เป็นเรื่อง! เมื่อผู้ต้องหาชาวพม่าทั้ง 2 รายในคดีฆาตกรรมอำพรางนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ณ เกาะเต่า ออกมาพลิกลิ้นถอนทุกคำรับสารภาพ ซ้ำยังแฉว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อม เรื่องจึงถึงคณะกรรมการสิทธิฯ ให้ออกมาซักฟอกทีมสอบสวนสีกากี เมื่อเห็นท่าไม่ดี นายกฯ จึงกลับลำ เปิดทางให้ตำรวจอังกฤษมาช่วยเคลียร์คดี
งานนี้เข้าเค้านักสืบไซเบอร์มากขึ้นทุกทีๆ ผู้ติดตามคดีลุ้นตัวโก่งให้ถึงวันปลดอิสรภาพแพะ จับกุมคนร้ายตัวจริง!!
เปิดใจ “แพะม่า” โวยสอบสวนโหด!!?
(นายเมา ให้สัมภาษณ์กับ RFA (Radio Free Asia) ด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น)
“ตอนนี้ผมได้รับอิสระแล้ว แต่ก็ยังมีตำรวจนอกเครึ่องแบบ 2-3 คนที่ยังคอยตามผมไปทุกที่ ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงต้องขอตัวไปนอนพักที่สถานทูตพม่าในกรุงเทพฯ เป็นการชั่วคราว
ก่อนหน้านั้น ตำรวจไทยได้จับพม่ามาหลายคนมาก แล้วก็โดนซ้อมกันหลายคนมากเพื่อให้รับสารภาพว่าฆาตกรฆ่านักท่องเที่ยว 2 คนนั้น อย่างตัวผมเอง โดนซ้อมไป 3 รอบ แต่ผมไม่ยอมรับ ก็เลยเอาตัวผมไปเทียบกับคนในกล้องที่วิ่งไปวิ่งมา ตำรวจบอกว่าคนในกล้องคือนายเมา แต่ผมก็บอกไม่ใช่ๆ แต่อีก 2 คนที่โดนจับว่าเป็นคนร้าย (เวพิว และ ซอลิน) เป็นเพราะพวกเขากลัว กลัวโดนช็อตไฟฟ้า เลยต้องยอมรับตามที่ตำรวจไทยอยากให้เป็น...
ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะอยู่เมืองไทยต่อแน่นอน”
นี่คือปากคำของนายเมาซึ่งให้สัมภาษณ์เอาไว้ต่อสำนักข่าว RFA (Radio Free Asia) บอกเล่าเหตุการณ์ผ่านประสบการณ์ตรง เบื้องหลังกระบวนการสืบสวนของตำรวจไทย ในฐานะผู้เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมโหดนักท่องเที่ยวที่เกาะเต่าเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา
คลิปเสียง นายเมา บอกเล่าเบื้องหลังการสืบสวนด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
(ครั้งหนึ่ง นายเมาเกือบกลายเป็นแพะ)
แม้จะยังไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างแน่ชัดว่าคำบอกเล่าทั้งหมดจริงเท็จประการใด แต่คำให้การผ่านสื่อมวลชนต่างสัญชาติของเขาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ต้องหาในคดีนี้ “เวพิว” และ “ซอลิน” ซึ่งล่าสุดเพิ่งใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมผ่านทนายความสภาฯ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อ้างว่าพร้อมสู้ในฐานะ “พม่า” ที่ไม่อยากเป็น “แพะ” และรายละเอียดต่อไปนี้คือสิ่งที่ “แพะม่า” ต้องการร้องขอผ่าน “รัษฎา มนูรัษฎา” ทนายความอาวุโส และทีมทนายความจากสำนักงานสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ
“1.ขอปฎิเสธ ตลอดข้อกล่าวหาว่าไม่ได้เป็นคนผิดและไม่ได้ลงมือฆ่านักท่องเที่ยว
2.ขอร้องเรียนว่าระหว่างการสอบสวน ถูกล่ามผู้แปลถีบที่หน้าอก และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพ
และ 3.ขอความเป็นธรรมจากอัยการจังหวัด เพื่อพิจารณาการไต่สวนก่อนส่งฟ้องศาลเพื่อตัดสิน”
(ครอบครัว 2 ผู้ต้องหาชาวพม่า เดินทางมาขอความเป็นธรรมถึงไทย)
