xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องไม่ลับของ "ตู่ ภพธร" ผู้ชาย 30+ ไม่โสดแล้วไง? (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


9 ปีในวงการเพลง

ได้รับเชิญให้เป็นศิลปินในคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ของ "โรแนน คีทติง" เจ้าของยอดขาย 55 ล้านแผ่นทั่วโลก

ผ่านการโหวตจากสาว 9 ใน 10 คน ยกให้เป็นหนุ่มหล่อ อบอุ่น แสนดี

แถมยังเป็นผู้ชายที่ "ผู้ชาย" ด้วยกันเองอย่าง "บอย-โกสิยพงษ์" ออกปากชมว่า มีเสน่ห์แพรวพราว




เรากำลังพูดถึง "ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ" นักร้องหนุ่มวัย30+ เจ้าของเสียงร้องอันโดดเด่นในสไตล์ R&B ที่มาพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มๆ อุ่นๆ ชวนฟัง แม้จะไม่โสด แต่ก็ยังครองใจแฟนแฟลงทั้งเก้ง กวาง บ่าง ชะนี ส่วนงานด้านการแสดงก็ทำได้ดีเช่นกัน เห็นได้จากบท "คุณพฤกษ์" หนุ่มนักเรียนนอก อบอุ่น แสนดี แถมมีอารมณ์ขันจากหนังเรื่อง ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ ที่ทำเอาผู้ชมคนดู รวมไปถึงแฟนคลับแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า ผู้ชายรสนุ่มคนนี้จะเล่นได้ "เสร่อ" ถึงเพียงนี้

"เสร่อ อย่างที่คนเขาบอกกัน แต่เราดูแล้วเราชอบนะ ดูทุเรศดี (หัวเราะ) เพราะว่าเขาตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เขาตั้งใจจะฆ่าผมบนเรือนั้น แบบนั้น (ยิ้ม) เพราะว่ามันต้องเป็นจุดพีคของเรื่องหรือคาแรกเตอร์ตัวละครตัวนี้ที่ผู้หญิงจะต้องเริ่มอี๋แหละ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเต็มที่ พอทุกคนดูและทุกคนรู้สึกแบบนั้นได้ ผมก็รู้สึกดีนะที่เขาเข้าใจในตัวละครตัวนี้ รวมถึงมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครตัวนี้" ตู่เผยความรู้สึกถึงฉากร้องเพลงเพื่อชีวิตบนเรือในหนังเรื่องไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้



แม้จะดูเป็นผู้ชายที่โรแมนติก อบอุ่นในสายตาของคนอื่น ถามว่าเคยมีอารมณ์ร้องเพลงเพื่อชีวิตแบบนั้นไหมในชีวิตจริง "ไม่เคยครับ" ตู่บอก แถมยังเคยให้สัมภาษณ์ถึงตัวตนเอาไว้ด้วยว่า "ความจริงผมเป็นอบอุ่นบ้าง ขำบ้าง แต่ไม่โอเวอร์เท่าในหนังแน่นอนครับ" ส่วนตัวตนของเขากับเพลงรักก็ดูจะไม่ต่างกันมากนัก

"ความโรแมนติกไหมก็มีบ้างนะครับ มีเฉพาะวันสำคัญ ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรบ่อย" เขาบอก ก่อนจะขยายความถึงความรักในชีวิตจริงที่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนมาก่อน

"เป็นคู่ที่เหมือนตัวติดกัน จะอยู่ด้วยกันเยอะครับ เขาเองเขาก็ยุ่ง แต่ว่ามันก็เป็นโชคของเราทั้งคู่ เพราะว่ายุ่งแค่ไหน เขาก็ยังมาหาเรา เวลาเรามาซ้อมทั้งวัน ช่วงเดือนนี้ 6 โมงเช้า ผมขับรถออกจากบ้านไปซ้อมเต้น บ่าย 3 ผมก็มาห้องซ้อมดนตรี แล้วผมก็ซ้อมถึง 3-4 ทุ่ม ผมไม่มีเวลาที่จะทำอะไรให้เขา แต่เขาก็มา ซึ่งผมเองผมก็ไม่เคยซีเรียสว่า ตัวติดกัน มาอยู่ด้วยกัน แฟนตัวติดกันเกินไปหรือเปล่า ไม่มีเวลาให้ตัวเอง เขาก็ไม่ได้ซีเรียสเลย

