คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง” เสด็จฯ มาประทับ รพ.ศิริราชอีกครั้ง หลังทรงมีไข้-พระโลหิตติดเชื้อ ล่าสุด พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ!
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 1 ความว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการว่า เมื่อเย็นวันที่ 3 ต.ค. ทรงมีพระปรอท(ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงความดันในพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ ถวายการตรวจพระโลหิตด้วยวิธีพิเศษเพิ่มเติม และถวายการรักษาต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากคณะแพทย์ถวายการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต พบว่าความดันพระโลหิตคงที่ พระปรอท(ไข้) ลดลง สภาวะทางโภชนาการดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคณะแพทย์ฯ จะได้ถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อและถวายการรักษาต่อไป
อนึ่ง สำนักพระราชวังแจ้งว่า จะเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรได้ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 08.00-18.00 น. ที่ศาลาศิริราช 100 ปี
2.“บิ๊กตู่” อำลาตำแหน่ง ผบ.ทบ. ส่งมอบหน้าที่ต่อ “อุดมเดช” ด้าน ผบ.ทบ.ใหม่ ยันไม่ปฏิวัติซ้อน ขณะที่ ป.ป.ช.เปิดกรุ สนช. พบ “อิสระ” รวยสุดกว่า 5 พันล้าน!
สถานการณ์บ้านเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้อำลาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) และทำพิธีส่งมอบหน้าที่ ผบ.ทบ.ให้แก่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.คนที่ 38 เมื่อวันที่ 30 ก.ย. โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “แม้จะต้องพ้นจากหน้าที่ ผบ.ทบ.ไป แต่อุดมการณ์ที่ได้ยึดมั่นมาโดยตลอดจะยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย และมีความตั้งใจที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์สนับสนุนการดำเนินงานของกองทัพให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม”
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ขอน้อมรับหน้าที่สำคัญด้วยความสำนึกและความรับผิดชอบ “ผมพร้อมรับต่อภารกิจสถานการณ์และภัยคุกคามทุกรูปแบบที่มีความซับซ้อนกว้างขวางมากขึ้น ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่การเป็นกองทัพที่เข้มแข็งของอาเซียนในอนาคต” พล.อ.อุดมเดช ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องปฏิวัติซ้อนด้วย โดยยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติซ้อนแน่นอน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำ ผบ.เหล่าทัพทั้งหมด เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ หลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า เป็นการมากราบลา พล.อ.เปรม และว่า การพบกันครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และได้ให้พรแก่ทุกคน มีรายงานว่า พล.อ.เปรม ได้มอบหลวงปู่ทวด รุ่นบ้านเกิด ให้แก่ทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย
สำหรับความคืบหน้าการคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)จำนวน 250 คน ซึ่ง คสช.ได้คัดเลือกเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ย.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ได้มีรายชื่อ สปช.ในส่วนของด้านต่างๆ 11 ด้าน จำนวน 173 คน หลุดมาถึงมือสื่อมวลชน โดยพบว่า แต่ละด้านล้วนแล้วแต่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงได้รับเลือกเข้ามา เช่น ด้านการเมือง ได้แก่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ,นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน ฯลฯ ,ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ,นายวันชัย สอนศิริ , นายคำนูณ สิทธิสมาน ,นายเสรี สุวรรณภานนท์ ,นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ (ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ คดีจำนำข้าว) ฯลฯ ,ด้านพลังงาน ได้แก่ นายคุรุจิต นาครทรรพ ,นายมนูญ ศิริวรรณ , น.ส.รสนา โตสิตระกูล ฯลฯ ,ด้านสังคม ได้แก่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ,นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ,น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ฯลฯ ,ด้านอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ,พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ,นายปรีชา เถาทอง ฯลฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ว่า ได้นำรายชื่อ สปช.ทั้ง 250 คนทูลเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า รายชื่อ สปช.ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ตรงทั้งหมด และไม่รู้ว่ารายชื่อ สปช.หลุดออกมาได้อย่างไร
ส่วนความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า มี สนช.28 คน ไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้ สนช.ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สนช.ทั้ง 28 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารและตำรวจ นำโดย พล.อ.นพดล อินทปัญญา จึงได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองว่า ป.ป.ช.กระทำการดังกล่าวโดยไม่ชอบ พร้อมให้เหตุผลต่อศาลว่า สนช.ไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นและเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณชน ซึ่งศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องไว้พิจารณา สนช.ทั้ง 28 คนจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ซึ่งศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ยืนตามศาลปกครองกลาง โดยให้เหตุผลว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 บัญญัติว่า ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่มีอยู่จริงในวันเข้ารับตำแหน่ง มติของ ป.ป.ช.ผู้ถูกร้อง จึงมิใช่คำสั่งทางปกครองหรือกฎ และมิได้ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 ราย ได้รับความเสียหายจากมติของ ป.ป.ช. ดังนั้นผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 ราย จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สนช.จำนวน 195 คน ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค. โดยพบว่า สนช.ที่รวยที่สุดคือ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ อดีตประธานหอการค้าไทย และประธานกรรมการบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด มีทรัพย์สินกว่า 5,225 ล้านบาท ส่วน สนช.ที่จนที่สุด คือ นายสมพร เทพสิทธา มีทรัพย์สิน 160,735 บาท ส่วน สนช.คนอื่นๆ ได้แก่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.มีทรัพย์สิกว่า 48.5 ล้านบาท ,พล.อ.นพดล อินทปัญญา 1 ใน 28 สนช.ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง มีทรัพย์สินกว่า 21.3 ล้านบาท , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 1 ใน 28 สนช.ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเช่นกัน มีทรัพย์สินกว่า 136.5 ล้านบาท , พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.มีทรัพย์สินกว่า 962 ล้านบาท ขณะที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ มีทรัพย์สินกว่า 79.8 ล้านบาท
3.ตร. รวบ 2 พม่าฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษแล้ว ยัน ไม่ใช่แพะ ด้านสื่ออังกฤษ แฉ ผู้ต้องหาทำแผนฯ ตาม ตร.สั่ง!
