ปิดฉากไปแล้วกับคอนเสิร์ต “ปรากฏการณ์ ดัม - มะ - ชา - ติ” ของวงร็อกอันดับ 1 ของประเทศอย่างบอดี้สแลม ทว่าหลังม่านที่รูดปิดลงยังคงเต็มไปด้วยปมปัญหา ตั้งแต่ดรามาลดราคาบัตร กระทั่งยกเลิกคอนเสิร์ต คำถามใหญ่ประเดประดังเข้ามา หรือนี่จะเป็นขาลงของคอนเสิร์ตไทย แม้แต่วงร็อกอันดับหนึ่งยังมิอาจหาญกล้าท้าทายแรงลม ยังมีคำถามอีกมากมายที่ผู้คนสงสัย สิ่งนี้คือความฝันที่ใหญ่เกินตัว หรือเพียงไม่ได้กำไรก็ยกเลิก?
ไปไม่ถึงความฝัน
รอบสุดท้ายของคอนเสิร์ตจบลงด้วยภาพที่สะเทือนใจแฟนเพลง เมื่ออาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลมร่ำไห้อยู่เบื้องหลังเวทีคอนเสิร์ต ปิดฉากไปตามที่มีประกาศยกเลิกคอนเสิร์ตที่เหลือทั้งหมด หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ร็อกเกอร์คนดังก็ได้มีการโพสต์ข้อความลงไอจีถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น กับความฝันที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้
“มาได้แค่นี้ ก็เกินฝันแล้วครับ
“จำได้ดีว่า ตอนเป็นเด็กชอบร้องเพลงในห้องน้ำ ร้องคนเดียว ฟังคนเดียว มีความสุขที่ได้ร้องเพลงที่ชอบ หลับตาร้องเพลินๆ มาเรื่อยๆ สักพักเปิดตามา อ้าว...มีคนมาฟังเราร้องซะอย่างงั้น ไม่ได้คิดอะไร ก็คิดว่าตาฝาดหรือว่าเราฝันไป สักพัก...ก็หลับตาลง แล้วก็ร้องเพลงที่เรารักต่อ สักพักเปิดตามา เฮ้ย!! มีคนมาฟังเราร้องเพลงเยอะขึ้นจากตอนแรกอีก ในใจเริ่มงง...นี่มันเรื่องจริงหรือความฝันวะเนี่ย!!? แต่แค่อย่างจะบอกตรงๆ เลยว่า ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ฝัน มันก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากที่สุด ที่ครั้งหนึ่งเราแค่ชอบร้องเพลง ร้องเพื่อความสุขใจของตัวเอง แต่วันหนึ่งมีคนคอยรับฟัง มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวของเรา ช่วยกันร้องเพลงที่เรารักเป็นเสียงเดียวกัน แค่นี้ถึงแม้มันเป็นเพียงฝัน...ผมก็ยอม
“ชีวิตคนเราผมเชื่อว่ามีความฝันและมีความหวังคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เรามีพลังงานดีๆ ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างที่ตั้งใจ ก้าวบางก้าวที่เดินทางบางทีอาจเจอหลุมเจอบ่อและไม่เป็นไปอย่างใจต้องการ ทั้งๆ ที่ก็คิดว่า ได้เบิ่งตามองทางและวางแผนในการก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างถ้วนถี่ แต่บางครั้งชีวิตจริงมันก็ไม่ได้สวยหรูเหมือนฝันตลอด แต่ที่สุดแล้ว แค่ได้เรียนรู้ไปกับทุกๆ ก้าวที่เดิน ไม่ว่าจะร้ายหรือดีที่มันผ่านเข้ามาในชีวิต เราก็จะกอดรับมันเอาไว้ เพื่อ...เพื่อให้เราได้เป็นคนเต็มคนที่มีความรู้สึก...ดีใจ...เสียใจ ร้องไห้ให้กับบางสิ่งที่เรารักและทุ่มเทใจให้กับมันได้
“วันนี้ผมเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็ได้พบภาพสวยงามที่สุดภาพหนึ่งในชีวิต ภาพที่ทุกคนคอยมาให้กำลังใจ ภาพที่ทุกคนช่วยกันส่งเสียงร้องเพลงอย่างสุดเสียง ภาพของสองมือครั้งแล้วครั้งเล่าที่ช่วยกันชูมันขึ้นมา แค่นี้มันก็ไกลเกินฝันแล้วครับ ขอบคุณที่ช่วยทำให้เด็กน้อยขี้อายที่ชอบร้องเพลงคนเดียวในห้องน้ำคนนี้ไม่เดียวดาย และจนกว่าจะพบกันใหม่ครับ"