สำหรับผม มันก็โอเคลงตัว ผู้ชายบางคนก็อาจจะรำคาญ แฟนมาอยู่ด้วยกันเยอะๆ ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แต่ผมไม่เป็นนะครับ มีความรักแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะครับ ช่วยผลักและดันกัน ในเวลาที่เขาเครียดอะไร เขาก็ปรึกษาเราได้ หรือเวลาที่เราเครียดอะไร เราก็ปรึกษาเขาได้ มันก็ทำให้แรง และกำลังใจในการทำงานของเราก็เยอะขึ้น"

จุดกำเนิด "ผู้ชายรสนุ่ม"

ด้วยความเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่สุภาพ ไม่หลุดกรอบความดีงาม การย้อนกลับไปค้นหายังสถานที่ที่สร้างเขาขึ้นมาอย่าง "ครอบครัว" จึงเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจว่า สภาพครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูแบบใดที่สามารถสร้างให้คนคนหนึ่งสามารถมายืนอยู่ได้ ณ จุดนี้



"คุณพ่อเป็นคนที่ดุ และเข้มงวดครับ เงียบขรึมและสุขุม ส่วนคุณแม่เป็นคนที่สปอยเราค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นคนดุเหมือนกัน คือสปอยเสร็จปั๊บ ถ้าเรายังคงดื้อ ก็จะตีนะ แล้วก็จะโดนหนักด้วย แต่คุณพ่อนี่แทบจะไม่เคยตีเลย เคยแบบหนังสือพิมพ์ฟาดทีเดียว แล้วก็ร้องไห้แล้ว คือตอนนั้นผมชอบอมข้าวครับ หรืออีกเรื่องที่จำได้คือ ที่บ้านไม่ซื้อของเล่นให้ ผมเลยหนีกลับบ้านเอง ตอนนั้นไม่ถึง 10 ขวบเลยด้วยซ้ำ คุณพ่อก็วิ่งตามนะ ในฐานะผู้ใหญ่ เขาก็กังวลลูกหนี เพราะอยู่ดีๆ เราก็วิ่งหนีกลางห้าง เหมือนเป็นเด็กบ้า เขาก็เอาโทรศัพท์เขกหัว

จากนั้นพอไปอยู่เมืองนอกแล้ว ชีวิตที่ไม่ได้สบายเหมือนตอนอยู่เมืองไทย ตอนนั้นก็อยู่กับคุณแม่ อยู่กับพี่สาว 2 คน เขาต้องทำงานร้านอาหาร เขาต้องมีภาระเยอะ เราไม่ได้อยู่สบายเหมือนตอนเด็กๆ ไปที่โน้นก็ต้องไปหาเช่าอยู่ แม่ก็ทำงานเสิร์ฟ พี่สาวต้องทำงานเสิร์ฟ เรียนไปด้วย ทุกคนลำบาก ก็ต้องเปลี่ยน มันก็ค่อยๆ เติบโต มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนทัศนคติขึ้นมาเรื่อยๆ อยากจะได้อะไร เราต้องได้ เราก็เห็นแล้วว่า เขาไม่มีจะให้ จะไปขออะไร มันก็ต้องปรับชีวิตไปตามที่เป็น มีขออย่างสุดท้ายก็คือ จักรยานตอนไปอเมริกา ถ้าอยากได้อะไรก็พยายามเก็บเงินทำงานพิเศษ มันก็เลยจะโตมากลายเป็นอีกคนหนึ่ง ถ้าอยู่เมืองไทยตลอด ผมว่าเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นอีกแบบหนึ่ง อาจจะเกเรกว่านี้"

ดังนั้น ชีวิตดีได้ เพราะพ่อแม่มีอิทธิพลสำหรับเขามาก "ถึงแม้ครอบครัวเราแยกกันหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมรู้ว่า ทุกคนรักเรา เรารู้ว่าแม่เราพี่สาวเรารักเรามาก พ่อเรารักเรามาก ดังนั้น ทุกครั้งที่เราจะไปทำอะไรเหลวไหลมันก็จะนึกถึงเรื่องอย่างนี้ว่า แม่เขารักเรานะ ถ้าเราพังไปเนี่ย เราโดนอะไรหรือทำอะไรหรือเกเรอะไร แล้วเราโดนจับ ก็คือเขาต้องส่งเรากลับเมืองไทยเลยนะ แล้วก็สิ่งที่แม่พยายามเลี้ยงเรามาอยากให้เราไปอยู่ที่โน้น อยากมีชีวิตใหม่ มันก็จะพังหมด มันก็จะคิดแต่เรื่องพวกนี้อยู่ในหัว เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรที่มันไม่ดี มันจะนึกถึงอยู่ตลอด ผมว่ามันเป็นเพราะความรักแหละที่ทำให้เราเห็น"



