อีเห็นหางเน่า, หมูป่าผอมซี่โครงผุด, แพะป่วยเป็นมะเร็ง, กระต่ายผสมพันธุ์เกลื่อนกรง ตายไม่เว้นวัน ฯลฯ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าภาพรันทดใจทั้งหมดนี้รวมอยู่ในวัดบางกุ้ง จ.สมุทรสงคราม ภายใต้การดูแลแบบเพิกเฉยของเจ้าอาวาสที่ปล่อยให้เรื้อรังมาหลายปี
ชาวเน็ตคาดเป็นผลจากพุทธพาณิชย์ ใช้ความสงสารเรียกคนมาทำบุญให้อาหารสัตว์ภายในวัดเพื่อผันเป็นเม็ดเงิน ผู้พิทักษ์สัตว์เตือน ผิด พ.ร.บ.ทารุณกรรมสัตว์ฯ ถึงนุ่งเหลืองห่มเหลืองก็ไม่อาจละเว้น!!
คนรักสัตว์ปวดใจ ใช้สัตว์ป่วยแลกบุญ
(อีเห็นหางเปื่อย น่าสลด)
“เลี้ยงสัตว์ดึงดูดคนทำบุญ.. “พุทธพาณิชย์” ของวัดชื่อดังที่คนรักสัตว์ปวดใจ” คือชื่อกระทู้ที่พลเมืองเน็ตรายหนึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อส่งต่อเรื่องราวแสนเจ็บปวดที่ได้ไปเห็นมากับตา เมื่อครั้งไปช่วยเหลือกระต่ายที่วัดบางกุ้ง วัดดังประจำจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับเพื่อนสมาชิกกลุ่มกระต่าย เพราะทนเห็นสภาพความแออัดที่เจ้าขนฟูต้องทนอยู่ต่อไปไม่ไหว
กระต่ายในนั้นรวมอยู่ใรกรงใหญ่กรงเดียวโดยไม่มีการแยกเพศ ทั้งที่ปกติแล้วผู้เลี้ยงสัตว์ชนิดนี้จะรู้ดีว่ากระต่ายเป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา และตั้งท้องเพียงเดือนเดียวก็คลอดได้ ที่หนักกว่านั้น เจ้าของกระทู้เล่าว่าทางวัดยังเลี้ยงพวกมันไว้รวมกับไก่ ทำให้หลายตัวติดโรค เกิดเป็นแผลพุพอง อมโรคสารพัด ที่น่าสลดใจยิ่งกว่านั้นคือแม่กระต่ายบางตัวที่ต้องตายทั้งที่ตั้งท้องอยู่ เพราะสภาพความเป็นอยู่และอาหารไม่ถูกสุขอนามัย
“ทางวัดบอกว่ากระต่ายมาจากหลายที่ เช่น คนนำมาปล่อยหรือเอามาจากที่พ้นสภาพการทดลอง แล้ววัดก็เอามาทำสวนสัตว์ “เพื่อใช้ในการชักชวนคนเข้าวัดและขายอาหารสัตว์” ซึ่งเท่าที่เห็น มีทั้งพระและชาวบ้านที่ไม่แน่ใจว่าน่าจะเป็นญาติๆ กับเจ้าอาวาสหรือเปล่า มาเป็นคนขาย รวมถึงตั้งร้านค้าต่างๆ ภายในอาณาเขตวัด อาหารสัตว์หลักๆ ที่ขายคือผักบุ้ง กล้วย หัวปลี ขนมปัง ซึ่งอาหารเหล่านี้ “ไม่ใช่อาหารสำหรับกระต่าย” แต่คือยาพิษที่จะทำให้ตายอย่างช้าๆ และทรมานในที่สุด”
นอกจากนี้ ทั่วบริเวณนั้นยังอุดมไปด้วยสัตว์หลากชนิดที่มีสภาพน่ารันทดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น แกะ แพะ ลา ม้า จระเข้ นกกระจอกเทศ กระต่าย หมูป่า และอีเห็น แต่ละตัวอยู่ในสภาพผ่ายผอม เป็นโรคเรื้อน โดยเฉพาะอีเห็นที่มีแผลบริเวณหางอย่างเห็นได้ชัด “เขาจับทำแผลไม่ได้ ทางวัดจ้างลุงไว้หนึ่งคนดูแลทั้งหมด ลุงบอกว่าทำได้ตามกำลัง เพราะสัตว์มากขนาดนั้นดูแลไม่ไหว ผลจึงออกมาแบบนี้”
(แออัดมาก จึงตายมาก)
