xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 ก.ย.-4 ต.ค.2557

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“ในหลวง” เสด็จฯ มาประทับ รพ.ศิริราชอีกครั้ง หลังทรงมีไข้-พระโลหิตติดเชื้อ ล่าสุด พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ!
แถลงการณ์สำนักพระราชวังเกี่ยวกับพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 4 ต.ค.
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 1 ความว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการว่า เมื่อเย็นวันที่ 3 ต.ค. ทรงมีพระปรอท(ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงความดันในพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ ถวายการตรวจพระโลหิตด้วยวิธีพิเศษเพิ่มเติม และถวายการรักษาต่อไป

ทั้งนี้ หลังจากคณะแพทย์ถวายการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต พบว่าความดันพระโลหิตคงที่ พระปรอท(ไข้) ลดลง สภาวะทางโภชนาการดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคณะแพทย์ฯ จะได้ถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อและถวายการรักษาต่อไป

อนึ่ง สำนักพระราชวังแจ้งว่า จะเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรได้ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 08.00-18.00 น. ที่ศาลาศิริราช 100 ปี

2.“บิ๊กตู่” อำลาตำแหน่ง ผบ.ทบ. ส่งมอบหน้าที่ต่อ “อุดมเดช” ด้าน ผบ.ทบ.ใหม่ ยันไม่ปฏิวัติซ้อน ขณะที่ ป.ป.ช.เปิดกรุ สนช. พบ “อิสระ” รวยสุดกว่า 5 พันล้าน!

บรรยากาศพิธีส่งมอบตำแหน่ง ผบ.ทบ.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เมื่อวันที่ 30 ก.ย.
สถานการณ์บ้านเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้อำลาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) และทำพิธีส่งมอบหน้าที่ ผบ.ทบ.ให้แก่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.คนที่ 38 เมื่อวันที่ 30 ก.ย. โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “แม้จะต้องพ้นจากหน้าที่ ผบ.ทบ.ไป แต่อุดมการณ์ที่ได้ยึดมั่นมาโดยตลอดจะยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย และมีความตั้งใจที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์สนับสนุนการดำเนินงานของกองทัพให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม”

ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ขอน้อมรับหน้าที่สำคัญด้วยความสำนึกและความรับผิดชอบ “ผมพร้อมรับต่อภารกิจสถานการณ์และภัยคุกคามทุกรูปแบบที่มีความซับซ้อนกว้างขวางมากขึ้น ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่การเป็นกองทัพที่เข้มแข็งของอาเซียนในอนาคต” พล.อ.อุดมเดช ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องปฏิวัติซ้อนด้วย โดยยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติซ้อนแน่นอน

ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำ ผบ.เหล่าทัพทั้งหมด เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ หลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า เป็นการมากราบลา พล.อ.เปรม และว่า การพบกันครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และได้ให้พรแก่ทุกคน มีรายงานว่า พล.อ.เปรม ได้มอบหลวงปู่ทวด รุ่นบ้านเกิด ให้แก่ทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย

สำหรับความคืบหน้าการคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)จำนวน 250 คน ซึ่ง คสช.ได้คัดเลือกเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ย.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ได้มีรายชื่อ สปช.ในส่วนของด้านต่างๆ 11 ด้าน จำนวน 173 คน หลุดมาถึงมือสื่อมวลชน โดยพบว่า แต่ละด้านล้วนแล้วแต่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงได้รับเลือกเข้ามา เช่น ด้านการเมือง ได้แก่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ,นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน ฯลฯ ,ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ,นายวันชัย สอนศิริ , นายคำนูณ สิทธิสมาน ,นายเสรี สุวรรณภานนท์ ,นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ (ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ คดีจำนำข้าว) ฯลฯ ,ด้านพลังงาน ได้แก่ นายคุรุจิต นาครทรรพ ,นายมนูญ ศิริวรรณ , น.ส.รสนา โตสิตระกูล ฯลฯ ,ด้านสังคม ได้แก่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ,นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ,น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ฯลฯ ,ด้านอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ,พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ,นายปรีชา เถาทอง ฯลฯ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ว่า ได้นำรายชื่อ สปช.ทั้ง 250 คนทูลเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า รายชื่อ สปช.ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ตรงทั้งหมด และไม่รู้ว่ารายชื่อ สปช.หลุดออกมาได้อย่างไร