ด้วยความรัก ความเข้าใจ และสายใยรักภายในครอบครัวนี้เอง ได้ก่อเกิดเป็นที่มาของพลังในตัวบทเพลงที่ถูกส่งผ่านไปยังผู้ฟังทุกๆ ท่าน นอกจากนั้นแล้ว เขายังยกความดีความชอบให้กับประสบการณ์ และคนใกล้ตัวที่ช่วยฝึกทักษะให้เขาค่อยๆ มีฝีมือจนเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลง

"ประสบการณ์มั้งครับที่สอนเราในการวางตัว ส่วนเรื่องของผลงาน เรื่องของฝีมือ เรื่องของเพลง ต้องให้เครดิตกับเพื่อนๆ นักดนตรีทุกคน กับพี่บอย โกสิยพงษ์ เองที่ช่วยในเรื่องของการแต่งเพลงเยอะ สอนเราเยอะ ก็คือพอเรามีคำถามอะไร มักจะถามเขาตลอด เขาก็จะให้คอมเม้นท์ ให้คำแนะนำดีๆ กับเรากลับมาตลอด โปรดิวเซอร์คนก่อนชื่อ เฮนริก อัลเกน เป็นคนสวีเดน ก็ให้คำแนะนำมาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แล้วก็ผู้ใหญ่ที่เราเคยร่วมงานกันที่ผ่านมาทั้งหมด คือเราไม่เคยมีครูเป็นเรื่องเป็นราวขนาดไปเรียนอะไรกับใครเป็นประจำ แต่ว่าเราเหมือนแบบทุกๆ คนที่ได้ร่วมงานด้วย เขาเป็นคนที่ใจกว้างพอที่จะให้ความรู้กับเรา เวลาเราไปทำงานด้วย

ถึงวันนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ผมเจ๋งอย่างไร เพราะผมไม่เคยคิดว่า ตัวเองเจ๋ง แต่ว่าผมเป็นคน...(นิ่งคิด) ผมว่าผมเป็นกันเองกับน้องๆ เขาก็ชื่นชอบเราในด้านผลงาน อันนี้เราก็รู้อยู่แล้ว เขาติดตามเราเพราะชอบเรา ชอบฟังเพลงเรา ชอบผลงานทุกอย่างที่เราทำ เขาก็ติดตามเรา แต่ว่าเหตุผลที่หลายๆ คนยังคงอยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะว่า ความสบายๆ ชิล ชิล เป็นกันเองของเรา" เขาบอก

ส่วนตัวตนอื่นๆ เห็นสุภาพ ดูอบอุ่น แสนดีแบบนี้ เจ้าตัวบอกว่า มุมโหดๆ ก็มีเหมือนกัน "มุมโหดของผมมีไหม มีบ้างนะ นานๆ ทีอาจจะมี แต่ก็ไม่มากนะครับ ใจร้อนน้อยลง เป็นคนกวน ถ้าหลายๆ คนรู้จัก จะมีความแบบ...พูดอะไรก็จะกวนๆ ใส่คนอื่น คนก็เก็ตบ้าง ไม่เก็ตบ้าง บางทีเขาก็จะนึกว่า เราพูดจริง เราจะหน้านิ่งๆ เรียกว่า เป็นคนที่จะรู้ว่าควรวางตัวแบบไหน ในสถานการณ์แบบไหนก็แล้วกัน เช่น ไม่ได้คุยสุภาพตลอด หรือไม่ได้กวนตลอด ถ้าเรารู้จักกันไปสักพัก ก็จะได้เห็นผมในอีกมุมหนึ่งที่อาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน"

หลงใหลที่สุดในสายอาชีพ

ตลอด 9 ปีบนเส้นทางสายดนตรี เมื่อถามถึงสิ่งที่หลงใหลที่สุดในงานที่ทำงาน "เสน่ห์ของการอยู่บนเวที" คือสิ่งที่เขาหลงใหลมันมาก เพราะเป็นความสุขที่ได้รับกลับมาทันทีทันใด