"ไม่มีทุกคน...ไม่มีบอดี้สแลม"
ดรามา “ดัม - มะ - ชา - ติ”
หลังจากมีการประกาศลดค่าตั๋วจาก 1,500 บาทมาเป็น 399 บาท กระแสต่อต้านก็เริ่มก่อตัวจากบรรดาแฟนเพลงที่ได้ซื้อตั๋วไปก่อน กลายเป็นกระแสดรามาที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระแสความขัดแย้งมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กระทั่งท้ายที่สุดทุกอย่างก็จบลงด้วยการประกาศยกเลิกคอนเสิร์ตทั้งหมด
แน่นอน สิ่งนั้นถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ยิ่งเป็นตัวจุดปะทุให้แฟนเพลงวิพากณ์วิจารย์การกระทำดังกล่าว ตั้งแต่มองว่าวงบอดี้สแลมกำลังมาถึงช่วงขาลงแล้วจริงๆ จนถึงตำหนิในความไม่เป็นมืออาชีพ แต่แน่นอนว่าก็ยังมีหลายความเห็นที่ให้กำลังใจ
“เอาจริงๆ บอดี้อยู่ในช่วงขาลงละ ผมแฟนคลับตัวจริง ตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกยันอัลบั้มนี้ แต่พูดจากใจแบบเป็นกลางๆ ไม่มโนเลย บอดี้สแลมมาถึงขาลงจริงๆ จากกระแสข่าวพี่ชัดด้วย (ข่าว เพลงที่คล้ายเกิน ตั้งหลายเพลง รวมถึง mv) มันทำให้กระแสวงค่อยๆ ซาลงไปมาก อาจเกิดจากความผิดพลาดจากหลายๆ คน แต่คนที่รับคือวง เอาจริงๆ มีใครร้องเพลงบอดี้สแลม ชุดใหม่ได้เกิน 5 เพลงบ้าง ให้ผมร้องเพลงจากอัลบั้มที่ 1 ถึง 3 ผมร้องได้ทุกเพลงนะ เชื่อว่าหลายๆ คนร้องได้ แต่กับเพลงชุดใหม่ๆ เอาจริงมีกี่เพลงที่ร้องจบ (จะอ้างว่าเพลงมันล้ำขึ้น เนื้อยากขึ้น ผมว่าไม่เกี่ยวหรอก) จากใจแฟนคลับ บอดี้จ๋า!!!” Jr Man
“ความจริงพวกคุณก็หยุดการจำหน่ายบัตรโปรโมชั่น แล้วเดินหน้าเล่นคอนเสิร์ตตามที่พวกคุณตั้งใจ ยังมีอีกหลายที่ ที่เขาอยากดูคุณ เราเป็นคนหนึ่งที่เวลาอยากดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่เราชื่นชอบ นั่งนับวันรอ ยกเลิกนัดทุกสิ่งเพื่อเฝ้ารอการมาของศิลปินที่ชื่นชอบ หลังจากจบทัวร์นี้ คุณก็จัดทัวร์ใหม่แล้วจะกำหนดโปรโมชั่นตามที่สปอนเซอร์ทั้งหลายต้องการ...ยังทันนะคะ” Vanesvza Mirrorbag
“ทำไม ถ้าเรารักบอดี้สแลมจะสนใจทำไมว่าเราซื้อบัตรมากี่บาท เพราะเราพอใจที่จะมาดู...ทำไมคนไทยไม่มีน้ำใจ ทำไมไม่ดีใจที่คนอื่นๆ เขาจะได้มีโอกาสได้ดูบอดี้สแลม วงดนตรีที่เราชื่นชอบเหมือนกัน (ส่วนตัวซื้อได้บัตร900) แต่พอเค้าบอก399เรากลับรู้สึกดีใจว่า เออ...เพื่อนๆ คนอื่นๆ จะได้มีโอกาสดูเหมือนกัน ไม่ได้ดูว่าเราซื้อบัตรมาแพงมาถูก เพราะเราชอบบอดี้สแลม ไม่ได้ยึดตัวเองว่า เราซื้อแพงกว่าคนอื่น ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อ ความเห็นอกเห็นใจ มันไปไหนหมด” ChewChew Fernney
“งอนเป็นเด็กเลยอ่ะ ความเป็นมืออาชีพไปไหน สุดท้ายแล้วคือบัตรขาดทุนเหรอครับจังหวัดที่เหลือ” Veerasak Boonchusorn