ส่วนความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า มี สนช.28 คน ไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้ สนช.ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สนช.ทั้ง 28 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารและตำรวจ นำโดย พล.อ.นพดล อินทปัญญา จึงได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองว่า ป.ป.ช.กระทำการดังกล่าวโดยไม่ชอบ พร้อมให้เหตุผลต่อศาลว่า สนช.ไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นและเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณชน ซึ่งศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องไว้พิจารณา สนช.ทั้ง 28 คนจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

ซึ่งศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ยืนตามศาลปกครองกลาง โดยให้เหตุผลว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 บัญญัติว่า ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่มีอยู่จริงในวันเข้ารับตำแหน่ง มติของ ป.ป.ช.ผู้ถูกร้อง จึงมิใช่คำสั่งทางปกครองหรือกฎ และมิได้ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 ราย ได้รับความเสียหายจากมติของ ป.ป.ช. ดังนั้นผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 ราย จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง

ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สนช.จำนวน 195 คน ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค. โดยพบว่า สนช.ที่รวยที่สุดคือ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ อดีตประธานหอการค้าไทย และประธานกรรมการบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด มีทรัพย์สินกว่า 5,225 ล้านบาท ส่วน สนช.ที่จนที่สุด คือ นายสมพร เทพสิทธา มีทรัพย์สิน 160,735 บาท ส่วน สนช.คนอื่นๆ ได้แก่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.มีทรัพย์สิกว่า 48.5 ล้านบาท ,พล.อ.นพดล อินทปัญญา 1 ใน 28 สนช.ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง มีทรัพย์สินกว่า 21.3 ล้านบาท , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 1 ใน 28 สนช.ที่ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเช่นกัน มีทรัพย์สินกว่า 136.5 ล้านบาท , พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.มีทรัพย์สินกว่า 962 ล้านบาท ขณะที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ มีทรัพย์สินกว่า 79.8 ล้านบาท

3.ตร. รวบ 2 พม่าฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษแล้ว ยัน ไม่ใช่แพะ ด้านสื่ออังกฤษ แฉ ผู้ต้องหาทำแผนฯ ตาม ตร.สั่ง!

ภาพเหตุการณ์ขณะตำรวจนำ 2 แรงงานต่างด้าวชาวพม่า 2 รายทำแผนประกอบคำรับสารภาพกรณีข่มขืนและฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า(3 ต.ค.)
ความคืบหน้าคดีข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริตจ์ และนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 ก.ย. หลังจาก พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เผยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ว่า การสืบสวนคืบหน้าไปแล้ว 85% โดยเชื่อว่าเวลาที่เกิดเหตุคือ 02.00-04.00น. จึงมุ่งตรวจสอบบุคคลที่เข้ามาละแวกที่เกิดเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ตำรวจพุ่งเป้านำตัวแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่อยู่ในข่ายสูง 170 เซนติเมตร และสวมรองเท้าเบอร์ 40-42 มาทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอด้วย หลังผลตรวจดีเอ็นเอร่วม 200 คน ไม่ตรงกับหลักฐานที่เก็บได้

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. พล.ต.ท.ปัญญา เผยอีกว่า ได้วัตถุพยานสำคัญบางอย่างมา แต่ขอเก็บเป็นความลับ พร้อมส่งตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3 คนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่นๆ เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดและหายตัวไป โดยมั่นใจว่า 2 ใน 3 คนร้ายเป็นผู้ลงมือข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ ส่วนอีกคนเป็นผู้เห็นและอยู่ในเหตุการณ์

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ก.ย. ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นที่พักแรงงานชาวพม่าใกล้ที่ว่าการอำเภอเกาะพะงัน หลังสืบทราบว่ามีชาวพม่า 7 คน ลาออกจากโรงแรมแห่งหนึ่งย่านหาดทรายรีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม ซึ่งยังไม่ถูกทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ โดยระหว่างนั้นมีชาวพม่ากลุ่มหนึ่งเตะตะกร้ออยู่ เมื่อเห็นตำรวจ ปรากฏว่า 2 คนในกลุ่มวิ่งหลบหนี ตำรวจจึงควบคุมชาวพม่าในกลุ่มไปสอบปากคำเพื่อหาผู้หลบหนี

เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเงียบหายไป 2 วัน(29-30 ก.ย.) กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค. พล.ต.ท.ปัญญา ออกมาเผยว่า จะสืบสวนพยานที่เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ไปก่อนหน้านี้อย่างน้อย 10 คน โดย 10 คนนี้เป็นบุคคลที่อยู่ภายในเอซีบาร์คืนเกิดเหตุตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึง 04.30น. เนื่องจากมีพยานหลักฐานบางอย่างที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เชื่อมโยงเข้ากันได้กับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ พร้อมจัดชุดเจ้าหน้าที่ประกบตัวผู้ต้องถูกสอบสวนใหม่ทั้ง 10 ไว้ และว่า ผลการสืบสวนครั้งใหม่จะบอกได้ว่าใครเป็นคนร้าย พล.ต.ท.ปัญญา ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า ภายใน 2-3 วันจะออกหมายจับหรือจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ พร้อมแย้มว่า ใน 10 คนที่จะถูกสอบสวนใหม่มีทั้งชาวไทยและแรงงานชาวพม่า

วันเดียวกัน(1 ต.ค.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่รอง ผบ.ตร.กำกับดูแลคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ส่วน พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.นั้น ให้ดูงานด้านป้องกันและปราบปรามและติดตามคดีนี้ต่อ

วันต่อมา(2 ต.ค.) นายมาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้เข้าพบ พล.ต.อ.สมยศ ในโอกาส พล.ต.อ.สมยศ ได้รับตำแหน่ง ผบ.ตร. โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตอังกฤษได้สอบถามความคืบหน้าคดีคนร้ายฆ่า น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิดด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ ได้ชี้แจงขั้นตอนการทำงานของตำรวจ พร้อมยืนยันว่าตำรวจไทยดำเนินการตามมาตรฐานสากล

วันเดียวกัน(2 ต.ค.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ได้ออกมาเผยว่า ตำรวจจับกุม 3 ผู้ต้องสงสัยฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษได้แล้ว เป็นแรงงานชาวพม่า หลัง 1 ใน 3 รับสารภาพว่าก่อเหตุจริง และว่าได้ส่งดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยทั้งสามไปตรวจที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่ตัวผู้เสียชีวิตแล้ว

วันต่อมา(3 ต.ค.) ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คน คือ นายเวพิว หรือวิน ไม่มีนามสกุล อายุ 21 ปี สัญชาติพม่า(ยะไข่) และนายซอ ลิน หรือโซเรน ไม่มีนามสกุล อายุ 21 ปี สัญชาติพม่า(ยะไข่) ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยการขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ส่วนแรงงานพม่าอีกคนหนึ่ง คือ นายเมา ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำผิด ตำรวจจึงกันไว้เป็นพยาน

จากนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วยตำรวจที่เกี่ยวข้องได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เกาะเต่า ท่ามกลางชุดปราบจลาจลประมาณ 200 นาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาถูกรุมประชาทัณฑ์ โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมามุงดูการทำแผนฯ จำนวนมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ต้องหาสวมหมวกนิรภัยและเสื้อเกราะด้วย

หลังจากนั้น พล.ต.อ.สมยศ เปิดแถลงถึงการจับกุมคนร้ายในคดีนี้ว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนจนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.ฮันนาห์ และนายเดวิด เดินเล่นอยู่ริมหาดทรายรี จากนั้นคนร้าย 2 คน ได้เดินตามหลัง และใช้จอบฟาดที่ศีรษะด้านหลังของนายเดวิด จนหมดสติ จากนั้นได้ฉุด น.ส.ฮันนาห์ ไปข่มขืนที่เกิดเหตุ หลังก่อเหตุได้ใช้จอบฟาดที่หน้า น.ส.ฮันนาห์หลายครั้งจนเสียชีวิต และกลับมาลากร่างนายเดวิดไปทิ้งน้ำ ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมได้จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในรัศมี 2 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุ และหาข่าวจนทราบว่าคนร้ายเป็นใคร จึงได้คุมตัวมาสอบประวัติและเก็บดีเอ็นเอ ผลปรากฏว่า ดีเอ็นเอตรงกับที่พบที่ศพ น.ส.ฮันนาห์ และว่า หลังจากตำรวจค้นบ้านพักนายวิน พบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้ใกล้บ้านด้วย