เมื่อผู้ที่อ้างตัวว่าเป็น “แพะ” ออกมาดิ้นพล่านๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอยขนาดนี้ จึงร้อนมาถึงเจ้าหน้าที่สอบสวนสีกากีของไทย ออกมายืนยันกันให้จ้าละหวั่นว่าไม่มีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยด้วยวิธีการใดอย่างแน่นอน และคนที่จะไขความกระจ่างในวินาทีนี้ได้ มีเพียงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเท่านั้น ซึ่ง “นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” หนึ่งในอนุกรรมการผู้รับผิดชอบกรณีนี้ ได้ให้รายละเอียดเบื้องต้นเอาไว้ดังนี้
“การที่เรารับฟังข้อเท็จจริงของทุกฝ่าย ปรากฏว่ามีหน่วยงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลายหน่วยงานมากที่เข้าไปสืบสวนในช่วงแรก ประกอบด้วยหน่วยงานสืบสวนในท้องที่เอง แล้วก็หน่วยงานสืบสวนระดับจังหวัด หน่วยงานสืบสวนระดับภาค 8 และหน่วยงานสืบสวนของส่วนกลาง รวมทั้งหน่วยงานสืบสวนทั้งจากตำรวจน้ำ ตำรวจท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งกองปราบปราม เพราะฉะนั้น ทางอนุกรรมการก็เลยคิดว่าจะต้องเชิญตำรวจที่สืบสวน ท่านผู้กำกับ รวมถึงท่านรองผู้บัญชาการ ให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่ามีการซ้อมทรมานจริงหรือไม่
(เด็กน้อยชูป้าย "ขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหาคดีเกาะเต่า2คนด้วย")
จากปากคำของหมอพรทิพย์ ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ามีการทุบตีทำร้าย หรือแม้กระทั่งการใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะ และจากการตรวจร่างกายก็มีจุดที่กดเจ็บบริเวณหน้าอกของผู้ต้องหา 1 คน ซึ่งทั้งหมด ทางคณะกรรมการสิทธิฯ คงต้องทำจดหมายถึงทางผู้บัญชาการเรือนจำให้เอกซเรย์ทรวงอกดูว่ามีร่องรอยการบาดเจ็บที่หลงเหลือค้างอยู่มั้ย เพราะทีมแพทย์ที่ลงไปยืนยันว่าไม่พบร่องรอยบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ได้จากปากคำของทางผู้ต้องหาว่ามีการซ้อมทรมาน”
ในบางกรณี จุดที่กดเจ็บนั้นดูจากสายตา ไม่จำเป็นต้องมีรอยฟกช้ำก็ได้ นายแพทย์จึงแนะนำให้ใช้การเอกซเรย์ดูเพื่อตรวจสอบว่ามีพยานสภาพอยู่ที่กระดูกหรือไม่ แต่ถ้าอาการบาดเจ็บหลงเหลือแค่ในส่วนกล้ามเนื้อผิวหนัง ผลการเอกซเรย์ออกมาก็จะไม่พบร่องรอยความเสียหาย ที่น่าเสียดายคือการสอบสวนผู้ต้องสงสัยทั้งสองเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-2 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าหากมีการทำร้ายร่างกายจริง จากวันเกิดเหตุก็ผ่านมาแล้วนับ 20 วัน จึงอาจตรวจสอบร่องรอยที่หลงเหลือได้ยาก
(คำสารภาพวันวาน กลายเป็นฝุ่นไร้ความหมาย)
“แต่เราก็ต้องทำให้ชัดเจน ถึงแม้ช้าก็ต้องทำครับ เพราะจากการซักประวัติ เขาถูกซ้อม เพียงแต่ช่วงที่เราประเมินวันเวลาไม่ถูก เนื่องจากมีทีมสืบสวนลงไปเยอะ นับแล้วประมาณ 7-8 ทีม เราไม่รู้ว่าแต่ละทีมมีการกระทำที่เข้าข่ายที่ผู้ต้องหากล่าวหาหรือเปล่า เราจึงต้องเชิญมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่ทางผู้กำกับท่านก็ยืนยันว่าไม่มีการซ้อมแน่นอน และก็ยืนยันว่ากระบวนการสืบสวนได้ประสานกับทีมทนายความที่จะเป็นคนกลางในการรับรู้ครับ ท่านบอกว่าไม่มีการซ้อมทรมานที่เกิดขึ้นที่ สภอ.ครับ”
“ล่ามโรตี” กับคำถามชวนสงสัย?