“เราอยู่ที่เวียงจันทน์ วันเเรกที่รู้ว่าขายบัตรเรานั่งรถเข้าอุดรธานีเพื่อจะไปซื้อบัตร พวกเราไม่เคยบ่นว่า เหนื่อย แต่พวกคุณ คนรอพวกคุณมากมายเพื่อจะได้ดูพวกคุณ...ความฝันของพวกเขาทุกคน....ผิดหวังจริงๆ...จะไม่คืนบัตรจะเก็บไว้ดูว่าเสียใจมาก” NoiiNoii Noii
“เหตุผลจริงๆ แล้วคือการประเมินที่ผิดพลาดของผู้จัดงาน คงประเมินความสำเร็จจากคอนเสิร์ต ไลฟ์ อิน คราม เป็นตัวชี้วัดในการจัดทัวร์ครั้งนี้ทั่วประเทศ ถ้าขายบัตรหมดในราคาบัตรสูงสุด 1,500 ผู้จัดงานกับวงจะฟันกำไรเละเทะ แต่ผู้จัดคงลืมคิดไปว่าที่ ไลฟ์ อิน คราม คนเยอะขนาดนั้น เพราะแฟนเพลงมาจากทั่วประเทศ ไม่ได้มาจากแค่ในกรุงเทพจังหวัดเดียว และการขายบัตรราคา 1,500 ในต่างจังหวัดถือว่า เกินกำลังซื้อโดยส่วนมากของคนต่างจังหวัด บวกกับความนิยมของวงที่น้อยลงจากเดิม วัดได้จากกระแสเพลงอัลบั้มล่าสุดที่ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับอัลบั้มก่อนๆ ถึงแม้วงบอดี้สแลมจะยังเป็นวงดนตรีอันดับหนึ่งของประเทศอยู่ก็ตาม ด้วยความเป็นศิลปินของวงเอง ต่อให้บัตรขายไม่ได้มีคนดูไม่กี่คน ผมเชื่อว่า วงก็จะเล่นด้วยใจ แต่การทัวร์ครั้งนี้มันมีนายทุนและธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง พอมองจากยอดขายบัตรทั่วประเทศแล้วไม่เป็นไปตามเป้า คนดูน้อยก็จะเสียภาพพจน์วงร็อกอันดับหนึ่งของประเทศ จึงทำโปรโมชั่นตั๋ว 399 บาทออกมาเพื่อให้แฟนเพลงเข้าไปดูเยอะๆ เป็นภาพที่ออกมาสวยงาม นายทุนก็ยิ้มได้เพราะไม่ถึงกับเจ๋ง แต่เกิดกระแสวิกฤติศรัทธาจากโปรโมชั่นนี้เข้า การทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้ที่น่าจะเป็นประวัติศาสตร์จึงต้องปิดฉากลงอย่างเอวัง...โดยสิ้นเชิง!!!” Det Northtemple
เหตุที่ฝันต้องหยุดลง
หลังจากคอนเสิร์ตดังกล่าวถูกประกาศยกเลิก คำถามประเดประดังเข้าใส่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้นโผผู้ร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยุทธนา บุญอ้อม หรือที่รู้จักกันในนาม ป๋าเต็ด ได้ให้เหตุผลว่า คอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นนั้นมีต้นทุนที่สูงมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถทำต่อได้ รวมทั้งกระแสที่ถูกโจมตีเรื่องลดราคาค่าตั๋วอีกด้วย
“ทุกคนอยากจะเล่นต่อให้จบ ไม่ได้รู้สึกว่าไม่อยากเล่น ขาดทุนกำไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ต้นทุนมันสูงมาก จนงบประมาณที่เตรียมไว้ไม่พอ เราไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกจริงๆ”
เขาเผยรายละเอียดว่า เนื่องจากการเตรียมงานครั้งนี้ใช้ต้นทุนสูงชนิดที่ว่า ต่อให้ขายบัตรหมดทุกที่นั่งก็ยังได้แค่เท่าทุน มีความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์แล้ว เมื่อบัตรขายไม่ได้ตามเป้า ทางเดียวคือต้องยกเลิกคอนเสิร์ต แต่ก็มีแผนสำรองที่จะเล่นต่อด้วยการลดราคาตั๋วแทน ท้ายที่สุด เขาเผยว่า คอนเสิร์ตที่เกิดขึ้นนั้น ขาดทุนแน่นอน น่าจะเกิน 20 ล้าน เกือบ 30 ล้าน หากทำต่อไปตัวเลขขาดทุนก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องหยุดลง