สำหรับนายเมานั้น สารภาพว่า ได้นั่งดื่มเบียร์และเล่นกีตาร์อยู่บริเวณที่เกิดเหตุกับนายวินและนายซอ จริง แต่ได้เดินทางกลับไปก่อนที่จะมีเหตุทำร้ายนักท่องเที่ยวขึ้น ส่วนสาเหตุที่ผู้ต้องหาไม่หลบหนีออกจากพื้นที่หลังก่อเหตุและยังคงทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่ชำนาญพื้นที่และไม่รู้จะหนีไปไหน หรือไม่ก็อาจจะมั่นใจว่าตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมได้แน่นอน เพราะคืนที่เกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ ทำให้คนร้ายนิ่งนอนใจ พล.ต.อ.สมยศ ยืนยันด้วยว่า การจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้ไม่ใช่การจับแพะแน่นอน 100%

ทั้งนี้ เทเลกราฟ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของอังกฤษ รายงานตั้งข้อสังเกตว่า ฝูงชนหลายร้อยคนที่มามุงดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ ดูจะไม่ค่อยเขื่อมั่นวิธีการของตำรวจไทย หลังเห็นได้ชัดว่า ผู้ต้องสงสัยทำตามคำสั่งของตำรวจในการย้อนรอยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญครั้งนี้มากกว่า เทเลกราฟยังรายงานด้วยว่า น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ได้แสดงความกังวลกรณีที่ตำรวจไทยไม่จัดหาทนายให้ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน อย่างไรก็ตาม ตำรวจแก้ข้อสงสัยว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งสองไม่ได้ร้องขอทนายความ

หลังตำรวจจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมายืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นตัวจริง ไม่ใช่แพะ และว่า สิ่งที่ควรพูดต่อจากนี้คือการให้กำลังใจตำรวจ เพราะทำงานเต็มที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำด้วยว่า ต้องขึ้นบัญชีทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้หมดทุกคน เพราะคนร้ายที่จับได้ ไม่ได้ขึ้นบัญชีต่างด้าว ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องเอาผิดผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวไม่ลงทะเบียนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ต้องไปเข้มงวดและลงโทษไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ต้องหาคดีนี้ทำงานอยู่บนเกาะเต่า โดยนายวิน ทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารแห่งหนึ่งบนเกาะเต่า ส่วนนายซอและนายเมา ทำงานอยู่รีสอร์ตแห่งหนึ่งของผู้กว้างขวางบนเกาะเต่า

4.ศาล พิพากษาประหารชีวิต “เกม-วันชัย” ฐานฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ ขณะที่คู่หูเจอคุก 4 ปี!

(บน) นายวันชัย แสงขาว หรือ เกม จำเลยคดีฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ (ล่าง) ญาติน้องแก้มเดินทางมาศาลจังหวัดหัวหินเพื่อฟังคำพิพากษา(30 ก.ย.)
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ศาลจังหวัดหัวหินได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน เป็นโจทก์ และมารดาน้องแก้ม เป็นโจทก์ร่วม ฟ้องนายวันชัย แสงขาว หรือ เกม อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียง การรถไฟแห่งประเทศไทย และนายณัฐกรณ์ ชำนาญ หรือ หนึ่ง อายุ 19 ปี พนักงานทำความสะอาดบนรถไฟ เป็นจำเลย 1-2 คดีฆ่าข่มขืนน้องแก้ม อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี เหตุเกิดบนรถไฟขบวนรถเร็วที่ 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร ก่อนทิ้งศพทางหน้าต่างโบกี้รถไฟในพื้นที่ อ.ปราณบุรี เมื่อกลางดึกวันที่ 6 ก.ค.ผ่านมา

ทั้งนี้ นายวันชัย ถูกฟ้อง 5 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2.กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี 3.ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย 4.ลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะในเวลากลางคืน และ 5.เสพยาบ้า โดยมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ส่วนนายณัฐกรณ์ ถูกฟ้องข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ ขณะที่อัยการจังหวัดหัวหินขอให้ศาลพิจารณาโทษสถานหนัก โดยไม่ต้องลดโทษให้จำเลย

