“กลัวติดเชื้อ ไม่สบายใจที่ต้องใช้ชีวิตปะปนกับผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย” คือสาเหตุที่ขับเคลื่อนให้ชาวบ้าน ต.หนองปรือ ลุกฮือกันขึ้นมาล่าชื่อร้องเรียน ขอให้ผู้ป่วยใน “มูลนิธิกระท่อมพระสิริ” ย้ายออกเพื่อลดความกังวลใจ กลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในท้องที่ ซ้ำยังสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจเรื่องเชื้อ HIV ของคนไทยโดยรวมว่าช่างต่ำต้อยติดดินเสียจริงๆ...
ไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่ไว้ใจ...
“48 ราย” คือจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามาขอพำนักอยู่ที่ “มูลนิธิกระท่อมพระสิริ” ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แต่อยู่อาศัยได้เพียงไม่นานก็เกิดภาวะกระอักกระอ่วนขึ้นโดยรอบ ชาวบ้านที่อาศัยละแวกนั้นต่างระแวงและหวาดกลัวว่าจะติดเชื้อจากผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงเข้าชื่อกันทั้งหมด 200 ราย ลงนามร้องเรียนไปยังนายกเล็กเทศบาลเมืองหนองปรือ วอนให้มูลนิธิย้ายออกนอกพื้นที่พร้อมกับผู้ป่วย ด้วยเหตุผลหลักที่ว่า ไม่มีความไว้วางใจในระบบการจัดการความสะอาดและการปล่อยของเสียจากบ้านพักหลังนี้ลงสู่พื้นที่ชุมชน
(ขอบคุณภาพจากรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้")
“ทางมูลนิธิแจ้งเราว่าจะมาเปิดเป็นโรงเรียนสอนดนตรี ซึ่งก็รู้สึกดี แต่ปรากฏว่า พอย้ายเข้ามาอยู่กลับเป็นผู้ป่วยเอดส์ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เพราะมูลนิธิดังกล่าวไม่มีรั้วรอบขอบชิด ปล่อยปละละเลยให้ผู้ป่วยเดินออกไปซื้อของกินของใช้ปะปนกับชาวบ้าน นอกจากนี้ ยังไม่มีระบบป้องกันสาธารณูปโภค ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเกรงว่าผู้ป่วยอาจจะนำโรคมาติดต่อเด็กในหมู่บ้านได้ อีกทั้งผู้พักอาศัยตามห้องเช่า ต่างพากันทยอยอออก เนื่องจากไม่อยากอยู่ในพื้นที่ ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งใจจริงแล้วก็ไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจ และควรหาหนทางโยกย้ายไปพื้นที่เหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่”
“วิญญู ดำริห์” ผู้ช่วยที่ปรึกษาประธานชุมชน ย้อนพูดถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้ให้ฟัง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับคำให้การของ “วิเชียร เวฬุวัน” ประธานชุมชนหลังเนิน วัย 27 ปี และ “บุญเลิศ เมฆจันทร์” วัย 64 ปี ที่เท้าความให้ฟังว่าคนในชุมชนสนับสนุนโครงการที่ทางมูลนิธินี้จัดขึ้นเสมอมา โดยก่อนหน้าดำเนินโครงการเกี่ยวกับการฝึกอาชีพ และสอนภาษาอังกฤษ รวมถึงสอนดนตรีให้แก่เด็กๆ ในชุมชน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีจึงไม่มีใครคัดค้าน แต่ครั้งนี้ไม่อาจทนรับไหวเพราะจู่ๆ เมื่อ 3 เดือนก่อน ทางมูลนิธิก็นำผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีเข้ามาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้ปรึกษาคนในชุมชน และไม่มีการจัดระบบสาธารณูปโภคให้ดี มีการปล่อยน้ำเสียออกมาจากสถานที่ดังกล่าว
(มูลนิธิที่ถูกชาวบ้านไล่)
ลองถามความจริงจากอีกฝั่งดูบ้าง ในฐานะผู้ป่วยเอดส์ซึ่งเป็นผู้ดูแลมูลนิธิกระท่อมพระสิริอย่าง “จารุวรรณ บุญสร้าง” จึงเปิดเผยว่า เดิมทีมูลนิธิตั้งอยู่ที่หมู่บ้านทุ่งกลมตันหมัน อ.บางละมุง แต่ตอนหลังงบประมาณหมด จึงได้ติดต่อเช่าที่ดินเปล่าตรงผืนนี้ โดยใช้งบประมาณที่เมืองพัทยา อุดหนุนให้ปีละ 380,000 บาท และเงินบริจาคจากองค์กรต่างประเทศ และผู้ใจบุญสมทบ จัดสร้างที่พักสำหรับผู้ป่วยมาได้ 5-6 เดือนแล้ว ทั้งนี้ ปัจจุบันมูลนิธิมีผู้ป่วย 48 คน แบ่งเป็นโรคเอดส์ 43 คน และวัณโรค 5 คน
