ มองแว็บแรก เราจะถูกใจเค้าก่อน เหมือนเลือกแฟนแหละค่ะ หากถูกใจรูปลักษณ์แล้ว ทีนี้ก็ลองปั่นค่ะ ถ้าปั่นแล้วปิ๊ง ก็เลือก size ให้เหมาะกับเรา ตามสมรรถนะที่เค้ามีเลย จะทำให้เราปั่นสบาย นั่นคือจักรยานที่เหมาะกับเราที่สุด" เจ้าตัวเผยเทคนิคการเลือกคันโปรด ใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนตบท้ายด้วยประโยคโดนๆ เอาใจคนงบน้อย
"ถึงรถจะแพงแค่ไหน แต่ถ้าคนปั่นไม่มีแรงก็จบค่ะ ปั่นรถอะไรก็ได้ แต่มีแรงปั่นไปไกลแค่ไหนก็ไปได้ดีกว่า อย่ากลัวที่รถไม่แรง ขาไม่มีแรง น่ากลัวกว่าเยอะเลย (หัวเราะ)"
ส่วนคันซี้ปึ๊กที่นักแข่งสาวตัดสินใจคบหารายล่าสุด คือ "CANYON Aeroad cf slx 7.0 XXS lime grey" จักรยานแบรนด์เยอรมัน ราคาแสนสี่ที่ใช้ส่วนผสมโดยคาร์บอน ทำให้มีความรู้สึกคล่องตัวและเบา มีคุณสมบัติยึดเกาะถนนอย่างดีเยี่ยม ปั่นลื่นไหล ซึ่งหากเปรียบกับคน คงคล้ายเพศหญิง เพราะนุ่มนวล ไม่กระด้าน ยิ่งปั่นระยะยาวยิ่งนิ่งและคงตัว แถมเซฟแรงผู้ปั่นได้ดี บวกกับความที่มีล้อขอบสูงจึงทำให้แรงเหวี่ยงขณะปั่นนั้นพอดีกับรอบขา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่จุดบกพร่องเสียเลยทีเดียว
“เพราะความสูงของล้อ มักทำให้เกิดปัญหาเวลาปั่นเจอลมค่ะ ส่วนตัว canyon เรื่องการสปริ้นอาจสู้ไม่ได้ แต่ถ้าปั่นไกลๆ นี่รอบคงตัวเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมทีเดียว โดยรวมประทับใจมากค่ะกับคันนี้ ที่ตัดสินใจเลือกเป็นเพื่อนคู่ใจ ปั่นไปไหนมาไหนสบาย ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ แล้วยิ่งเวลาไปทางไหน ถ้ามิ้นท์เอาคันนี้ไปด้วย ก็จะมีแต่คนสนใจค่ะ แต่สนใจรถนะคะ (ฮือๆ) มองกันแต่รถค่ะ มีแต่คนเข้ามาชมว่ารถหล่อมากๆ จนมิ้นท์ก็ได้แต่ถามกลับไปว่า แล้วหนูไม่สวยเหรอคะ” พูดจบ เจ้าตัวหันไปเปะปากใส่สุดหล่อคันละแสนของตัวเองหนึ่งที
อยากสวยเซ็กซี่ต้องทำแบบนี้
ผู้คนมากมายต่างสงสัยว่า "ปั่นจักรยานก็ทุกวัน ทำไมหุ่นยังไม่เป๊ะ" ก็แน่นอน มันจะไปเป๊ะได้ยังไง ในเมื่อการปั่นจักรยานสัดส่วนหลักๆ ที่ใช้ออกแรงคือขา ดังนั้น มิ้นท์ สาวสวยหุ่นเฟิร์มคนนี้ จึงขอชี้ทางกระจ่างว่า สำหรับสาวที่อยากหุ่นดีเร็วๆ ควรเล่นโยคะและเวทเทรนนิ่งควบคู่ไปด้วยเหมือนอย่างเธอ เพราะการเล่นโยคะ นอกจากทำให้ผู้เล่นมีสัดส่วนที่กระชับ ยังช่วยฝึกสมาธิได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ส่วนเวทเทรนนิ่งคือตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้กระชับและแข็งแรงดูมีมัดกล้ามที่สวยงามได้รูป ซึ่งเป็นเสน่ห์ไปอีกแบบของผู้หญิง "หมดยุคสมัยบอบบางแล้วค่ะ มาถึกและบึกบึน สวยๆในแบบฉบับผู้หญิงแข็งแรงกันนะคะ (หัวเราะ)" สาวยิ้มสวยแอบกระซิบ