ความคืบหน้าคดีข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริตจ์ และนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 ก.ย. หลังจาก พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เผยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ว่า การสืบสวนคืบหน้าไปแล้ว 85% โดยเชื่อว่าเวลาที่เกิดเหตุคือ 02.00-04.00น. จึงมุ่งตรวจสอบบุคคลที่เข้ามาละแวกที่เกิดเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ตำรวจพุ่งเป้านำตัวแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่อยู่ในข่ายสูง 170 เซนติเมตร และสวมรองเท้าเบอร์ 40-42 มาทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอด้วย หลังผลตรวจดีเอ็นเอร่วม 200 คน ไม่ตรงกับหลักฐานที่เก็บได้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. พล.ต.ท.ปัญญา เผยอีกว่า ได้วัตถุพยานสำคัญบางอย่างมา แต่ขอเก็บเป็นความลับ พร้อมส่งตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3 คนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่นๆ เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดและหายตัวไป โดยมั่นใจว่า 2 ใน 3 คนร้ายเป็นผู้ลงมือข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ ส่วนอีกคนเป็นผู้เห็นและอยู่ในเหตุการณ์
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ก.ย. ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นที่พักแรงงานชาวพม่าใกล้ที่ว่าการอำเภอเกาะพะงัน หลังสืบทราบว่ามีชาวพม่า 7 คน ลาออกจากโรงแรมแห่งหนึ่งย่านหาดทรายรีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม ซึ่งยังไม่ถูกทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ โดยระหว่างนั้นมีชาวพม่ากลุ่มหนึ่งเตะตะกร้ออยู่ เมื่อเห็นตำรวจ ปรากฏว่า 2 คนในกลุ่มวิ่งหลบหนี ตำรวจจึงควบคุมชาวพม่าในกลุ่มไปสอบปากคำเพื่อหาผู้หลบหนี
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเงียบหายไป 2 วัน(29-30 ก.ย.) กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค. พล.ต.ท.ปัญญา ออกมาเผยว่า จะสืบสวนพยานที่เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ไปก่อนหน้านี้อย่างน้อย 10 คน โดย 10 คนนี้เป็นบุคคลที่อยู่ภายในเอซีบาร์คืนเกิดเหตุตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึง 04.30น. เนื่องจากมีพยานหลักฐานบางอย่างที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เชื่อมโยงเข้ากันได้กับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ พร้อมจัดชุดเจ้าหน้าที่ประกบตัวผู้ต้องถูกสอบสวนใหม่ทั้ง 10 ไว้ และว่า ผลการสืบสวนครั้งใหม่จะบอกได้ว่าใครเป็นคนร้าย พล.ต.ท.ปัญญา ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า ภายใน 2-3 วันจะออกหมายจับหรือจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ พร้อมแย้มว่า ใน 10 คนที่จะถูกสอบสวนใหม่มีทั้งชาวไทยและแรงงานชาวพม่า
วันเดียวกัน(1 ต.ค.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่รอง ผบ.ตร.กำกับดูแลคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ส่วน พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.นั้น ให้ดูงานด้านป้องกันและปราบปรามและติดตามคดีนี้ต่อ
วันต่อมา(2 ต.ค.) นายมาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้เข้าพบ พล.ต.อ.สมยศ ในโอกาส พล.ต.อ.สมยศ ได้รับตำแหน่ง ผบ.ตร. โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตอังกฤษได้สอบถามความคืบหน้าคดีคนร้ายฆ่า น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิดด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ ได้ชี้แจงขั้นตอนการทำงานของตำรวจ พร้อมยืนยันว่าตำรวจไทยดำเนินการตามมาตรฐานสากล
วันเดียวกัน(2 ต.ค.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ได้ออกมาเผยว่า ตำรวจจับกุม 3 ผู้ต้องสงสัยฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษได้แล้ว เป็นแรงงานชาวพม่า หลัง 1 ใน 3 รับสารภาพว่าก่อเหตุจริง และว่าได้ส่งดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยทั้งสามไปตรวจที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่ตัวผู้เสียชีวิตแล้ว
วันต่อมา(3 ต.ค.) ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คน คือ นายเวพิว หรือวิน ไม่มีนามสกุล อายุ 21 ปี สัญชาติพม่า(ยะไข่) และนายซอ ลิน หรือโซเรน ไม่มีนามสกุล อายุ 21 ปี สัญชาติพม่า(ยะไข่) ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยการขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ส่วนแรงงานพม่าอีกคนหนึ่ง คือ นายเมา ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำผิด ตำรวจจึงกันไว้เป็นพยาน
จากนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วยตำรวจที่เกี่ยวข้องได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เกาะเต่า ท่ามกลางชุดปราบจลาจลประมาณ 200 นาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาถูกรุมประชาทัณฑ์ โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมามุงดูการทำแผนฯ จำนวนมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ต้องหาสวมหมวกนิรภัยและเสื้อเกราะด้วย
หลังจากนั้น พล.ต.อ.สมยศ เปิดแถลงถึงการจับกุมคนร้ายในคดีนี้ว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนจนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.ฮันนาห์ และนายเดวิด เดินเล่นอยู่ริมหาดทรายรี จากนั้นคนร้าย 2 คน ได้เดินตามหลัง และใช้จอบฟาดที่ศีรษะด้านหลังของนายเดวิด จนหมดสติ จากนั้นได้ฉุด น.ส.ฮันนาห์ ไปข่มขืนที่เกิดเหตุ หลังก่อเหตุได้ใช้จอบฟาดที่หน้า น.ส.ฮันนาห์หลายครั้งจนเสียชีวิต และกลับมาลากร่างนายเดวิดไปทิ้งน้ำ ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมได้จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในรัศมี 2 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุ และหาข่าวจนทราบว่าคนร้ายเป็นใคร จึงได้คุมตัวมาสอบประวัติและเก็บดีเอ็นเอ ผลปรากฏว่า ดีเอ็นเอตรงกับที่พบที่ศพ น.ส.ฮันนาห์ และว่า หลังจากตำรวจค้นบ้านพักนายวิน พบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้ใกล้บ้านด้วย