“แต่หลังจากอยู่ได้ไม่นานก็ได้รับการต่อต้านจากชาวบ้านใกล้เคียง ขอให้มูลนิธิย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งทางมูลนิธิก็รู้สึกเสียใจค่ะ แต่ก็เข้าใจที่ชาวบ้านกลัวเป็นโรคติดต่อ ซึ่งจริงๆ แล้วโรคดังกล่าวไม่สามารถติดต่อกันได้ง่าย ส่วนจะไปจากที่นี่หรือเปล่า คงต้องรอการหารือร่วมระหว่างเทศบาลและชาวบ้านอีกครั้งนึง”
ล่าสุด หลังจากได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุยกันอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว “มาย ไชยนิตย์” นายกเทศมนตรีเมืองหนองปรือ บอกว่ายังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในตอนนี้เพราะถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงจะขอนัดประชุมหารือกันอีกครั้งในวันที่ 10 ธ.ค.ที่จะถึงนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เบื้องต้นได้เรียกผู้เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิกระท่อมพระสิริ กองสาธารณสุข สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน และชาวบ้านมาร่วมหารือเพื่อหาข้อยุติ
มีการเสนอแนวทางแก้ไขเอาไว้ 2 รูปแบบ คือ 1.ให้ย้ายออกจากพื้นที่โดยเด็ดขาด หรือ 2.ให้ปรับปรุงพัฒนาให้ได้มาตรฐานความสะอาด และปลอดภัย ส่วนคำตอบสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร คงต้องอยู่ที่มติส่วนรวม ถ้ายังยืนยันให้มูลนิธิย้ายออก ทางเทศบาลก็จะช่วยประสาน จัดหาที่ดินในพื้นที่เหมาะสมเพื่อสร้างที่พักขึ้นใหม่ โดยจะช่วยเหลือในการจัดทำระบบสุขาภิบาล สิ่งแวดล้อม สาธารณูปโภค และบำบัดน้ำเสีย รวมถึงเพื่อให้เกิดความชัดเจน และเป็นมาตรฐาน คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่จากนี้คงต้องอยู่ร่วมกันไปก่อน
เข้าใจเสียใหม่! ต่อให้ “โดนเลือด-โดนหนอง” ก็ไม่ติด!!
ลองให้มองจากมุมผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อย่าง “นิมิตร์ เทียนอุดม” ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ดูบ้าง ในฐานะที่คลุกคลีทำงานเกี่ยวกับโรคนี้มาหลายปี มองว่าเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจไปด้วยเช่นกัน
“จากภาพและข่าวที่ออกมาทำให้ผมรู้สึกไม่สายใจเท่าไหร่ครับ เลยอยากให้มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์” กับ “ผู้ป่วยเอดส์” ไม่เหมือนกัน
(เรื่องใหญ่ ต้องประชุม)
ถ้าเป็น “ผู้ติดเชื้อ” หมายความว่าเขาเป็นผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย โดยสภาพทั่วไปของร่างกายจะเหมือนกับผู้ปกติที่เดินๆ กันอยู่ เพียงแต่เขามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายเท่านั้นเอง และคนที่เป็นผู้ติดเชื้อแบบนี้ก็อาจจะมีที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อหรือแบบที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อก็ได้ ซึ่งในสังคมเราตอนนี้ คาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 300,000 คน
ส่วน “ผู้ป่วยเอดส์” หมายความว่าเขามีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย แล้วเขาไม่ได้รับการรักษาหรือว่าไม่รู้ตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งป่วย ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสต่างๆ นานาที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, วัณโรค คนเหล่านี้ที่เป็นผู้ป่วยเอดส์เขาควรจะได้รับการรักษา และถ้าเขาได้รับการรักษาแล้ว เขาก็จะกลับกลายมาเป็นผู้ติดเชื้อเหมือนคนทั่วไปได้