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนถึงเวลาที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้คุมตัวจำเลยทั้งสองไปยังศาลจังหวัดหัวหิน เมื่อเดินทางถึงหน้าศาล มีมารดาและญาติของน้องแก้ม ผู้เสียชีวิตเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยสวมเสื้อยืดสีดำ มีข้อความว่า “ข่มขืนเท่ากับประหาร” และ “1 คนตาย ล้านคนตื่น” ขณะที่ น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ บุ๋ม อดีตนางสาวไทย ได้สวมชุดดำมาให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย

ด้านศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาเกือบ 1.30 ชั่วโมง โดยพิพากษาว่า นายวันชัย จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ,277 วรรคหนึ่ง ,มาตรา 335 (1) (9) วรรคสอง ,มาตรา 289 (7) และผิด พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57 ,90 และว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นควมผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนเองหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ให้ประหารชีวิต ,ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 9 ปี ,ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ จำคุก 5 ปี ,ฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุก 1 ปี และฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน

ทั้งนี้ ศาลเห็นควรลงโทษจำเลยที่ 1 สถานหนักและไม่มีเหตุที่จะบรรเทาโทษ เนื่องจากคำรับสารภาพของจำเลยเป็นเพราะจำนนด้วยพยานหลักฐาน และว่า นายวันชัยมีหน้าที่ช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร อาศัยโอกาสในการปฏิบัติงานบนขบวนรถไฟข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตาย ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ที่นอนหลับ ขณะที่มีผู้โดยสารอื่นและญาติผู้ตายนอนหลับอยู่ใกล้ๆ จากนั้นได้โยนศพทิ้งออกจากหน้าต่างรถไฟเพื่อปกปิดการตาย ลักษณะการกระทำความผิดจึงเป็นไปด้วยความอุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษสถานหนัก เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา นายวันชัยมีอาการตกใจ หน้าสลด และก้มหน้าตลอดเวลา

ส่วนนายณัฐกรณ์ จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 86 ให้จำคุก 6 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 4 ปี

ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ส่วนญาติผู้เสียชีวิต ในฐานะโจทก์ร่วมจะหารือกับทนายความอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 2 หรือไม่

5.ศิริราช ผลิตแอนติบอดีรักษาอีโบลาสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ด้าน WHO ชมไทย พร้อมขอตัวอย่างไปทดลอง หากได้ผล พร้อมใช้กับผู้ป่วยทันที!

บรรยากาศการแถลงข่าวความสำเร็จในการผลิตแอนติบอดีเพื่อรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลาของศิริราช(2 ต.ค.)
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำทีมแถลงข่าว “ครั้งแรกของไทย ศิริราชผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลาสำเร็จ” ว่า โรคไข้เลือดออกมีการแพร่ระบาดทุกทวีปทั่วโลก โดยในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์เด็งกี ส่วนแอฟริกาเป็นสายพันธุ์อีโบลา “เราสามารถผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาได้สำเร็จครั้งแรกของไทยและของโลก โดยแอนติบอดีตัวนี้ได้พิสูจน์ว่าแตกต่างจากแอนติบอดีหรือยาซีแมปที่ใช้อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแอนติบอดีแบบตัวใหญ่ แต่ของเรามีขนาดเล็กกว่า 5 เท่า มีประสิทธิภาพดีกว่าชัดเจน เป็นการคิดค้นโดยเทคโนโลยีใหม่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาได้แต่ยังเป็นแค่ต้นแบบเท่านั้น ยังต้องไปทดลองในสัตว์และในคนอีก ซึ่งจะทำการทดลองในสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีห้องทดลองชีวนิรภัยระดับ 4 ซึ่งมีความปลอดภัยสูงสุด มีเพียงแค่ระดับ 3 เท่านั้น”