สำหรับนายเมานั้น สารภาพว่า ได้นั่งดื่มเบียร์และเล่นกีตาร์อยู่บริเวณที่เกิดเหตุกับนายวินและนายซอ จริง แต่ได้เดินทางกลับไปก่อนที่จะมีเหตุทำร้ายนักท่องเที่ยวขึ้น ส่วนสาเหตุที่ผู้ต้องหาไม่หลบหนีออกจากพื้นที่หลังก่อเหตุและยังคงทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่ชำนาญพื้นที่และไม่รู้จะหนีไปไหน หรือไม่ก็อาจจะมั่นใจว่าตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมได้แน่นอน เพราะคืนที่เกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ ทำให้คนร้ายนิ่งนอนใจ พล.ต.อ.สมยศ ยืนยันด้วยว่า การจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้ไม่ใช่การจับแพะแน่นอน 100%
ทั้งนี้ เทเลกราฟ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของอังกฤษ รายงานตั้งข้อสังเกตว่า ฝูงชนหลายร้อยคนที่มามุงดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ ดูจะไม่ค่อยเขื่อมั่นวิธีการของตำรวจไทย หลังเห็นได้ชัดว่า ผู้ต้องสงสัยทำตามคำสั่งของตำรวจในการย้อนรอยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญครั้งนี้มากกว่า เทเลกราฟยังรายงานด้วยว่า น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ได้แสดงความกังวลกรณีที่ตำรวจไทยไม่จัดหาทนายให้ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน อย่างไรก็ตาม ตำรวจแก้ข้อสงสัยว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งสองไม่ได้ร้องขอทนายความ
หลังตำรวจจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมายืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นตัวจริง ไม่ใช่แพะ และว่า สิ่งที่ควรพูดต่อจากนี้คือการให้กำลังใจตำรวจ เพราะทำงานเต็มที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำด้วยว่า ต้องขึ้นบัญชีทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้หมดทุกคน เพราะคนร้ายที่จับได้ ไม่ได้ขึ้นบัญชีต่างด้าว ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องเอาผิดผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวไม่ลงทะเบียนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ต้องไปเข้มงวดและลงโทษไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ต้องหาคดีนี้ทำงานอยู่บนเกาะเต่า โดยนายวิน ทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารแห่งหนึ่งบนเกาะเต่า ส่วนนายซอและนายเมา ทำงานอยู่รีสอร์ตแห่งหนึ่งของผู้กว้างขวางบนเกาะเต่า
4.ศาล พิพากษาประหารชีวิต “เกม-วันชัย” ฐานฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ ขณะที่คู่หูเจอคุก 4 ปี!
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ศาลจังหวัดหัวหินได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน เป็นโจทก์ และมารดาน้องแก้ม เป็นโจทก์ร่วม ฟ้องนายวันชัย แสงขาว หรือ เกม อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียง การรถไฟแห่งประเทศไทย และนายณัฐกรณ์ ชำนาญ หรือ หนึ่ง อายุ 19 ปี พนักงานทำความสะอาดบนรถไฟ เป็นจำเลย 1-2 คดีฆ่าข่มขืนน้องแก้ม อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี เหตุเกิดบนรถไฟขบวนรถเร็วที่ 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร ก่อนทิ้งศพทางหน้าต่างโบกี้รถไฟในพื้นที่ อ.ปราณบุรี เมื่อกลางดึกวันที่ 6 ก.ค.ผ่านมา
ทั้งนี้ นายวันชัย ถูกฟ้อง 5 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2.กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี 3.ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย 4.ลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะในเวลากลางคืน และ 5.เสพยาบ้า โดยมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ส่วนนายณัฐกรณ์ ถูกฟ้องข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ ขณะที่อัยการจังหวัดหัวหินขอให้ศาลพิจารณาโทษสถานหนัก โดยไม่ต้องลดโทษให้จำเลย
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนถึงเวลาที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้คุมตัวจำเลยทั้งสองไปยังศาลจังหวัดหัวหิน เมื่อเดินทางถึงหน้าศาล มีมารดาและญาติของน้องแก้ม ผู้เสียชีวิตเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยสวมเสื้อยืดสีดำ มีข้อความว่า “ข่มขืนเท่ากับประหาร” และ “1 คนตาย ล้านคนตื่น” ขณะที่ น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ บุ๋ม อดีตนางสาวไทย ได้สวมชุดดำมาให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย
ด้านศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาเกือบ 1.30 ชั่วโมง โดยพิพากษาว่า นายวันชัย จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ,277 วรรคหนึ่ง ,มาตรา 335 (1) (9) วรรคสอง ,มาตรา 289 (7) และผิด พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57 ,90 และว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นควมผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนเองหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ให้ประหารชีวิต ,ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 9 ปี ,ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ จำคุก 5 ปี ,ฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุก 1 ปี และฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน
ทั้งนี้ ศาลเห็นควรลงโทษจำเลยที่ 1 สถานหนักและไม่มีเหตุที่จะบรรเทาโทษ เนื่องจากคำรับสารภาพของจำเลยเป็นเพราะจำนนด้วยพยานหลักฐาน และว่า นายวันชัยมีหน้าที่ช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร อาศัยโอกาสในการปฏิบัติงานบนขบวนรถไฟข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตาย ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ที่นอนหลับ ขณะที่มีผู้โดยสารอื่นและญาติผู้ตายนอนหลับอยู่ใกล้ๆ จากนั้นได้โยนศพทิ้งออกจากหน้าต่างรถไฟเพื่อปกปิดการตาย ลักษณะการกระทำความผิดจึงเป็นไปด้วยความอุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษสถานหนัก เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา นายวันชัยมีอาการตกใจ หน้าสลด และก้มหน้าตลอดเวลา
ส่วนนายณัฐกรณ์ จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 86 ให้จำคุก 6 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 4 ปี
ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ส่วนญาติผู้เสียชีวิต ในฐานะโจทก์ร่วมจะหารือกับทนายความอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 2 หรือไม่
5.ศิริราช ผลิตแอนติบอดีรักษาอีโบลาสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ด้าน WHO ชมไทย พร้อมขอตัวอย่างไปทดลอง หากได้ผล พร้อมใช้กับผู้ป่วยทันที!
