กลายเป็นไอเดียที่หลายคนจับตากับการแจก “แท็บลอยด์” สิ่งพิมพ์เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานตัวของรัฐบาล คสช. โดยมีแผนจัดพิมพ์ทุกสัปดาห์ จากแต่เดิมที่มีการออกข่าวและมีรายการคืนความสุขให้คนในชาติอยู่แล้ว ทำให้เกิดคำถามใหญ่กับแนวคิดดังกล่าว หรือจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำก็เปล่าประโยชน์?
ต้นตำรับแนวคิดแท็บลอยด์
ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีสิ่งพิมพ์ประเภทแท็บลอยด์จากฟากฝั่งรัฐบาลมาแล้วโดยมีชื่อว่า หนังสือพิมพ์ เจ้าพระยา ดำเนินการโดยองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ อสมท. แต่ก็ขึ้นตรงกับรัฐบาลสมัยธานินทร์ กรัยวิเชียร์โดยมีชื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลในยุคนั้น มีออกมาทั้งหมดเพียง 98 ฉบับหรือ 3 เดือน 6 วันเท่านั้น
ผศ.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่าสิ่งพิมพ์ดังกล่าวเป็นโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลขวาจัดในยุคนั้นมากเกินไป อีกทั้งยังมีส่วนสร้างความแตกแยกโดยมีการโจมตีฝ่ายนักศึกษาที่เข้าร่วมชุมนุมในช่วง 16 ตุลา 14 อีกด้วย
โดยแท็บลอยด์ที่จะออกในตอนนี้นั้นมีลักษณะเป็นจดหมายข่าวใช้ชื่อว่า “จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน” มีความหนาเบื้องต้นอยู่ที่ 8 หน้าด้วยกัน โดยจะมีการแจกทุกสัปดาห์ในพื้นที่ตามสถานที่รถไฟฟ้า ป้ายรถประจำทาง เพื่อให้ประชาชนทราบถึงการทำงานของรัฐบาล ซึ่งจัดทำโดยกรมประชาสัมพันธ์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ต้นแบบของสิ่งพิมพ์ดังกล่าวก็ได้มีออกมาแล้วเล่มแรกตีพิมพ์เป็นจำนวน 200 เล่มด้วยกัน โดยแจกให้กับข้าราชการและสื่อมวลชนในทำเนียบ ภายในมีเนื้อหาที่บอกถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ จากฝั่งรัฐบาล ทั้งนโยบายภาษีที่เผยว่าไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นโยบายที่นายกฯพูดในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ
ภายหลังจากสิ่งพิมพ์ดังกล่าวได้ออกมาฉบับแรก ก็มีเสียงวิจารณ์จากประชาชนในโลกออนไลน์มากมาย บ้างก็มองว่าเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ บ้างก็กังวลที่จะเป็นการใช้จ่ายภาษีโดยเปล่าประโยชน์
“ผลงานไม่มี มีแต่การโฆษณาชวนเชื่อ”
“แทนที่จะช่วยกันประหยัดงบประมาณแผ่นดิน แต่นี่กลับเอามาทำเรื่องไร้ประโยชน์ ละเลงให้เสียเงินกันฟรีๆ แค่ออกทีวีก็ไม่มีใครเขาดูแล้ว”
“ถึงขนาดเอาเงินภาษีหลอกทำข่าวต้มคนดูขนาดนี้ นี่มันจะเข้าขั้นเกาหลีเหนือคงอยู่ไม่ไกลแล้วท่านผู้นำ ถึงขนาดสร้างข่าวเท็จโกหก ออกมาตอแหลกันขนาดนี้ เอาเงินภาษีมาละลายน้ำอีกแล้ว นี้มันแจกข่าวชวนเชื่อยุคคอมมิวนิสต์จีนแดง”
สูญเปล่าหรือเปล่า?