"มันคือการให้ความสุขที่ได้ผลตอบรับคืนกลับมาแทบจะเรียกได้ว่า ทันทีทันใดเลยด้วยซ้ำ มันไม่เหมือนกับทำอย่างอื่นที่กว่าจะได้ผลตอบรับกลับมาก็อาจจะนาน ที่เราต้องรอผล แต่อันนี้คือพอเราทำไปปุ๊บ เรารู้สึกได้เลยว่า คนเขามีความสุข แล้วก็พอทำออกไปปุ๊บ เราเห็นรอยยิ้ม อันนี้มันคือเสน่ห์ของมัน มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมไม่เบื่อ ผมเลือกที่จะร้องเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานานๆ 9 ปี ร้องเพลงเพลงเดิม ตราบใดที่เขาอยากฟัง เราก็ไม่เบื่อ"



ดังนั้น กลุ่มแฟนคลับ คือกลุ่มคนที่เขาจะไม่มีวันลืม "บางทีเรารู้สึกว่า เราเหนื่อยกับงาน เราไปทำงานไม่เป็นเวลา แต่จริงๆ แล้วแฟนคลับเหนื่อยกว่าเราทำงานอีก อันนี้พอเราได้มานั่งคิดจริงๆ เราจะรู้สึกว่า เขาให้มาขนาดนี้ เราก็ต้องให้เขาคืนให้เต็มที่ เวลาที่เราเล่นหรือโชว์อะไร เพราะว่ามีบางคนทำงานกะกลางคืนเป็นนางพยาบาล ทำงานดึก เช้ามาปุ๊บมาดูเราต่อ เข้ารายการ โปรโมต อยู่กับเราจวนถึงบ่าย แล้วเดี๋ยวกลางคืนเรามีงาน เขากลับบ้านไปนอน 2 ชั่วโมง แล้วกลับมา เป็นเรา เราจะทำแบบนั้นได้ไหม เราก็ไม่แน่ใจ แต่เขาก็ทำให้ เป็นอะไรที่ดีใจและภูมิใจมากจริงๆ และพิเศษมาก

หรืออีกเรื่องที่ประทับใจก็คือ ทุกๆ ปีแฟนคลับก็จะจัดมีตแอนด์กรี๊ดให้ ซึ่งตัวเราเองแค่กำหนดไว้ครั้งเดียวเมื่อนานมาแล้วว่า ไม่อยากให้เด็กๆ เสียสตางค์กันไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำบุญแล้วกัน มันจะได้ดูมีเหตุผลว่า พ่อแม่เขาไม่ได้ให้สตางค์ลูกมาเพื่อเอามากินข้าวแล้วมาบ้าดาราอย่างเดียว ไปทำบุญ พอให้แนวคิดไป เขาก็จัดการกันเป็นเรื่องเป็นราวทุกปี เป็นบ้านของเด็กบ้าง เป็นบ้านของสุนัขบ้าง" เขาเผยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา พร้อมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข ก่อนทิ้งท้ายถึงความสุขที่เขาอยากจะมอบให้แฟนเพลงทุกๆ คนผ่านคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต "AIS MUSIC STORE KKBOX PRESENTS "TWO POPETORN L1VE! #ครั้งแรกมีได้แค่ครั้งเดียว โดยจะเปิดแสดงวันเสาร์ที่ 28 มีนาคมนี้ ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี

"ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่า ยังไม่พร้อม พี่บอยเอง น้องที่ค่าย หรือทุกคน อยากให้มีสักพักแล้ว แต่ตัวผมเองผมรู้สึกว่า อยากจะจัดเมื่อเรารู้สึกว่า เรามีอะไรที่จะให้คนดูเยอะพอ ซึ่งทุกวันนี้ผมรู้สึกว่า ตัวเองในด้านของความเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ ด้านของโชว์ วงของเราที่เล่นกันมานาน แล้วก็เพลงที่เรามี เรารู้สึกว่า ถึงเวลาที่จะมีได้แล้ว ถึงเวลาที่เราควรจะให้คืนกับแฟนคลับที่เขาเชียร์เรามาตลอดแล้ว ว่าแบบเขาอยากให้มี เราเองเราก็รู้สึกว่าพร้อมแล้ว" นักร้องหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมเชิญชวนให้ทุกคนไปฟินกับคอนเสิร์ตของเขา

เรื่อง : ASTVผู้จัดการ Live
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม @2popetorn




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น