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำทีมแถลงข่าว “ครั้งแรกของไทย ศิริราชผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลาสำเร็จ” ว่า โรคไข้เลือดออกมีการแพร่ระบาดทุกทวีปทั่วโลก โดยในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์เด็งกี ส่วนแอฟริกาเป็นสายพันธุ์อีโบลา “เราสามารถผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาได้สำเร็จครั้งแรกของไทยและของโลก โดยแอนติบอดีตัวนี้ได้พิสูจน์ว่าแตกต่างจากแอนติบอดีหรือยาซีแมปที่ใช้อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแอนติบอดีแบบตัวใหญ่ แต่ของเรามีขนาดเล็กกว่า 5 เท่า มีประสิทธิภาพดีกว่าชัดเจน เป็นการคิดค้นโดยเทคโนโลยีใหม่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาได้แต่ยังเป็นแค่ต้นแบบเท่านั้น ยังต้องไปทดลองในสัตว์และในคนอีก ซึ่งจะทำการทดลองในสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีห้องทดลองชีวนิรภัยระดับ 4 ซึ่งมีความปลอดภัยสูงสุด มีเพียงแค่ระดับ 3 เท่านั้น”
ขณะที่ ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา หัวหน้าทีมผู้ผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลา พูดถึงการทำงานของแอนติบอดีดังกล่าวว่า แอนติบอดีนี้ถือว่าเป็นยาชีววัตถุ ใช้หลักการเดียวกับเซรุ่มแก้พิษงู ซึ่งผลิตจากแอนติบอดีจากม้า ทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียง แต่แอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาผลิตจากในคน จึงไม่เกิดผลข้างเคียง โดยแอนติบอดีนี้เป็นแอนติบอดีสายเดี่ยว สามารถเข้าไปในเซลล์ที่ไวรัสอีโบลาเข้าไป ซึ่งแอนติบอดีจะไปจับโปรตีนแต่ละตัวของเชื้ออีโบลา และบล็อกไม่ให้โปรตีนของเชื้อเพิ่มจำนวนหรือสร้างตัวลูกได้ รวมทั้งบล็อกไม่ให้เชื้อไวรัสออกเซลล์เพื่อไปเผยแพร่ที่เซลล์อื่นได้ ซึ่งสุดท้ายกระบวนการภายในเซลล์จะทำลายโปรตีนของไวรัสจนย่อยกลายเป็นกรดอะมิโน
ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ บอกด้วยว่า การผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาครั้งนี้ ไม่ได้มีการนำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เป็นการสังเคราะห์ยีนขึ้น โดยใช้ลำดับเบสอ้างอิงของเชื้อที่ระบาดอยู่ขณะนี้เป็นต้นแบบ ซึ่งได้ยื่นจดสิทธิบัตรแอนติบอดีนี้ต่อสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว และว่า แอนติบอดีนี้สามารถรักษาไข้เลือดออกอีโบลาได้ทุกสายพันธุ์ แต่การรักษาต้องใช้ในช่วงที่ผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีไข้เท่านั้น หากอยู่ในระยะที่เลือดออกแล้ว จะไม่สามารถรักษาได้
ด้าน ศ.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า การผลิตแอนติบอดีต้นแบบนี้ยังผลิตได้น้อย เพราะผลิตในห้องแล็บเพียง 20 มิลลิกรัม แต่การจะนำมาฉีดรักษาตามมาตรฐานเช่นเดียวกับยาซีแมปต้องใช้ปริมาณ 10 กรัมต่อการฉีด 1 ครั้ง จึงต้องการมีขยายการผลิตแอนติบอดีเพิ่ม โดยได้ร่วมมือกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ และมหาวิทยาลัยมหิดล คาดว่าจะผลิต 20 ลิตรได้ใน 1 สัปดาห์ และ 200 ลิตรได้ในปีหน้า เพื่อทดลองในสัตว์และคน ก่อนจดทะเบียนเป็นยาต่อไป คาดว่าใช้เวลาขึ้นทะเบียน 2 ปี หรืออย่างเร็วภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ผ่านการทดลองในคน แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกับยาซีแมป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องรายงานเรื่องการผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาต่อองค์การอนามัยโลกหรือไม่ ศ.คลินิก นพ.อุดม บอกว่า ไม่จำเป็นต้องรายงาน เพราะถือว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ทำได้ แต่หากองค์การอนามัยโลกสนใจจะมาร่วมนำความสำเร็จนี้ไปต่อยอด ก็ยินดี
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศิริราชแถลงได้ 1 วัน ศ.คลินิก นพ.อุดม ก็ได้รับอีเมล์จาก Dr. Martin Friede หัวหน้าโครงการวิจัยอีโบลา ขององค์การอนามัยโลก เมื่อเช้าวันที่ 3 ต.ค. โดยส่งมาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของไทยในการผลิตแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการขยายจำนวนเชื้อไวรัสอีโบลาในเซลล์ของมนุษย์ในระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์และสามารถเปลี่ยนแปลงการรักษาเชื้อไวรัสอีโบลาได้ พร้อมกันนี้ Dr.Martin ยังได้แจ้งความประสงค์ขอนำแอนติบอดีจากไทยที่ผ่านการทดสอบไวรัสปลอมไปแล้วนี้ ไปทดลองกับเชื้อไวรัสอีโบลาจริงที่ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 4 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หากพบว่ามีประสิทธิภาพดี จะพัฒนาเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอีโบลาที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยลดขั้นตอนการทดลองในสัตว์และในมนุษย์ออกไปก่อนได้ ซึ่งศิริราชคาดว่า จะรวบรวมเอกสารที่จำเป็น พร้อมตัวอย่างแอนติบอดีและนักวิจัยของไทยบางส่วนไปร่วมทดสอบในสหรัฐฯ ได้ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
1.“ในหลวง” เสด็จฯ มาประทับ รพ.ศิริราชอีกครั้ง หลังทรงมีไข้-พระโลหิตติดเชื้อ ล่าสุด พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ!