ไม่เพียงเท่านั้น สาว Healthy คนนี้ยังชี้เป้าอีกว่า ถ้าอยากผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วงหัวเช้าประมาณ ตี 5 ครึ่ง ถึง 7 โมงคือเวลาแห่งการออกกำลังกายที่ดีที่สุดตามผลวิจัยทางการแพทย์ เนื่องจากร่างกายคนเราเพิ่งตื่นจากการพักผ่อน หากได้กระตุ้นร่างกายขับเหงื่อของเสียออกในเวลานี้จะทำให้รู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่าไปทั้งวัน แถมยังได้ vitamin D จากแสงแดดยามเช้าซึ่งมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวหนังด้วย
"แต่ถ้าไม่มีเวลาเพียงพอที่จะออกมาปั่นตอนเช้า ตอนเย็นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถเลี่ยงจากแดดร้อนๆ ได้ หลังเลิกงาน ก็ออกมาปั่นออกกำลัง ให้เราระบายความเครียดที่เจอจากการทำงานเหนื่อยๆ มาทั้งวัน แถมยังเป็นยานอนหลับได้อย่างดี ที่ทำให้เราหลับสบายไร้ความกังวลใดๆ อีกด้วยค่ะ ถ้าตามสูตรมิ้นท์ ใน 1 อาทิตย์ จะปั่นจักรยาน 5 วัน และ 2 วัน คือเล่นโยคะ และเวทเทรนนิ่ง"
แต่สำหรับสาวคนใดที่หาเวลาว่างตอนช่วงเช้าไม่ได้จริงๆ หรือต้องปั่นท่ามกลางแสงแดด เธอแอบกระซิบว่า ควรทาซันบล๊อกที่มีส่วนผสมของ spf และ uvb สูงๆ ก่อนออกปั่นราวครึ่งชั่วโมง และสวมใส่ผ้าปลั๊บกันแดด ปลอกแขนปลอกขา สวมหมวกแก๊ป แล้วซ้ำด้วยหมวกจักรยานอีกที รวมถึงเเว่นตากันแดด และชุดปั่นที่ปกปิดร่างกายมิดชิดเพื่อเป็นการปกป้องผิวกายอีกชั้น หรืออีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนยุคนี้คือ หาซื้อเครื่องเทรนเนอร์ หรือลู่ปั่นจักรยาน เพราะสะดวก ไม่ต้องกลัวอันตรายบนถนน สามารถปั่นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่ไหนๆ ก็ได้ เป็นอุปกรณ์ที่สร้างมาเพื่อคนที่ไม่มีเวลา และกลัวแดดอย่างเเท้จริง
ส่วนกับเรื่องจี๊ดทรวงที่สาวๆ หวั่นใจมากที่สุด นักปั่นคนนี้อธิบายว่า "ปั่นจักรยานแล้วน่องใหญ่" นั่นคือความเชื่อผิดๆ การที่ขาใหญ่ขึ้น เป็นเพราะผู้เล่นใช้กล้ามเนื้อกดอะไรหนักๆ เป็นเวลานานเกินไป ควรเปลี่ยนรอบจักรยานเป็นจานเล็ก เพื่อให้รอบขาปั่นได้เบาและเร็วขึ้น คล้ายกับการปั่นจักรยานอากาศ