ทางอาสาสมัครที่ลงพื้นที่ พยายามเข้าไปช่วยเหลือในเบื้องต้น เอาอาหารและยาเข้าไปให้กระต่ายและหมูป่าที่ผอมจนกระดูกโผล่เป็นแผง เทปูนกั้นคอกแยกเพศกระต่าย และเอาบางตัวออกมารักษาเท่าที่กำลังจะทำไหว สุดท้ายผลปรากฏว่าทางเจ้าอาวาสไม่ยอมให้เอาออกมารักษาและคืนสู่ป่าตามที่ตกลงไว้ตั้งแต่แรก บอกว่า “รักษาได้แต่ต้องเอาไปคืนและทางวัดจะไม่ช่วยค่ารักษาใดๆ ถ้าต้องเสียเงิน ก็ปล่อยไว้เดี๋ยวรักษาเอง”
“เวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน เรากลับไปดูอีกครั้งสัตว์ทุกตัวอยู่สภาพเดิม ทางอาสาฯ จึงช่วยกันติดต่อไปทางเจ้าหน้าที่คุ้มครองสัตว์ป่า ได้ความว่าเคยมาจับสัตว์ที่ผิดกฎหมายไปแล้ว แต่อีเห็นตัวนี้ไม่อยู่ในชนิดที่คุ้มครอง พี่เจ้าหน้าที่จึงติดต่อทางปศุสัตว์ให้มาช่วยดู แต่ด้วยความที่น้องอีเห็นไม่ได้พักรักษาในโรงพยาบาลสัตว์ เขาก็จะเลียและกัดแผลแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนอาจจะติดเชื้อในกระแสเลือดตายได้
ภิกษุควรเป็นผู้บิณฑบาตขอชีวิต แต่เราคนธรรมดาไปขอไปรักษากลับไม่ยอมให้ ท่านอ้างว่าจะเอาไว้ให้คนมาดู เราเลยอยากขอคำแนะนำค่ะว่าใครพอมีวิธีช่วยเหลืออื่นมั้ยคะ? พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ทำอะไรได้มั้ย?” ทุกวันนี้ กรมปศุสัตว์ทำได้เพียงเข้ามาดูเดือนละครั้งและไม่อาจทำได้ทั่วถึงเพราะมีสัตว์ที่ทั้งป่วยและปกติอยู่ปะปนกันเยอะมาก
“เราไม่อยากให้ชีวิตน้อยๆ ของสัตว์เหล่านี้ตกเป็นเครื่องมือการทำมาหากินของคนที่เรียกว่าพระเลยค่ะ ช่วยๆ กันโหวตด้วยนะคะ จะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย ถ้าน้องๆ ได้ออกจากมาจากที่ตรงๆ นั้น หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นกระบอกเสียง ส่งถึงผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในเร็ววันนี้ค่ะ อย่างน้อยๆ ถึงคุณสรยุทธก็ยังดี
ที่มาตั้งกระทู้ ไม่ได้มีเจตนาใส่ร้ายทางวัดนะคะ แต่พี่ๆ ที่ไปจิตอาสา เขาฝากมาบอกว่าเกินกำลังพวกพี่เขา ทางวัดก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ... วัดนี้เป็นวัดดังพอสมควร พวกเราตัวเล็กๆ ทำอะไรได้มากไม่ได้ ปศุสัตว์พี่เราก็หามาให้ เราเลยอยากใช้พลังโซเชียลฯ นี้แหละช่วยเหลือน้องๆ เอาน้องๆ ออกมา เราอยากให้ข่าวนี้ดังกว่าข้าวเหนียวไก่ ช่วยน้องๆ ด้วยนะคะ”
ทารุณสัตว์ แม้ห่มเหลืองก็ผิดกฎหมาย!
“พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557” ระบุว่าการทารุณสัตว์ ทำให้สัตว์นั้นได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ทุพพลภาพ บาดเจ็บ หรือตาย รวมถึงการใช้งานในสัตว์พวกนี้อย่างไม่เหมาะสม มีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี
โรเจอร์ โลหะนันท์ เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์(ไทย) ยืนยันชัดเจนว่าหากกรณีที่เกิดขึ้นกับวัดนี้เป็นจริงตามที่กระทู้ตั้งเอาไว้ ผู้บงการซึ่งอาจหมายรวมถึงเจ้าอาวาสวัดจะมีความผิดตามกฎหมายทันที!