(ข้อสงสัยคาใจ เหตุใดจึงไม่ใช่ล่ามมืออาชีพ)
ไม่ใช่แค่พม่าเท่านั้นที่ออกมาร้อง “แมะๆ” ให้ลั่นประเทศ แต่เหล่านักสืบไซเบอร์ก็ได้กลิ่นตุๆ ในกระบวนการสืบสวนหาความยุติธรรมของคดีนี้มาตลอดทาง โดยเฉพาะข้อสงสัยในเรื่อง “ล่าม” ผู้แปลภาษาให้แก่ 2 พม่าผู้ต้องหาว่า เหตุใดทีมสืบสวนจึงเลือกใช้ชาวโรฮิงญามาเป็นตัวกลาง ทั้งที่น่าจะรู้ดีว่าผู้ต้องหาเป็นชาวยะไข่ ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มค่อนข้างมีความขัดแย้งกัน
ที่สำคัญไปกว่านั้น ล่ามคนดังกล่าวไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่คือ “คนขายโรตี” ซึ่งตั้งร้านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นคนในพื้นที่นี่เอง รายละเอียดทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถูกโพสต์เอาไว้ในแฟนเพจ “CSI LA” ผู้อ้างว่าถนัดงานสืบสวนและออกโรงแฉทุกข้อสันนิษฐาน จนถูกขนานนามว่าเป็น “นักสืบไซเบอร์กิตติมศักดิ์” เกี่ยวกับคดีนี้อย่างต่อเนื่อง
“คดีใหญ่ระดับโลกขนาดนี้ ทำไมตำรวจจ้างชาวโรฮิงญาที่ทำอาชีพขายโรตีอยู่หน้าวัดพระใหญ่ เกาะสมุย มาเป็นล่าม ที่หน้าอกเสื้อของชาวโรฮิงญาคนนั้น มีโลโก้ของตำรวจท่องเที่ยวด้วย มันแสดงว่าเขาสนิทกับตำรวจมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เขาอยู่ฝ่ายตำรวจแน่นอน เขาไว้ใจได้ต่อชาวยะไข่ (ผู้ถูกกล่าวหา2คน) หรือไม่ เพราะชาวโรฮิงญากับชาวยะไข่ไม่ถูกกัน”
ยังมีคำถามชวนสงสัยอีกมากมายที่แอดมินเพจนักสืบออนไลน์รายนี้ตั้งเอาไว้ แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่กระจ่างแจ้งได้ จึงทำให้ผู้กดไลค์เพจกว่า 350,000 ราย ดูจะเชื่อถือข้อสันนิษฐานบนโลกไซเบอร์แห่งนี้มากกว่าข้อสรุปคดีจากกระบวนการยุติธรรมเสียด้วยซ้ำ และนี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดที่นักสืบไซเบอร์ฝากเอาไว้
(ทั่วโลกสนับสนุนนักสืบไซเบอร์ CSI LA)
“อยากทราบว่าเป็นไปได้มั้ยที่พวกเราจะกดดันให้แยกสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ออกจากตำรวจ เเละทำงานได้อย่างอิสระเหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาเเล้ว? ถ้าเราหาคนมาร่วมกันลงนามสัก 100,000 คนรัฐบาลจะฟังเรามั้ย
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สังกัดกระทรวงยุติธรรม เกิดขึ้นมาประมาณปี 44-45 ในเหตุการณ์หลังสึนามิ แต่สถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ จะบริการงานนิติเวชที่เป็นคดีของกรมตำรวจ ในทางปฏิบัติ โรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัดก็มีแพทย์นิติเวชประจำ และทำหน้าที่นี้ในกรณีเป็น Routine Case ทั่วๆ ไป
ในกรณีคดีเกาะเต่า เราจะผลักดันให้ "นิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม" ซึ่งมีความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่เข้ามาทำการสอบสวน พิสูจน์หลักฐาน ไม่ใช่แยก สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ออกจากกรมตำรวจ”
แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวของนักสืบไซเบอร์ประจำเพจ CSI LA รายนี้ย่อมสั่นคลอนความเชื่อมั่นของทีมสืบสวนสีกากี จึงไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่บางส่วนจะมองว่าเป็นการประสงค์ร้ายมากกว่าหวังดี ล่าสุด ทางแอดมินเพจอ้างว่า ได้โทร.ไปคุยกับ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น เเละ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เพื่อให้ข้อมูลที่ตนมีอยู่ ประกาศตัวว่าไม่ได้ต้องการเงินรางวัล เเต่ต้องการสร้างมูลนิธิสำหรับ David และ Hannah (เหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษทั้งสอง) แต่ดูเหมือนว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายมากกว่าคนดีเสียแล้ว เพราะนี่คือฟีดแบ็กที่ทางตำรวจสะท้อนกลับมาผ่านเนื้อความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
“ขณะนี้ ตำรวจทราบแล้วว่ากลุ่มที่พยายามสร้างกระแสข่าวโจมตีตำรวจในคดีนี้ทางโซเชียลมีเดียที่ใช้เพจเฟซบุ๊กว่า "CSI LA" คือใคร กำลังตรวจสอบเนื้อหาว่าผิดกฎหมายหรือไม่ แต่ตอนนี้ยังไม่ดำเนินการอะไรกับผู้ที่ก่อกระแส ยืนยันว่าตำรวจทำตามพยานหลักฐานคดี”
ดูเหมือนตอนนี้จะมีความเคลื่อนไหวที่น่าชื่นใจเพียงประการเดียวในคดีนี้ที่เกิดขึ้น คือล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยอมกลับลำให้ทางนักสืบอังกฤษเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการสืบสวน หลังได้หารือกับทาง “เดวิด คาเมรอน” นายกรัฐมนตรี จากก่อนหน้านี้บอกไม่จำเป็นต้องพึ่งทีมจากต่างแดน
(ผู้ติดตามคดีดีใจ นายกฯ ยอมให้นักสืบอังกฤษเข้าช่วยแล้ว)
ทั้งนี้ ทีมสืบสวนเฉพาะกิจกลุ่มใหม่นี้ ต้องการพุ่งเป้าไปที่ 2 ประเด็นหลักๆ คือข้อสงสัยในเรื่องผลพิสูจน์ตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย ต้องการให้ผ่านกระบวนการที่มีอิสระมากกว่าเดิม และอีกหนึ่งข้อสงสัยในเรื่องกระบวนการสืบสวนว่ามีการปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยอย่างไม่เหมาะสมตามที่กล่าวอ้างจริงเท็จประการใดกันแน่
วิเคราะห์ไม่ไว้หน้า กระบวนการยุติธรรมไทย!!
ความคืบหน้าล่าสุดจากพื้นที่ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำป้ายไวนิลประกาศนำจับฆาตกรขนาดใหญ่ขึ้นโชว์ สนนราคาให้ผู้แจ้งเบาะแสล่อใจอยู่ที่ 700,000 บาท แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มียังไม่มีคนละแวกนั้นยอมเปิดปากหรือรับข้อเสนอแม้แต่คนเดียว ส่วนจะเป็นเพราะอะไร บทวิเคราะห์สถานการณ์จาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ (บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์)” อธิบายเอาไว้แล้วอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน!!