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 1 ความว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการว่า เมื่อเย็นวันที่ 3 ต.ค. ทรงมีพระปรอท(ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงความดันในพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ ถวายการตรวจพระโลหิตด้วยวิธีพิเศษเพิ่มเติม และถวายการรักษาต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากคณะแพทย์ถวายการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต พบว่าความดันพระโลหิตคงที่ พระปรอท(ไข้) ลดลง สภาวะทางโภชนาการดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคณะแพทย์ฯ จะได้ถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อและถวายการรักษาต่อไป
อนึ่ง สำนักพระราชวังแจ้งว่า จะเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรได้ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 08.00-18.00 น. ที่ศาลาศิริราช 100 ปี
2.“บิ๊กตู่” อำลาตำแหน่ง ผบ.ทบ. ส่งมอบหน้าที่ต่อ “อุดมเดช” ด้าน ผบ.ทบ.ใหม่ ยันไม่ปฏิวัติซ้อน ขณะที่ ป.ป.ช.เปิดกรุ สนช. พบ “อิสระ” รวยสุดกว่า 5 พันล้าน!
สถานการณ์บ้านเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้อำลาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) และทำพิธีส่งมอบหน้าที่ ผบ.ทบ.ให้แก่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.คนที่ 38 เมื่อวันที่ 30 ก.ย. โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “แม้จะต้องพ้นจากหน้าที่ ผบ.ทบ.ไป แต่อุดมการณ์ที่ได้ยึดมั่นมาโดยตลอดจะยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย และมีความตั้งใจที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์สนับสนุนการดำเนินงานของกองทัพให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม”
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ขอน้อมรับหน้าที่สำคัญด้วยความสำนึกและความรับผิดชอบ “ผมพร้อมรับต่อภารกิจสถานการณ์และภัยคุกคามทุกรูปแบบที่มีความซับซ้อนกว้างขวางมากขึ้น ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่การเป็นกองทัพที่เข้มแข็งของอาเซียนในอนาคต” พล.อ.อุดมเดช ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องปฏิวัติซ้อนด้วย โดยยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติซ้อนแน่นอน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำ ผบ.เหล่าทัพทั้งหมด เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ หลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า เป็นการมากราบลา พล.อ.เปรม และว่า การพบกันครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และได้ให้พรแก่ทุกคน มีรายงานว่า พล.อ.เปรม ได้มอบหลวงปู่ทวด รุ่นบ้านเกิด ให้แก่ทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย
สำหรับความคืบหน้าการคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)จำนวน 250 คน ซึ่ง คสช.ได้คัดเลือกเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ย.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ได้มีรายชื่อ สปช.ในส่วนของด้านต่างๆ 11 ด้าน จำนวน 173 คน หลุดมาถึงมือสื่อมวลชน โดยพบว่า แต่ละด้านล้วนแล้วแต่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงได้รับเลือกเข้ามา เช่น ด้านการเมือง ได้แก่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ,นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน ฯลฯ ,ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ,นายวันชัย สอนศิริ , นายคำนูณ สิทธิสมาน ,นายเสรี สุวรรณภานนท์ ,นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ (ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ คดีจำนำข้าว) ฯลฯ ,ด้านพลังงาน ได้แก่ นายคุรุจิต นาครทรรพ ,นายมนูญ ศิริวรรณ , น.ส.รสนา โตสิตระกูล ฯลฯ ,ด้านสังคม ได้แก่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ,นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ,น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ฯลฯ ,ด้านอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ,พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ,นายปรีชา เถาทอง ฯลฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ว่า ได้นำรายชื่อ สปช.ทั้ง 250 คนทูลเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า รายชื่อ สปช.ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ตรงทั้งหมด และไม่รู้ว่ารายชื่อ สปช.หลุดออกมาได้อย่างไร
ส่วนความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า มี สนช.28 คน ไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้ สนช.ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สนช.ทั้ง 28 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารและตำรวจ นำโดย พล.อ.นพดล อินทปัญญา จึงได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองว่า ป.ป.ช.กระทำการดังกล่าวโดยไม่ชอบ พร้อมให้เหตุผลต่อศาลว่า สนช.ไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นและเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณชน ซึ่งศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องไว้พิจารณา สนช.ทั้ง 28 คนจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ซึ่งศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ยืนตามศาลปกครองกลาง โดยให้เหตุผลว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 บัญญัติว่า ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่มีอยู่จริงในวันเข้ารับตำแหน่ง มติของ ป.ป.ช.ผู้ถูกร้อง จึงมิใช่คำสั่งทางปกครองหรือกฎ และมิได้ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 ราย ได้รับความเสียหายจากมติของ ป.ป.ช. ดังนั้นผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 ราย จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สนช.จำนวน 195 คน ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค. โดยพบว่า สนช.ที่รวยที่สุดคือ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ อดีตประธานหอการค้าไทย และประธานกรรมการบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด มีทรัพย์สินกว่า 5,225 ล้านบาท ส่วน สนช.ที่จนที่สุด คือ นายสมพร เทพสิทธา มีทรัพย์สิน 160,735 บาท ส่วน สนช.คนอื่นๆ ได้แก่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.มีทรัพย์สิกว่า 48.5 ล้านบาท ,พล.อ.นพดล อินทปัญญา 1 ใน 28 สนช.ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง มีทรัพย์สินกว่า 21.3 ล้านบาท , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 1 ใน 28 สนช.ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเช่นกัน มีทรัพย์สินกว่า 136.5 ล้านบาท , พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.มีทรัพย์สินกว่า 962 ล้านบาท ขณะที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ มีทรัพย์สินกว่า 79.8 ล้านบาท
3.ตร. รวบ 2 พม่าฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษแล้ว ยัน ไม่ใช่แพะ ด้านสื่ออังกฤษ แฉ ผู้ต้องหาทำแผนฯ ตาม ตร.สั่ง!