“ทางเรารับเรื่องไว้แล้วครับ ประสานทางปศุสัตว์ให้เราเข้าไปตรวจสอบก่อน เท่าที่ผมทราบมาเรื่องนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สมัยก่อนยังไม่มี พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์เลยยังไม่ผิดกฎหมาย แต่ตอนนี้ ผิดก็ว่าไปตามผิด กฎหมายไม่ได้เว้นให้ใครทั้งนั้น ถ้าเป็นไปตามที่เขาแจ้งมามันก็คือทางวัดได้ประโยชน์จากการใช้สัตว์ เพราะว่ามีให้การบริจาคด้วย
ถ้ามีการขังสัตว์รวมกัน สร้างความอึดอัด ไม่ได้อาบน้ำให้ ถือเป็นความผิดในหมวด “สวัสดิภาพสัตว์” อาจจะอนุโลมให้ปรับปรุงแก้ไขได้ แต่ถ้าทำให้สัตว์เจ็บป่วยหนักหนาสาหัส จะเข้าข่ายความผิดในหมวดทารุณกรรมสัตว์ ขั้นแรก เราจะใช้กฎหมายเรื่อง “สวัสดิภาพสัตว์” เข้าไปจับก่อน ขอให้ปรับปรุงแก้ไข คงไม่สามารถบอกให้ยกเลิกการทำธุรกิจแบบนี้ในวัดได้ เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุไว้ว่าห้ามทำธุรกิจ เพียงแต่ถ้าจะทำต้องไม่ผิด พ.ร.บ.การทารุณกรรมสัตว์
ป่วยต้องก็ต้องเอาไปรักษาเพราะคุณได้เงินจากเขามา อย่ามาบอกว่าสัตว์ป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติ กฎหมายกำหนดเลยว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของสัตว์ที่จะต้องดูแลจัดสวัสดิภาพให้สัตว์ ถ้ารู้ว่าสัตว์ป่วยหรือท้องแล้วนำมาหาเงินจะมีความผิดทันที
ปัญหาที่ผ่านๆ มาเป็นเพราะสังคมไทยจะเกรงใจพระ แต่จริงๆ แล้วไม่มีกฎหมายฉบับไหนเลยที่ละเว้นพระนะ แต่ถ้าทำผิดจะให้สึกก่อนแล้วค่อยจับกุมเพื่อเห็นแก่ศาสนา แต่ไม่ได้แปลว่ากฎหมายละเว้น คือจริงๆ ต่อให้เป็นพระใส่จีวร หรือเป็นเจ้าอาวาสจะชั้นไหนก็จับได้ทันที
อย่างกรณีนี้วัดนี้ ถ้าสมมติไปคุยกันแล้ว ทางพระก็บอกว่าทำไม่ได้หรอก เพราะว่าสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เราก็จะส่งฟ้องศาล ส่งฟ้องเสร็จ ศาลก็จะมีอำนาจบอกว่าถ้าปรับปรุงไม่ได้ก็จะต้องยึดสัตว์ไป สำหรับสัตว์ที่บาดเจ็บ ต้องนำไปรักษาให้หมดครับ จะอ้างไม่รักษาไม่ได้ ถ้าใครต้องการออกเงินให้วัดก็ได้ แต่กฎหมายระบุว่า เจ้าของต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
(แต่ละตัว ผอมกระดูกโผล่)
เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าชาวพุทธเอือมระอากับวัดพุทธพาณิชย์ทุกวันนี้มากแค่ไหน บรรทัดต่อจากนี้คือความคิดเห็นจากโลกออนไลน์เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น
“เอ้ย... ขนาดนี้เจ้าอาวาสยังทำแบบนี้อีกหรอ บวชทำไม ผมไม่ค่อยให้นะอาหารสัตว์ตามวัด แล้วก็พวกที่ให้นมแพะ ผมว่ามันน่าสงสารมากกว่า ยิ่งเราให้ เขาก็ยิ่งเอาพวกมันมาหากินแบบนี้”
“เฮ้อ... เจอคนที่หากินกับสัตว์ก็ไม่อยากสนับสนุนแล้ว นี่มาเจอพระเจอเจ้ามาทำซะเอง คือถ้าท่านยังไม่มีใจเมตตาขนาดนี้ก็สึกออกมาเถอะ คนเขาเข้าไปช่วยรักษาและจะนำออกมาให้พ้นจากสภาพที่ลำบากท่านยังไม่ยอม ถ้าไม่มีความสามารถพอก็ปล่อยไปเถอะ ท่านจะอมไว้ทำไม”
“หดหู่มากบอกตรงๆ พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์จะช่วยอะไรได้บ้างมั้ยคะ แบบนี้ไม่ไหวนะ อีกไม่นานกระต่ายเต็มวัดแน่ น่าจะมีสักหน่วยงานช่วยได้ ช่วยกันแชร์ จะได้มีคนมาช่วยเด็กๆ ถ้าทิ้งไว้นาน ตายหมดแน่ บาปกรรมจริงๆ”
“บางคนก็ชอบใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือประกอบธุรกิจ รอดูความจริงกันต่อไป”
“วัดและพระทุกวันนี้ไม่ชวนให้อยากเข้าวัดเลย ครอบครัวผมทำบุญทุกวันนี้ โดยมากก็ให้เด็กด้อยโอกาส เด็กพิการ คนแก่พิการ (เพราะถือว่าเป็นการทำบุญเหมือนกัน ไม่ต้องมีวัด มีพระก็ได้) ส่วนวัดไม่อยากทำบุญ ยกเว้นวัดที่เน้นทางด้านปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ โดยเฉพาะวัดแบบนี้ยิ่งไม่อยากเข้า”
“เขตอภัยทาน หรือเขตทรมาน ยืนไว้อาลัยแป๊บ”
“พระบางรูปก็เหมือนบวชเพื่อทำเป็นอาชีพๆ นึงครับ ได้ข้าวกินฟรีทุกวัน ได้ออกงานสวด ได้เงินมาใช้ เชื่อผมเถอะ ผมบวชมา”
วัดขายสัตว์แลกบุญ ยังมีอีกเพียบ!