ขณะที่ ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา หัวหน้าทีมผู้ผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลา พูดถึงการทำงานของแอนติบอดีดังกล่าวว่า แอนติบอดีนี้ถือว่าเป็นยาชีววัตถุ ใช้หลักการเดียวกับเซรุ่มแก้พิษงู ซึ่งผลิตจากแอนติบอดีจากม้า ทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียง แต่แอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาผลิตจากในคน จึงไม่เกิดผลข้างเคียง โดยแอนติบอดีนี้เป็นแอนติบอดีสายเดี่ยว สามารถเข้าไปในเซลล์ที่ไวรัสอีโบลาเข้าไป ซึ่งแอนติบอดีจะไปจับโปรตีนแต่ละตัวของเชื้ออีโบลา และบล็อกไม่ให้โปรตีนของเชื้อเพิ่มจำนวนหรือสร้างตัวลูกได้ รวมทั้งบล็อกไม่ให้เชื้อไวรัสออกเซลล์เพื่อไปเผยแพร่ที่เซลล์อื่นได้ ซึ่งสุดท้ายกระบวนการภายในเซลล์จะทำลายโปรตีนของไวรัสจนย่อยกลายเป็นกรดอะมิโน

ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ บอกด้วยว่า การผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาครั้งนี้ ไม่ได้มีการนำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เป็นการสังเคราะห์ยีนขึ้น โดยใช้ลำดับเบสอ้างอิงของเชื้อที่ระบาดอยู่ขณะนี้เป็นต้นแบบ ซึ่งได้ยื่นจดสิทธิบัตรแอนติบอดีนี้ต่อสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว และว่า แอนติบอดีนี้สามารถรักษาไข้เลือดออกอีโบลาได้ทุกสายพันธุ์ แต่การรักษาต้องใช้ในช่วงที่ผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีไข้เท่านั้น หากอยู่ในระยะที่เลือดออกแล้ว จะไม่สามารถรักษาได้

ด้าน ศ.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า การผลิตแอนติบอดีต้นแบบนี้ยังผลิตได้น้อย เพราะผลิตในห้องแล็บเพียง 20 มิลลิกรัม แต่การจะนำมาฉีดรักษาตามมาตรฐานเช่นเดียวกับยาซีแมปต้องใช้ปริมาณ 10 กรัมต่อการฉีด 1 ครั้ง จึงต้องการมีขยายการผลิตแอนติบอดีเพิ่ม โดยได้ร่วมมือกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ และมหาวิทยาลัยมหิดล คาดว่าจะผลิต 20 ลิตรได้ใน 1 สัปดาห์ และ 200 ลิตรได้ในปีหน้า เพื่อทดลองในสัตว์และคน ก่อนจดทะเบียนเป็นยาต่อไป คาดว่าใช้เวลาขึ้นทะเบียน 2 ปี หรืออย่างเร็วภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ผ่านการทดลองในคน แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกับยาซีแมป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องรายงานเรื่องการผลิตแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออกอีโบลาต่อองค์การอนามัยโลกหรือไม่ ศ.คลินิก นพ.อุดม บอกว่า ไม่จำเป็นต้องรายงาน เพราะถือว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ทำได้ แต่หากองค์การอนามัยโลกสนใจจะมาร่วมนำความสำเร็จนี้ไปต่อยอด ก็ยินดี

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศิริราชแถลงได้ 1 วัน ศ.คลินิก นพ.อุดม ก็ได้รับอีเมล์จาก Dr. Martin Friede หัวหน้าโครงการวิจัยอีโบลา ขององค์การอนามัยโลก เมื่อเช้าวันที่ 3 ต.ค. โดยส่งมาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของไทยในการผลิตแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการขยายจำนวนเชื้อไวรัสอีโบลาในเซลล์ของมนุษย์ในระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์และสามารถเปลี่ยนแปลงการรักษาเชื้อไวรัสอีโบลาได้ พร้อมกันนี้ Dr.Martin ยังได้แจ้งความประสงค์ขอนำแอนติบอดีจากไทยที่ผ่านการทดสอบไวรัสปลอมไปแล้วนี้ ไปทดลองกับเชื้อไวรัสอีโบลาจริงที่ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 4 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หากพบว่ามีประสิทธิภาพดี จะพัฒนาเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอีโบลาที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยลดขั้นตอนการทดลองในสัตว์และในมนุษย์ออกไปก่อนได้ ซึ่งศิริราชคาดว่า จะรวบรวมเอกสารที่จำเป็น พร้อมตัวอย่างแอนติบอดีและนักวิจัยของไทยบางส่วนไปร่วมทดสอบในสหรัฐฯ ได้ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น