ความคืบหน้าคดีข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริตจ์ และนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 ก.ย. หลังจาก พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เผยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ว่า การสืบสวนคืบหน้าไปแล้ว 85% โดยเชื่อว่าเวลาที่เกิดเหตุคือ 02.00-04.00น. จึงมุ่งตรวจสอบบุคคลที่เข้ามาละแวกที่เกิดเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ตำรวจพุ่งเป้านำตัวแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่อยู่ในข่ายสูง 170 เซนติเมตร และสวมรองเท้าเบอร์ 40-42 มาทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอด้วย หลังผลตรวจดีเอ็นเอร่วม 200 คน ไม่ตรงกับหลักฐานที่เก็บได้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. พล.ต.ท.ปัญญา เผยอีกว่า ได้วัตถุพยานสำคัญบางอย่างมา แต่ขอเก็บเป็นความลับ พร้อมส่งตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3 คนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่นๆ เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดและหายตัวไป โดยมั่นใจว่า 2 ใน 3 คนร้ายเป็นผู้ลงมือข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ ส่วนอีกคนเป็นผู้เห็นและอยู่ในเหตุการณ์
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ก.ย. ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นที่พักแรงงานชาวพม่าใกล้ที่ว่าการอำเภอเกาะพะงัน หลังสืบทราบว่ามีชาวพม่า 7 คน ลาออกจากโรงแรมแห่งหนึ่งย่านหาดทรายรีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม ซึ่งยังไม่ถูกทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ โดยระหว่างนั้นมีชาวพม่ากลุ่มหนึ่งเตะตะกร้ออยู่ เมื่อเห็นตำรวจ ปรากฏว่า 2 คนในกลุ่มวิ่งหลบหนี ตำรวจจึงควบคุมชาวพม่าในกลุ่มไปสอบปากคำเพื่อหาผู้หลบหนี
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเงียบหายไป 2 วัน(29-30 ก.ย.) กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค. พล.ต.ท.ปัญญา ออกมาเผยว่า จะสืบสวนพยานที่เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ไปก่อนหน้านี้อย่างน้อย 10 คน โดย 10 คนนี้เป็นบุคคลที่อยู่ภายในเอซีบาร์คืนเกิดเหตุตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึง 04.30น. เนื่องจากมีพยานหลักฐานบางอย่างที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เชื่อมโยงเข้ากันได้กับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ พร้อมจัดชุดเจ้าหน้าที่ประกบตัวผู้ต้องถูกสอบสวนใหม่ทั้ง 10 ไว้ และว่า ผลการสืบสวนครั้งใหม่จะบอกได้ว่าใครเป็นคนร้าย พล.ต.ท.ปัญญา ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า ภายใน 2-3 วันจะออกหมายจับหรือจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ พร้อมแย้มว่า ใน 10 คนที่จะถูกสอบสวนใหม่มีทั้งชาวไทยและแรงงานชาวพม่า
วันเดียวกัน(1 ต.ค.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่รอง ผบ.ตร.กำกับดูแลคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ส่วน พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.นั้น ให้ดูงานด้านป้องกันและปราบปรามและติดตามคดีนี้ต่อ
วันต่อมา(2 ต.ค.) นายมาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้เข้าพบ พล.ต.อ.สมยศ ในโอกาส พล.ต.อ.สมยศ ได้รับตำแหน่ง ผบ.ตร. โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตอังกฤษได้สอบถามความคืบหน้าคดีคนร้ายฆ่า น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิดด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ ได้ชี้แจงขั้นตอนการทำงานของตำรวจ พร้อมยืนยันว่าตำรวจไทยดำเนินการตามมาตรฐานสากล
วันเดียวกัน(2 ต.ค.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ได้ออกมาเผยว่า ตำรวจจับกุม 3 ผู้ต้องสงสัยฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษได้แล้ว เป็นแรงงานชาวพม่า หลัง 1 ใน 3 รับสารภาพว่าก่อเหตุจริง และว่าได้ส่งดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยทั้งสามไปตรวจที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่ตัวผู้เสียชีวิตแล้ว
วันต่อมา(3 ต.ค.) ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คน คือ นายเวพิว หรือวิน ไม่มีนามสกุล อายุ 21 ปี สัญชาติพม่า(ยะไข่) และนายซอ ลิน หรือโซเรน ไม่มีนามสกุล อายุ 21 ปี สัญชาติพม่า(ยะไข่) ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยการขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ส่วนแรงงานพม่าอีกคนหนึ่ง คือ นายเมา ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำผิด ตำรวจจึงกันไว้เป็นพยาน
จากนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วยตำรวจที่เกี่ยวข้องได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เกาะเต่า ท่ามกลางชุดปราบจลาจลประมาณ 200 นาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาถูกรุมประชาทัณฑ์ โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมามุงดูการทำแผนฯ จำนวนมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ต้องหาสวมหมวกนิรภัยและเสื้อเกราะด้วย
หลังจากนั้น พล.ต.อ.สมยศ เปิดแถลงถึงการจับกุมคนร้ายในคดีนี้ว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนจนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.ฮันนาห์ และนายเดวิด เดินเล่นอยู่ริมหาดทรายรี จากนั้นคนร้าย 2 คน ได้เดินตามหลัง และใช้จอบฟาดที่ศีรษะด้านหลังของนายเดวิด จนหมดสติ จากนั้นได้ฉุด น.ส.ฮันนาห์ ไปข่มขืนที่เกิดเหตุ หลังก่อเหตุได้ใช้จอบฟาดที่หน้า น.ส.ฮันนาห์หลายครั้งจนเสียชีวิต และกลับมาลากร่างนายเดวิดไปทิ้งน้ำ ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมได้จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในรัศมี 2 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุ และหาข่าวจนทราบว่าคนร้ายเป็นใคร จึงได้คุมตัวมาสอบประวัติและเก็บดีเอ็นเอ ผลปรากฏว่า ดีเอ็นเอตรงกับที่พบที่ศพ น.ส.ฮันนาห์ และว่า หลังจากตำรวจค้นบ้านพักนายวิน พบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้ใกล้บ้านด้วย