"ถ้าปั่นจักรยานแบบนี้สม่ำเสมอ เราก็จะมีขาที่เรียวลง ต้องใช้ใช้เกียร์ให้เป็นค่ะ ปั่นให้รอบขาเราสบายๆ ไม่ต้องมีแรงกด โดยทดเกียร์ไปเกียร์ที่เบาสบายที่สุด ปั่นรอบขาไวๆ เหมือนควงขาโดยไม่ต้องออกแรงจิกหรือกด ฟีลจะเหมือนการปั่นจักรยานอากาศเลยค่ะ อย่าลืมว่าการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่เบิร์นไขมันได้ดีที่สุดเชียวนะคะ ลบความเชื่อผิดๆ เรื่องน่องใหญ่ไปได้เลย ถ้าไม่เชื่อก็ลองสังเกตนักปั่นทีมชาติ หรือนักปั่นระดับโลกดู แต่ละคนหุ่นบางขาเรียวเล็กมาก" หลังจบคำแนะนำจากโค้ชสาว สายตาทีมข่าวก้มลงไปที่ขาเธอ “แม่เจ้า! จริงๆ ด้วย ช่างเล็ก และเรียวงาม"
ฉันรักเธอเจ้าหลังอาน
คงจะจริงอย่างที่ว่า “แค่คิดจะปั่น สิ่งดีๆ ที่อยู่รอบตัวก็ถูกดึงดูดเข้ามาแล้ว” ใครจะคิดว่าระยะเวลาเพียง 3 ปี จักรยานหนึ่งคันจะพาชีวิตผู้หญิงตัวเล็กๆ หนึ่งคนมาได้ไกลขนาดนี้ ทั้งเรื่องราวของมิตรภาพ สุขภาพ โลกใบใหม่ และการได้รับหัวใจตัวเองกลับคืน
“จักรยานเป็นสังคมที่น่ารักนะค่ะ อยู่แล้วสนุก มีความสุข เป็นกันเอง ปั่นไปแถวสายไหน จังหวัดไหน เราเห็นคนปั่นด้วยกันเราทักทายกันได้หมดอย่างสนิทใจแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน เจอจักรยานต้องการความช่วยเหลือข้างทาง ทุกๆ ครั้งภาพที่เห็นคือ จักรยานที่ปั่นผ่านมาเจอ ไม่เคยมีใครรีรอที่จะแสดงน้ำใจ ยื่นมือมาช่วยเหลือกันตลอด สังคมแบบนี้ คนไม่ปั่นจักรยานจะไม่มีทางได้สัมผัสเลยนะ
นอกจากเจอสังคมดีๆ ยังมีสุขภาพที่ดี ขาที่เรียว หุ่นที่ดีขึ้น สาวๆ คนไหนโสดอยู่ หนุ่มๆ ปั่นจักรยานกันเยอะมากนะค่ะ โสดๆ ก็เยอะด้วย (หัวเราะ) ใครอยากสุขภาพดีเผลอๆ มีหนุ่มๆ ปั่นไปส่งบ้าน ก็ลองมาปั่นจักรยานด้วยกันนะคะ” และนี่คือมนต์เสน่ห์ที่ยานพาหนะอื่นๆ ไม่มี จากคำบอกเล่าของนางฟ้าจักรยานฉายา “มิยาบิ” ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคู่ใจ พร้อมคำว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าวันนั้นไม่อกหัก มิ้นท์จะมีวันนี้มั้ย”
ประวัติส่วนตัวของ มิ้นท์ วณิชชา กาญจนอภิรักษ์ BG Media Team
ส่วนสูง 163 ซม
น้ำหนัก 48 กก
ปัจจุบัน รับงานถ่ายแบบ เดินแบบ (ฟรีแลนซ์) เป็นแบบให้กับจักรยาน อุปกรณ์จักรยาน โดยไม่ติดสัญญา
และกำลังจะมี campain เสื้อยืดและเสื้อจักรยานแนวกราฟฟิค รวมถึง campain รณรงค์ Save our Cyclists เร็วๆนี้ สามารถ
ติดต่อFacebook : Vanitcha Mint
Instagram : Minntz
สัมภาษณ์โดย ASTV Manager Lite
เรื่องโดย ธิติ ปลีทอง
ภาพโดย ณัฐวร บุญวิทยา
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754