(ตำรวจท้องถิ่น ขึ้นป้ายประกาศ ล่าตัวคนร้าย-หาเบาะแส)
“เรื่องเกาะเต่า ถ้าประมวลเหตุการณ์ดูแล้ว ประการแรก ตำรวจท้องที่เนี่ย มันไม่กล้าแตะต้องคนที่ทำผิด มันอยู่บนเกาะนั้น มันรู้ ทำไมมันจะไม่รู้ เกาะเต่าเกาะเล็กๆ โทษนะ ถ้าพูดหยาบๆ คือเกาะส้นตีนแค่นี้ ทำไมจะไม่รู้ว่าใครทำ ชาวบ้านก็รู้กันหมด แต่ตำรวจท้องที่ ความที่มีอิทธิพลท้องถิ่นเยอะก็เลยไม่ทำ ก็เลยช่วย พอช่วยแล้วคดีความก็เริ่มมีการจับนู่นจับนี่
เราอย่าไปพูดถึงว่าแพะหรือเปล่า ถือว่าเขาเริ่มเดินหน้าแล้ว แต่เดินด้วยพื้นฐานที่จะต้องกันไอ้คนที่ทำจริงให้ออกไปซะ เมื่อเดินด้วยพื้นฐานตัวนี้ การเดินก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เมื่อเดินไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว เรื่องเกาะเต่ามันเป็นเรื่องระดับชาติ เรื่องระดับสากล มันก็เลยทำให้ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งไม่ติด ตลอดจน พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ถึงได้ตั้ง พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา มาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ด้วยความที่ พล.ต.ท.จักรทิพย์ เติบโตมาได้ด้วยการที่ผู้หลักผู้ใหญ่สนับสนุนทั้งนั้น ไม่ใช่ด้วยฝีมือตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว จึงต้องการเอาใจนาย
พอจัดการแล้ว พอลงไป ผมประเมินดูแล้ว เขาคงรับเรื่องราวจากทางท้องถิ่นมาว่าเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็ต้องเดินอย่างนี้ๆ ต่อไป พม่า 2 ตัวนี้ก็เลยโดน พอพม่าโดนปั๊บ ความที่เขาค่อนข้างจะมั่นใจในเหตุผลก็เพราะว่าตำรวจท้องที่บอกว่าเป็นพม่ารายนี้ เขาน่าจะเชื่อตำรวจท้องที่ เพราะเขาอยู่กรุงเทพฯ เขาจะไปรู้เรื่องได้ยังไง เขาก็ต้องเชื่อตำรวจด้วยกัน เขาก็เลยเอาพม่า 2 คนนี้ไปเก็บเอาไว้
(ฌอน ผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง ซึ่งตำรวจปล่อยตัวออกนอกประเทศไปเสียแล้ว)
อย่างที่เคยพูดกันไงว่า เดิมทีว่าจะเอาไอ้ฌอน (ฝรั่งผู้ต้องสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องและอยู่ในเหตุการณ์) แต่ไอ้ฌอนมันฉลาด มันเอาเพื่อนมันซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวไปโรงพักด้วย ตำรวจก็กลัว และมันก็ไม่ได้ทำและหลักฐานก็ไม่ถึงมัน มันก็เลยกลับไป ทีนี้พอ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เก็บพม่า 2 ตัวนี้เอาไว้ ก็ต้องการจะโชว์ฟอร์ม เขาเปิดตัวพม่าตอนไหนคุณไม่เห็นเหรอ ตอนที่ พล.อ.ประวิทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ผมสั่งลงไปแล้ว ให้จัดการได้โดยด่วน หลังจากนั้นอีก 2 วันจับได้ละ
(นักสืบไซเบอร์สงสัย เหตุใดจึงให้ชาวพม่าเซ็นรับในใบแสดงหลักฐานภาษาไทย)
กระบวนการยุติธรรมบ้านเรา เป็นกระบวนการที่มีคำถามถามเยอะมาก คือวิธีการของกระบวนการยุติธรรมมันต้องเป็นกระบวนการที่ต้องตอบคำถามได้หมดทุกคำถาม จะไปบอกว่าคนที่อยู่ในวงการโซเชียลมีเดียเขามโนก็ไม่ได้ เพราะเขาช่างสังเกต และทุกอย่างเดี๋ยวนี้มันมีภาพ เจาะลึกลงไปถึงขนาดนี้ว่าจอบเปื้อนเลือดแล้วทำไมที่มือไม่มี เขาบอกเพราะล้างที่จับ แล้วถ้าล้างที่จับ ทำไมไม่ล้างตรงปลายจอบด้วยล่ะ