สำหรับนายเมานั้น สารภาพว่า ได้นั่งดื่มเบียร์และเล่นกีตาร์อยู่บริเวณที่เกิดเหตุกับนายวินและนายซอ จริง แต่ได้เดินทางกลับไปก่อนที่จะมีเหตุทำร้ายนักท่องเที่ยวขึ้น ส่วนสาเหตุที่ผู้ต้องหาไม่หลบหนีออกจากพื้นที่หลังก่อเหตุและยังคงทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่ชำนาญพื้นที่และไม่รู้จะหนีไปไหน หรือไม่ก็อาจจะมั่นใจว่าตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมได้แน่นอน เพราะคืนที่เกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ ทำให้คนร้ายนิ่งนอนใจ พล.ต.อ.สมยศ ยืนยันด้วยว่า การจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้ไม่ใช่การจับแพะแน่นอน 100%
ทั้งนี้ เทเลกราฟ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของอังกฤษ รายงานตั้งข้อสังเกตว่า ฝูงชนหลายร้อยคนที่มามุงดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ ดูจะไม่ค่อยเขื่อมั่นวิธีการของตำรวจไทย หลังเห็นได้ชัดว่า ผู้ต้องสงสัยทำตามคำสั่งของตำรวจในการย้อนรอยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญครั้งนี้มากกว่า เทเลกราฟยังรายงานด้วยว่า น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ได้แสดงความกังวลกรณีที่ตำรวจไทยไม่จัดหาทนายให้ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน อย่างไรก็ตาม ตำรวจแก้ข้อสงสัยว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งสองไม่ได้ร้องขอทนายความ
หลังตำรวจจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมายืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นตัวจริง ไม่ใช่แพะ และว่า สิ่งที่ควรพูดต่อจากนี้คือการให้กำลังใจตำรวจ เพราะทำงานเต็มที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำด้วยว่า ต้องขึ้นบัญชีทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้หมดทุกคน เพราะคนร้ายที่จับได้ ไม่ได้ขึ้นบัญชีต่างด้าว ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องเอาผิดผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวไม่ลงทะเบียนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ต้องไปเข้มงวดและลงโทษไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ต้องหาคดีนี้ทำงานอยู่บนเกาะเต่า โดยนายวิน ทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารแห่งหนึ่งบนเกาะเต่า ส่วนนายซอและนายเมา ทำงานอยู่รีสอร์ตแห่งหนึ่งของผู้กว้างขวางบนเกาะเต่า
4.ศาล พิพากษาประหารชีวิต “เกม-วันชัย” ฐานฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ ขณะที่คู่หูเจอคุก 4 ปี!
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ศาลจังหวัดหัวหินได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน เป็นโจทก์ และมารดาน้องแก้ม เป็นโจทก์ร่วม ฟ้องนายวันชัย แสงขาว หรือ เกม อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียง การรถไฟแห่งประเทศไทย และนายณัฐกรณ์ ชำนาญ หรือ หนึ่ง อายุ 19 ปี พนักงานทำความสะอาดบนรถไฟ เป็นจำเลย 1-2 คดีฆ่าข่มขืนน้องแก้ม อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี เหตุเกิดบนรถไฟขบวนรถเร็วที่ 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร ก่อนทิ้งศพทางหน้าต่างโบกี้รถไฟในพื้นที่ อ.ปราณบุรี เมื่อกลางดึกวันที่ 6 ก.ค.ผ่านมา
ทั้งนี้ นายวันชัย ถูกฟ้อง 5 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2.กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี 3.ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย 4.ลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะในเวลากลางคืน และ 5.เสพยาบ้า โดยมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ส่วนนายณัฐกรณ์ ถูกฟ้องข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ ขณะที่อัยการจังหวัดหัวหินขอให้ศาลพิจารณาโทษสถานหนัก โดยไม่ต้องลดโทษให้จำเลย
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนถึงเวลาที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้คุมตัวจำเลยทั้งสองไปยังศาลจังหวัดหัวหิน เมื่อเดินทางถึงหน้าศาล มีมารดาและญาติของน้องแก้ม ผู้เสียชีวิตเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยสวมเสื้อยืดสีดำ มีข้อความว่า “ข่มขืนเท่ากับประหาร” และ “1 คนตาย ล้านคนตื่น” ขณะที่ น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ บุ๋ม อดีตนางสาวไทย ได้สวมชุดดำมาให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย
ด้านศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาเกือบ 1.30 ชั่วโมง โดยพิพากษาว่า นายวันชัย จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ,277 วรรคหนึ่ง ,มาตรา 335 (1) (9) วรรคสอง ,มาตรา 289 (7) และผิด พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57 ,90 และว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นควมผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนเองหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ให้ประหารชีวิต ,ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 9 ปี ,ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ จำคุก 5 ปี ,ฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุก 1 ปี และฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน
ทั้งนี้ ศาลเห็นควรลงโทษจำเลยที่ 1 สถานหนักและไม่มีเหตุที่จะบรรเทาโทษ เนื่องจากคำรับสารภาพของจำเลยเป็นเพราะจำนนด้วยพยานหลักฐาน และว่า นายวันชัยมีหน้าที่ช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร อาศัยโอกาสในการปฏิบัติงานบนขบวนรถไฟข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตาย ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ที่นอนหลับ ขณะที่มีผู้โดยสารอื่นและญาติผู้ตายนอนหลับอยู่ใกล้ๆ จากนั้นได้โยนศพทิ้งออกจากหน้าต่างรถไฟเพื่อปกปิดการตาย ลักษณะการกระทำความผิดจึงเป็นไปด้วยความอุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษสถานหนัก เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา นายวันชัยมีอาการตกใจ หน้าสลด และก้มหน้าตลอดเวลา
ส่วนนายณัฐกรณ์ จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 86 ให้จำคุก 6 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 4 ปี
ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ส่วนญาติผู้เสียชีวิต ในฐานะโจทก์ร่วมจะหารือกับทนายความอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 2 หรือไม่
5.ศิริราช ผลิตแอนติบอดีรักษาอีโบลาสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ด้าน WHO ชมไทย พร้อมขอตัวอย่างไปทดลอง หากได้ผล พร้อมใช้กับผู้ป่วยทันที!