ไม่ใช่แค่วัดเดียวเท่านั้นที่หากินกับสัตว์ในลักษณะเดียวกันนี้ เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์(ไทย) บอกเลยว่ายังมีอีกเยอะแยะโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ จึงถึงเวลาแล้วที่ควรยกเครื่องเปลี่ยนแปลง!
“ต้องยกเครื่องทุกคนที่ได้ประโยชน์จากสัตว์ โดยต้องทำให้ถูกหลักสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งไม่ใช่แค่วัด ตอนนี้ทางกรมปศุสัตว์ได้ขอให้ทางเราเข้าไปร่วมร่างข้อกำหนดหลักเกณฑ์แล้ว เพราะต่อไปนี้ กิจกรรมทุกอย่างที่ทำกับสัตว์จะต้องมีข้อกำหนด หลักเกณฑ์ ถ้าไม่มีก็ต้องมานั่งเถียงกันว่า แล้วตกลงจะต้องเลี้ยงอย่างไร ช่วยมาบอกหน่อยสิ ช่วงนี้เราถึงได้เห็นว่า กรณีสวัสดิภาพสัตว์ยังไม่มีใครโดนฟ้อง เพราะถือว่ากฎหมายยังมีช่องโหว่เอง เนื่องจากไม่มีกฎหมายลูก
ส่วนพุทธศาสนิกชนที่เข้าไปอุดหนุนให้อาหารสัตว์ในลักษณะนี้ มันไม่มีข้อบัญญัติที่กำหนดว่า ผู้ที่สนับสนุนให้เกิดทารุณกรรมสัตว์จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายนี้ แต่สำหรับผู้บงการ (กลุ่มคนที่จัดหรืออนุญาตให้เกิดการทารุณกรรมสัตว์) โดนแน่นอน แม้ทางวัดจะบอกว่าไม่ใช่ผู้จัด แต่มีคนมาขอสัมปทานวัดมาทำธุรกิจแล้วแบ่งรายได้ให้วัด ทางเจ้าอาวาสก็โดน เพราะถือเป็นผู้ที่อนุญาตให้เกิดการกระทำผิด
ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา มีหลายวัดที่เน้นหาเงินจากสัตว์ ทำกันเยอะในกรุงเทพฯ เราพยายามเคลียร์กันอยู่ตรงนี้ว่าวัดกับไอ้การกุศลเนี่ย ควรจะแยกแยะให้ชัดเจนไม่ให้กลายเป็นธุรกิจการกุศล เอาง่ายๆ ถ้าเราไปดูตามวัดในวันสำคัญ จะเห็นว่ามีกิจกรรมประจำเดือนคือปล่อยนกปล่อยปลา ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เข้าข่ายทารุณสัตว์เหมือนกัน
ที่เราเจอบ่อยๆ “วัดขวัญเรียม” ตรงบางชัน สุขาภิบาล รามคำแหง ไม่ก็ “วัดบางเพ็งใต้” ตลาดน้ำขวัญเรียม เขาจะเป็นเหมือนสวนสัตว์เลย ให้คนมาทำบุญ ให้อาหารสัตว์ แล้วก็บางทีไม่ใช่วัดทำเอง แต่ว่าเป็นการให้สัมปทานคนอื่นเข้ามาทำ มีแกะมีอูฐเหมือนวัดบางกุ้งนี่แหละ ซึ่งเป็นการนำสัตว์มาหาประโยชน์ กฎหมายระบุอยู่แล้วว่าถ้าคุณเลี้ยงในบ้าน คุณก็จะสวัสดิภาพอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคุณใช้เลี้ยงเพื่อหาประโยชน์แล้วสัตว์ป่วยสัตว์บาดเจ็บมันจะถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์
พวกที่ลงทุนการค้าลักษณะนี้จะเห็นว่าวัดเป็นแหล่งที่เขาจะเอาสัตว์มาปล่อย แล้วจะได้เงินเยอะ คนที่มาวัดก็เอาเงินมาซื้อขนมปังให้ปลา ซื้อแครอทให้ม้าให้อูฐกิน ถุงละ 10-20 บาท เป็นรายได้ดี วัดเลยกลายเป็นแหล่งธุรกิจการกุศลแบบใหม่ที่พ่อค้า แม่ค้าเขานิยมกัน ถ้าไปถามท่านก็จะบอกว่าโยมเอามาบริจาค แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ ท่านซื้อมา ธุรกิจสวนสัตว์เขาก็พยายามหาแหล่งลง พวกที่ขายของในจตุจักรขายไม่ทันก็เอามาขายพระ