มองในมุมการตลาดคอนเสิร์ตในประเทศไทยนั้น ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดมองว่า คอนเสิร์ตที่จัดในประเทศไทยนั้น มักมีลักษณะให้มีสปอนเซอร์ใหญ่เป็นผู้สนับสนุนหลักซึ่งอาจมีเงื่อนไขต่างๆ และทำให้ศิลปินหลายคนไปทัวร์ทั่วประเทศ หรือไปทัวร์ต่างประเทศได้ โดยสามารถเก็บค่าตั๋วผู้ชมในราคาที่ถูกลง หรือไม่เก็บค่าตั๋วเลย อีกปัจจัยที่สำคัญคือ กำลังซื้อของคนที่ตกลงจากภาวะเศรษฐกิจ และกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่อาจจะไม่ยอมจ่ายเงินมากขนาดนั้นเพื่อมาดูบอดี้สแลม
“ถ้าดูจากหน้าเพจ วงบอดี้สแลมมีจำนวนลูกเพจอยู่ 4 ล้านคน กลุ่มแฟนเพลงเขาถือเป็นร็อกเกอร์อันดับ 1 ของเมืองไทย แต่แฟนเพลงกลุ่มที่มีตังค์อาจจะมีไม่มากพอที่จะจ่ายไหว หรือกลุ่มที่มีเงินอาจจะอยู่แต่เฉพาะในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดมันอาจจะแพงเกินดังนั้นเขาอาจจะคาดการณ์ผิด”
เทียบกับคอนเสิร์ตที่เพิ่งจบไปของ เสก โลโซ ที่พบว่ามีตั๋วว่างมากมายโดยเฉพาะตั๋วราคา 5,000 บาท ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า แฟนเพลงอาจไม่สามารถจ่ายได้มากนักกับการดูคอนเสิร์ตในยุคปัจจุบัน
เขาเผยว่า คอนเสิร์ตของบอดี้สแลมนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่เป็นการจัดคอนเสิร์ตแบบฟูลสเกลทั่วประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นโมเดลที่คล้ายกับศิลปินต่างชาติทัวร์ไปตามรัฐต่างๆ ซึ่งสามารถทำได้โดยการขายตั๋วไม่ต้องรอสปอนเซอร์
“มันเหมือนเป็นการทดลองของเขา ถ้าบอดี้สแลมสามารถทำได้ ศิลปินอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน คือสาเหตุอีกอย่างอาจจะมาจากงบโฆษณา งบอีเวนต์ของหลายๆ บริษัทมีการตัดให้น้อยลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี เงินที่จะมาเป็นสปอนเซอร์ให้ก็เลยน้อยลงด้วย”
เขามองว่า การตัดสินใจจัดคอนเสิร์ตทั่วประเทศแบบนี้ อาจมาจากการประเมินสถานการณ์ผิด หากจัดในกรุงเทพฯอย่างเดียว เล่นหลายๆ รอบก็สามารถลดต้นทุนได้ และหลายครั้งศิลปินมากมายก็ใช้วิธีนี้ เปิดการแสดงหลายรอบในกรุงเทพฯเพียงที่เดียวก็สามารถจัดการกับต้นทุนได้ การตัดสินทั้งการลดราคาค่าตั๋วกับการยกเลิกคอนเสิร์ต เขามองว่าเป็นการทำให้วงเสียภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก
“ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เสียภาพลักษณ์มากๆ ไม่ค่อยทำกัน เพราะกว่าจะมีคอนเสิร์ตออกมาได้ มันต้องมีการวางแผนมากมาย มีการเตรียมการเยอะแยะ ทั้งทีมงาน ทั้งการฝึกซ้อมกว่าทุกอย่างจะลงตัวเข้าที่ คิวงานต่างๆก็ต้องพร้อมที่สุด แต่พอมาประกาศยกเลิกแบบนี้มันก็เสียภาพลักษณ์ ซึ่งจริงๆก็เสียมาตั้งแต่ประกาศลดราคาแล้ว เล่นไป 9 - 10 จังหวัดแล้วยกเลิก ซึ่งคงมีการประเมินดูแล้วแหละว่า ยกเลิกดีกว่าขาดทุน
“ท้ายที่สุดบทเรียนที่ได้ก็คือ คุณต้องประเมินสถานการณ์ให้ถูก ทั้งกลุ่มแฟนเพลง ภาวะเศรษฐกิจกับสิ่งที่คุณจะทำ”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754