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำทีมแถลงข่าว “ครั้งแรกของไทย ศิริราชผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลาสำเร็จ” ว่า โรคไข้เลือดออกมีการแพร่ระบาดทุกทวีปทั่วโลก โดยในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์เด็งกี ส่วนแอฟริกาเป็นสายพันธุ์อีโบลา “เราสามารถผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาได้สำเร็จครั้งแรกของไทยและของโลก โดยแอนติบอดีตัวนี้ได้พิสูจน์ว่าแตกต่างจากแอนติบอดีหรือยาซีแมปที่ใช้อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแอนติบอดีแบบตัวใหญ่ แต่ของเรามีขนาดเล็กกว่า 5 เท่า มีประสิทธิภาพดีกว่าชัดเจน เป็นการคิดค้นโดยเทคโนโลยีใหม่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาได้แต่ยังเป็นแค่ต้นแบบเท่านั้น ยังต้องไปทดลองในสัตว์และในคนอีก ซึ่งจะทำการทดลองในสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีห้องทดลองชีวนิรภัยระดับ 4 ซึ่งมีความปลอดภัยสูงสุด มีเพียงแค่ระดับ 3 เท่านั้น”
ขณะที่ ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา หัวหน้าทีมผู้ผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลา พูดถึงการทำงานของแอนติบอดีดังกล่าวว่า แอนติบอดีนี้ถือว่าเป็นยาชีววัตถุ ใช้หลักการเดียวกับเซรุ่มแก้พิษงู ซึ่งผลิตจากแอนติบอดีจากม้า ทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียง แต่แอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาผลิตจากในคน จึงไม่เกิดผลข้างเคียง โดยแอนติบอดีนี้เป็นแอนติบอดีสายเดี่ยว สามารถเข้าไปในเซลล์ที่ไวรัสอีโบลาเข้าไป ซึ่งแอนติบอดีจะไปจับโปรตีนแต่ละตัวของเชื้ออีโบลา และบล็อกไม่ให้โปรตีนของเชื้อเพิ่มจำนวนหรือสร้างตัวลูกได้ รวมทั้งบล็อกไม่ให้เชื้อไวรัสออกเซลล์เพื่อไปเผยแพร่ที่เซลล์อื่นได้ ซึ่งสุดท้ายกระบวนการภายในเซลล์จะทำลายโปรตีนของไวรัสจนย่อยกลายเป็นกรดอะมิโน
ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ บอกด้วยว่า การผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาครั้งนี้ ไม่ได้มีการนำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เป็นการสังเคราะห์ยีนขึ้น โดยใช้ลำดับเบสอ้างอิงของเชื้อที่ระบาดอยู่ขณะนี้เป็นต้นแบบ ซึ่งได้ยื่นจดสิทธิบัตรแอนติบอดีนี้ต่อสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว และว่า แอนติบอดีนี้สามารถรักษาไข้เลือดออกอีโบลาได้ทุกสายพันธุ์ แต่การรักษาต้องใช้ในช่วงที่ผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีไข้เท่านั้น หากอยู่ในระยะที่เลือดออกแล้ว จะไม่สามารถรักษาได้
ด้าน ศ.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า การผลิตแอนติบอดีต้นแบบนี้ยังผลิตได้น้อย เพราะผลิตในห้องแล็บเพียง 20 มิลลิกรัม แต่การจะนำมาฉีดรักษาตามมาตรฐานเช่นเดียวกับยาซีแมปต้องใช้ปริมาณ 10 กรัมต่อการฉีด 1 ครั้ง จึงต้องการมีขยายการผลิตแอนติบอดีเพิ่ม โดยได้ร่วมมือกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ และมหาวิทยาลัยมหิดล คาดว่าจะผลิต 20 ลิตรได้ใน 1 สัปดาห์ และ 200 ลิตรได้ในปีหน้า เพื่อทดลองในสัตว์และคน ก่อนจดทะเบียนเป็นยาต่อไป คาดว่าใช้เวลาขึ้นทะเบียน 2 ปี หรืออย่างเร็วภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ผ่านการทดลองในคน แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกับยาซีแมป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องรายงานเรื่องการผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาต่อองค์การอนามัยโลกหรือไม่ ศ.คลินิก นพ.อุดม บอกว่า ไม่จำเป็นต้องรายงาน เพราะถือว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ทำได้ แต่หากองค์การอนามัยโลกสนใจจะมาร่วมนำความสำเร็จนี้ไปต่อยอด ก็ยินดี
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศิริราชแถลงได้ 1 วัน ศ.คลินิก นพ.อุดม ก็ได้รับอีเมล์จาก Dr. Martin Friede หัวหน้าโครงการวิจัยอีโบลา ขององค์การอนามัยโลก เมื่อเช้าวันที่ 3 ต.ค. โดยส่งมาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของไทยในการผลิตแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการขยายจำนวนเชื้อไวรัสอีโบลาในเซลล์ของมนุษย์ในระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์และสามารถเปลี่ยนแปลงการรักษาเชื้อไวรัสอีโบลาได้ พร้อมกันนี้ Dr.Martin ยังได้แจ้งความประสงค์ขอนำแอนติบอดีจากไทยที่ผ่านการทดสอบไวรัสปลอมไปแล้วนี้ ไปทดลองกับเชื้อไวรัสอีโบลาจริงที่ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 4 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หากพบว่ามีประสิทธิภาพดี จะพัฒนาเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอีโบลาที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยลดขั้นตอนการทดลองในสัตว์และในมนุษย์ออกไปก่อนได้ ซึ่งศิริราชคาดว่า จะรวบรวมเอกสารที่จำเป็น พร้อมตัวอย่างแอนติบอดีและนักวิจัยของไทยบางส่วนไปร่วมทดสอบในสหรัฐฯ ได้ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้