พอมันมีคำถาม พอตอบคำถามหนึ่งมาก็จะมีคำถามต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอบไม่ได้ บอกผมไม่รู้ ผมไม่ทราบ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ต่างหากที่ทั้งต่างชาติ ทั้งทางอังกฤษ ทั้งคนไทยที่เขาติดตามเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สนใจที่จะเป็น CSI ทั้งหลายสงสัย
จริงๆ แล้วเนี่ย การที่ให้คนเป็นพันๆ เป็นแสนๆ คนเข้ามาดูแล้วเขาตั้งคำถามถาม เป็นข้อมูลที่ดีมากนะ เพราะบางเรื่องเราไม่เคยนึก ไอ้คนบางคนมันคิดได้ว่า เฮ้ย! ทำไมมันไม่เป็นอย่างนี้ คือการระดมมันสมองคนเข้ามาแล้วสังเกตและดูเหตุการณ์
ผมกลับคิดว่าไอ้พวกที่อยู่ในเว็บ CSI LA เนี่ย มันมีประโยชน์ต่อคดีมาก เพียงแต่ว่าตำรวจตั้งธงเอาไว้เรียบร้อยแล้วไง มันก็เลยพลาด ตำรวจจะสู้ได้ประเด็นเดียวในตอนนี้ แล้วก็ต้องยืนแถอยู่อย่างนั้นน่ะ คือบอกว่าเดี๋ยวรอดูแล้วกัน ให้ศาลตัดสิน ก็ในเมื่อคุณสามารถปั้นพยานขึ้นมาได้ และคุณสามารถเจรจากับจำเลยได้ แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเจรจาหรือไม่เจรจา มันเป็นคำถามซึ่งไม่มีใครรู้
เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเจรจาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศาลก็พิจารณาตามหลักฐานที่ปรากฏ แล้วถ้าหลักฐานที่ปรากฏคือหลักฐานที่สมมติว่าคุณสร้างขึ้นมาอีกเนี่ย ศาลก็ไม่มีทางเลือกนี่ เมื่อศาลไม่มีทางเลือก ศาลก็ต้องว่าไปตามหลักฐาน และอีกอย่าง จำเลยก็รับสารภาพ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับทนายของจำเลยว่าจะสู้มากน้อยแค่ไหน และขึ้นอยู่กับจำเลยด้วยว่ามีผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือเปล่า”
คลิป บทวิเคราะห์ดุเด็ดเผ็ดมัน คดีเกาะเต่า แพะ และกระบวนการยุติธรรมไทย
คลิป พ่อแม่พม่าผู้ต้องสงสัยโฮ เชื่อลูกเป็นแพะ
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพและข้อมูลบางส่วน: แฟนเพจ “CSI LA”
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- บีบีซีสวนตร.ไทย อ้างทนายความยัน2ผู้ต้องสงสัยคดี'เกาะเต่า'กลับคำให้การ
- เผย'ประยุทธ์'ยอมอังกฤษส่งตำรวจช่วยสืบสวนคดีเกาะเต่า ผู้ดีกังวลผลDNA
- สื่ออังกฤษสัมภาษณ์แม่แรงงานพม่าผู้ต้องหา “คดีเกาะเต่า” ยันลูกชายตกเป็น “แพะรับบาป”
- ไม่เชื่อตำรวจไทย!ยื่นหนังสือที่ทำเนียบนายกฯอังกฤษ ร้องสืบคดีเกาะเต่าเอง
- นักสิทธิมนุษยชนอังกฤษส่ง “ทีมทนายความ” ป้องแรงงานพม่าผู้ต้องสงสัย “คดีเกาะเต่า”
- สื่ออังกฤษตีข่าว 3 แรงงานพม่า เพื่อนผู้ต้องสงสัย “คดีฆ่าโหดเกาะเต่า” ถูก ตร.ไทย “ซ้อม-เอาน้ำร้อนราด”
- “CSI ไซเบอร์” ฉีกหน้าตำรวจ! แฉคดีฉาว “แพะม่า ณ เกาะเต่า”!!? (มีคลิป)
- ตำรวจเตือน! อย่า “มโนโซเชียล” คดีเกาะเต่า นักสืบผีชี้ ภาพตัดต่อได้!!?