ในฐานะคนที่ทำงานด้านสัตว์ และคนไทยคนหนึ่ง อยากจะแนะนำว่า พุทธศาสนาเราอยู่มาได้ 2,500 กว่าปีโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยวัตถุ หรือเงินทอง แค่ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองได้ แล้วเราก็ได้บุญเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องไปสนับสนุนธุรกิจที่ทำให้สัตว์ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน แล้วก็อยากจะเรียนว่า ต้องแยกแยะระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ ถ้าเราคิดว่า วัดทำแบบนี้แล้วมันสะดวก หรือรู้สึกว่า เป็นการทำบุญง่ายขึ้น ผมว่าเรากำลังเข้าใจในเรื่องของการทำบุญผิดไป ยุคนี้เราต้องฉลาดทำบุญ ทำแล้วอย่าทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจ หรือมีเจตนาไม่ดีต้องได้ประโยชน์จากสัตว์
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากปล่อยนกปล่อยปลาก็ทำเหมือนที่บรรพบุรุษของเราทำ ไปตลาด ไปซื้อชีวิตเขาแล้วเอามาปล่อย นั่นถึงจะได้บุญ แต่ถ้าเราไปสนับสนุนให้คนที่ไปเที่ยวจับสัตว์มาขังเอาไว้ในกรมแคบๆ พอถึงวันพระก็เอามาใส่กรงเพื่อให้ดูน่าสงสารแล้วให้คนมาปล่อย อย่างนี้ไม่เรียกว่าฉลาดทำบุญ แต่เป็นการทำบุญได้บาป เพราะเรามีส่วนสนับสนุนให้เกิดธุรกิจบาป
อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เราไปวัดเพื่อจ่ายเงินให้ค่าอาหารตัวนั้น ตัวนี้ บางคนคิดว่าได้บุญ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่นะ มันไม่ต่างจากสวนสัตว์เลย อย่างโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือก็มีปัญหาเหมือนกัน อย่างช่วงหลังก็โดนตรวจสอบกันเยอะ เพราะเป็นการเอาเงินมาให้ ส่วนวัดก็สะสมวัวควายขังไว้ในคอกเล็กๆ พอมีปัญหา สังคมโดยเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาเกิดความสับสน คิดว่าไปแกล้งพระ แต่เราต้องแยกแยะว่า กฎหมายไม่ได้ละเว้นใคร กฎหมายเป็นกติกาที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติ
ส่วนตัวแล้วไม่หวังอะไรกับสำนักพุทธฯ เลย เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าควบคุมวัดไม่ได้ เราทำหนังสือไปตั้งแต่สมัยไหนๆ เราก็ได้คำตอบแค่ว่า แจ้งให้ทางวัดหรือราชาคณะทราบแล้ว ตอนนี้สังคมหันมาเพ่งเล็งสถาบันสงฆ์มากขึ้น ถ้าหวังดีต่อสถาบันสงฆ์จริงๆ ก็ควรปรับปรุง แก้ไข อย่าให้ศาสนาด่างพร้อย”
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพและข้อมูล: กระทู้ “เลี้ยงสัตว์ดึงดูดคนทำบุญ.. “พุทธพาณิชย์” ของวัดชื่อดังที่คนรักสัตว์ปวดใจ”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754