กกจ. เผย 2 พม่าผู้ต้องหาฆ่านักท่องเที่ยวอังกฤษเป็นแรงงานเถื่อน เข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมาย เล็งเปิดหน่วยจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวบนเกาะท่องเที่ยว เพิ่มการเข้าถึงหลังส่วนใหญ่ไม่ยอมขึ้นฝั่งมาจดทะเบียน ประเดิมเกาะพะงันที่แรก ด้านแรงงานประมงในอินโดนีเซีย 70% ใช้เอกสารปลอมซีแมนบุ๊ก
วันนี้ (3 ต.ค.) นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงกรณีแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าที่หลบหนีเข้าเมือง และตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้จดทะเบียน จึงถือว่าเป็นแรงงานเถื่อน ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยบนเกาะเต่ามีจำนวนแรงงานต่างด้าวประมาณ 4,000 คน ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่เปิดให้นายจ้างนำแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือ ลาว กัมพูชา และ พม่า ไปขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 31 ต.ค. จึงถือว่ายังอยู่ในช่วงดำเนินการสามารถเข้ามาขอยื่นจดทะเบียนได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่มองว่าการที่พื้นที่เป็นเกาะทำให้แรงงานต่างด้าวไม่สนใจขึ้นฝั่งมาจดทะเบียนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี และกระทรวงแรงงาน จะนำหน่วยเคลื่อนที่ไปให้บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ อ.เกาะพะงัน ซึ่งเป็นพื้นที่ครอบคลุมไปถึง ต.เกาะเต่า ระหว่างวันที่ 13 - 27 ต.ค. ส่วนในเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละจังหวัด
“มาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าวสามารถทำได้แค่ปัญหายาเสพติดจากการตรวจปัสสาวะจากการขึ้นทะเบียนเท่านั้น ในส่วนของคดีอาชญากรรมไม่สามารถสืบประวัติย้อนหลังได้ว่าใครเคยมีคดีติดตัวมาบ้าง เพราะไม่มีการทำทะเบียนประวัติจากประเทศต้นทาง ทั้งนี้ เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยที่จะต้องเข้ามาดูแลด้านความมั่นคง” นายสุเมธ กล่าว
ด้าน นายสิงหเดช ชูอำนาจ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงกรณีแรงงานประมงไทย 6 คน ที่เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย ว่า ทั้ง 6 คน เดินทางไปทำงานนานแล้ว และไม่มีเอกสารหลักฐานประจำตัว โดยจากการลงพื้นที่พบว่าที่เกาะอัมบน ประเทศอินโดนีเซีย นั้น ที่ผ่านมา มีลูกเรือที่แสดงหนังสือคนประจำเรือสำหรับเรือประมง (ซีแมนบุ๊ก) ซึ่งออกโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม แสดงต่อตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของอินโดนีเซีย เพื่อเข้าประเทศจำนวนกว่า 1,772 คน ซึ่งคาดว่ามีคนไทยเพียงร้อยละ 30 นอกนั้นคาดว่าเป็นต่างด้าวที่มีการปลอมแปลงซีแมนบุ๊ก ทั้งนี้ การที่มีข้ออ้างว่าถูกนายหน้าพาไปทำงานบนเรือนั้นก็ต้องร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อร่วมกันจัดการ ปราบปรามต่อไป
“ที่ผ่านมา มีการปลอมแปลงซีแมนบุ๊กเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จะใช้หนังสือนี้เป็นเครื่องยืนยันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ โดยกระทรวงการต่างประเทศแนะนำให้ใช้การแสดงหนังสือเดินทางควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันการปลอมแปลง” นายสิงหเดช กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (3 ต.ค.) นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงกรณีแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าที่หลบหนีเข้าเมือง และตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้จดทะเบียน จึงถือว่าเป็นแรงงานเถื่อน ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยบนเกาะเต่ามีจำนวนแรงงานต่างด้าวประมาณ 4,000 คน ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่เปิดให้นายจ้างนำแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือ ลาว กัมพูชา และ พม่า ไปขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 31 ต.ค. จึงถือว่ายังอยู่ในช่วงดำเนินการสามารถเข้ามาขอยื่นจดทะเบียนได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่มองว่าการที่พื้นที่เป็นเกาะทำให้แรงงานต่างด้าวไม่สนใจขึ้นฝั่งมาจดทะเบียนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี และกระทรวงแรงงาน จะนำหน่วยเคลื่อนที่ไปให้บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ อ.เกาะพะงัน ซึ่งเป็นพื้นที่ครอบคลุมไปถึง ต.เกาะเต่า ระหว่างวันที่ 13 - 27 ต.ค. ส่วนในเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละจังหวัด
“มาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าวสามารถทำได้แค่ปัญหายาเสพติดจากการตรวจปัสสาวะจากการขึ้นทะเบียนเท่านั้น ในส่วนของคดีอาชญากรรมไม่สามารถสืบประวัติย้อนหลังได้ว่าใครเคยมีคดีติดตัวมาบ้าง เพราะไม่มีการทำทะเบียนประวัติจากประเทศต้นทาง ทั้งนี้ เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยที่จะต้องเข้ามาดูแลด้านความมั่นคง” นายสุเมธ กล่าว
ด้าน นายสิงหเดช ชูอำนาจ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงกรณีแรงงานประมงไทย 6 คน ที่เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย ว่า ทั้ง 6 คน เดินทางไปทำงานนานแล้ว และไม่มีเอกสารหลักฐานประจำตัว โดยจากการลงพื้นที่พบว่าที่เกาะอัมบน ประเทศอินโดนีเซีย นั้น ที่ผ่านมา มีลูกเรือที่แสดงหนังสือคนประจำเรือสำหรับเรือประมง (ซีแมนบุ๊ก) ซึ่งออกโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม แสดงต่อตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของอินโดนีเซีย เพื่อเข้าประเทศจำนวนกว่า 1,772 คน ซึ่งคาดว่ามีคนไทยเพียงร้อยละ 30 นอกนั้นคาดว่าเป็นต่างด้าวที่มีการปลอมแปลงซีแมนบุ๊ก ทั้งนี้ การที่มีข้ออ้างว่าถูกนายหน้าพาไปทำงานบนเรือนั้นก็ต้องร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อร่วมกันจัดการ ปราบปรามต่อไป
“ที่ผ่านมา มีการปลอมแปลงซีแมนบุ๊กเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จะใช้หนังสือนี้เป็นเครื่องยืนยันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ โดยกระทรวงการต่างประเทศแนะนำให้ใช้การแสดงหนังสือเดินทางควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันการปลอมแปลง” นายสิงหเดช กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