หลังจากรัฐบาลเดินหน้าเก็บภาษีเพิ่ม ประชาชนคงมองว่าจะต้องมีการใช้จ่ายที่รัดกุมมากขึ้น แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว เมื่อรัฐบาลมีแนวคิดจัดทำสิ่งพิมพ์ประชาสัมพันธ์ผลงานตัวเอง ผศ.ดร.ทวี มองว่า เรื่องนี้จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีโดยจะถูกมองว่า เป็นการโปรโมตตัวเองจนเกินไป โดยสิ่งพิมพ์ดังกล่าวจะไม่มีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำที่มีแต่ผลเสียตามมา
“มันก็เป็นความคิดที่ออกจะโบราณสักเล็กน้อยนะครับ คือที่ออกเป็นแท็บลอยด์คนอ่านก็คงจะจำกัดมันก็เหมือนหนังสือพิมพ์ตอนนี้คนก็ไปอ่านสื่ออื่นในหน้าเว็บข่าวต่างๆ คนอ่านหนังสือพิมพ์มันก็ยิ่งน้อยลงๆ
“พอมองอีกประเด็นหนึ่งว่าจะเอาสาระอะไรมาใส่? น่าสนใจมั้ย? ตัวสื่อเป็นแท็บลอยด์ก็ไม่น่าสนใจแล้ว ยิ่งเป็นสารของรัฐบาล ประชาชนจะมองว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ มันไม่ใช่ประชาสัมพันธ์แล้ว”
โดยหากสิ่งพิมพ์ดังกล่าวทำออกมาในลักษณะเชิดชูผู้นำก็จะมีลักษณะเป็นเผด็จการเต็มตัว กลายเป็นสิ่งพิมพ์เผด็จการ แต่ถ้าออกแนวประชาสัมพันธ์ก็จะเป็นโฆษณาชวนเชื่อ หากเป็นแบบนั้นก็ไม่มีเป็นผลแต่อย่างใด
“ผมว่ารัฐบาลต้องพยายามสื่อสารกับสื่อมวลชนให้ดีกว่านี้ สื่อมวลชนเขาต้องการตัวท่านนายกฯ แต่ตัวท่านก็มีปัญหา พวกผมที่สังเกตการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองก็ให้ข้อแนะนำตลอด ให้ปรับบุคลิก ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นการเป็นงาน ขี้เล่นบ้างก็ได้ ต้องค่อยๆ ปรับ”
เขามองว่า การสื่อสารที่ดีที่สุดคือตัวบุคคลเอง หรือตัวผู้นำเอง หากรัฐบาลทำสื่อเองเป็นสื่อที่มีความน่าเชื่อถือน้อยตามหลักนิเทศศาสตร์ที่คนเขียนโฆษณาตัวเองย่อมเขียนแต่ส่วนดีเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจะไม่เขียนด่าตัวเองเด็ดขาด
“และยิ่งทำสื่อสิ่งพิมพ์ยิ่งจะเสียเงินมาก เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แล้วเงินมาจากไหนละครับ ก็แน่นอน งบประมาณคือภาษี คือเงินของประชาชน มันก็วุ่นวาย เดือดร้อนกันไปใหญ่ รัฐบาลก็จะถูกครหานินทากับการใช้จ่ายเงิน”
ทั้งนี้ในปัจจุบันรัฐบาลเองก็มีสื่อที่จัดทำในการประชาสัมพันธ์ตัวเองอยู่มากแล้ว การเลือกที่จะเพิ่มช่องทางสื่อสารในการทำแท็บลอยด์ขึ้นมาอีกยิ่งจะเป็นการทำให้รัฐบาลเสียภาพลักษณ์ เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ประเจิดประเจ้อเกินไป
“มันเลยยิ่งชูความเป็นเผด็จการที่มันเป็นอยู่แล้วโดยกฎหมาย กลายเป็นเผด็จการทางสื่อ คือออกข่าวอยู่คนเดียวด้านเดียว ในวิชานิเทศศาสตร์มันเป็นการสื่อสารที่แย่มาก ไม่ใช่แต่เฉพาะประชาธิปไตย เผด็จการก็ต้องมีการสื่อสารที่ดี
“ไม่มีรัฐบาลไหนอยู่รอดได้หรอกถ้าสื่อสารข้างเดียว เผด็จการยิ่งจะต้องชี้แจงประชาชน สังเกตดูเผด็จการที่เก่งๆ จะเป็นนักสื่อสารที่ดีอย่างฮิตเลอร์ถึงจะเลวร้ายแต่คนก็รักเพราะเขาพูดเก่ง พูดหวาน พูดเพราะ ปลุกใจเร้าระดม นอกจากนั้น มุสโสลินี เหมา เจ๋อ ตุง เลนิน พวกนี้มีวาทศิลป์หมด ฉะนั้นเผด็จการหรือใครก็ตามต้องมีวาทศิลป์และออกสื่อหน่อย รัฐบาลนี้รัฐมนตรีแต่ละคนไม่ออกสื่อเลย”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754