ดังนั้น จากกรณีที่เกิดขึ้นกับชุมชนบ้านหนองปรือ ทางที่ดีที่สุดคือต้องแบ่งแยกหรือคัดกรองประเภทผู้ป่วยในนั้นให้ได้ก่อนว่า อยู่ในบ้านพักนั้นในสถานะอะไร ถ้าเป็นสถานะผู้ป่วยเอดส์ บ้านพักนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยให้เขาเข้าสู่การรักษา แล้วพอเข้าเข้าสู่การรักษาและหวังว่าการรักษาจะมีคุณภาพเขาก็จะฟื้นตัวขึ้นมาแล้วก็เริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสต่อไป”
(อนาคตยังไม่แน่ว่า มูลนิธิและผู้ป่วยจะได้อยู่หรือไป)
ส่วนเรื่องการติดโรคที่ชาวบ้านกลัวๆ กันอยู่นั้น คอนเฟิร์มได้เลยว่าไม่มีทางติดแน่นอน หรือถ้ามีก็มีความเสี่ยงน้อยมาก อาจจะต้องลงทุนเอาเลือดเอาหนองของผู้ป่วยมาสัมผัสกับแผลของตัวเองโดยตรงอย่างตั้งใจทำจริงๆ โรคเอดส์ที่หลายคนกำลังกลัวๆ กันนี้จึงจะติดต่อไปสู่อีกคนได้
“ถ้าชาวบ้านในชุมชนนั้นกลัวว่าผู้ป่วยจะไปทำให้เขาติดเชื้อ ก็ต้องบอกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา แล้วนอนอยู่อย่างนั้น เขาจะไม่ทำให้คุณติดเชื้อ HIV หรอกครับ มันไม่มีทางเลย เพราะว่าเขาป่วยอยู่ ถ้าคุณจะติดเชื้อจากเขาได้คือคุณต้องไปมีเพศสัมพันธ์กับเขาโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยเท่านั้นเอง หรือคุณไปใช้เข็มฉีดยาร่วมกับเขา
ต้องบอกกับทางชุมชนว่าผู้ป่วยเหล่านี้เขาเป็นคนที่น่าเห็นใจ เป็นคนที่เราต้องช่วยให้เขาได้เข้าสู่การรักษา เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะติดเชื้อจากเขาเพราะเข้าไม่สามารถทำให้เราติดเชื้อได้อยู่แล้ว
หรือถ้ากลัวจะติดเชื้อทางบาดแผล คุณก็ต้องจัดการตัวเอง ติดพลาสเตอร์ยา ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะเอาอุจจระ-ปัสสาวะของผู้ป่วยไปขยี้ที่แผล แต่ถึงทำแบบนั้นก็ยังไม่ติดเลยครับ เพราะในอุจจาระ-ปัสสาวะมันไม่มีเชื้อ HIV อยู่ แต่ที่กลัวๆ กันอยู่ มันเกิดจากความเข้าใจผิดไงครับ คิดว่ามันติดกันง่ายๆ ซึ่งขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้าคุณจะติดเชื้อ HIV คุณต้องไปมีเพศสัมพันธุ์กับคนที่นอนป่วยอยู่โดยที่ไม่ใช่ถุงยางอนามันเท่านั้นครับ”
เพื่อให้กรณีนี้มีปลายทางที่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ แนะนำว่าเบื้องต้นคือต้องมีทีมไปทำความเข้าใจกับชุมชน ทำให้เห็นว่าแบบไหนที่ทำให้ติดต่อหรือไม่ติดต่อทางโรค และจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร และทางมูลนิธิต้องคัดแยกให้ชัดเจนว่าคนที่อยู่ในมูลนิธิเป็นผู้ป่วยแบบไหน จากนั้น จัดบริการให้เหมาะสมกับสถานะของเขา รักษาอาการเจ็บป่วยให้ และถ้าเขามีสุขภาพที่แข็งแรงดีแล้วก็สามารถส่งกลับบ้านและไปทำความเข้าใจกับครอบครัวของพวกเขา แต่ถ้าผู้ป่วยไม่มีที่ไป มูลนิธิก็ต้องจัดการที่ที่เหมาะสมให้พวกเขาอยู่ในสังคมนั้นได้ พร้อมทั้งอธิบายให้เข้าใจตรงกันว่าเราจะสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างเกื้อกูลโดยที่ไม่ติดเชื้อ
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- นายกหนองปรือฟังเสียงชาวบ้าน หากให้ย้ายที่พักผู้ป่วยเอดส์ก็พร้อมหาที่ใหม่
- ชาวบ้านชุมชนหลังเนินกว่า 200 ราย ลงชื่อร้องขอให้มูลนิธิฯ ออกนอกพื้นที่ หลังนำผู้ป่วยเอชไอวีมาพักรักษาตัว
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754