กลายเป็นประเด็นร้อนประเด็นแรงหลังจากเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ผุดไอเดียใหม่ไม่รับเด็กเจาะหู มีรอยสักเข้าเรียนใน 21 วิทยาลัยอาชีวะในกรุงเทพฯ ร้อนถึงหลายฝ่ายในสังคมออกมาวิจารณ์นโยบายดังกล่าวว่า แก้ปัญหาเด็กช่างตีกันได้จริงๆ และถูกจุดที่ควรแก้หรือไม่?!!
หลังจาก ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สอศ. ได้จัดตั้งกลุ่มอาชีวศึกษาพัฒนาโดยรวมวิทยาลัยในกลุ่มเสี่ยงที่มีเด็กก่อเหตุทะเลาะวิวาท 21 แห่งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และจะให้วิทยาลัยกลุ่มนี้เข้มงวดในการรับนักศึกษาในปีการศึกษา 2558 โดยให้คัดกรองรับเฉพาะเด็กที่ตั้งใจมาเรียนสายอาชีพจริง มีความประพฤติดี ไม่มีประวัติก่อเหตุทะเลาะวิวาท ไม่เจาะหู ไม่มีรอยสักตามร่างกาย และเมื่อเข้าเรียนแล้วก็จะดูแลเรื่องระเบียบวินัยการแต่งกายอย่างเคร่งครัด
กระแสข่าวดังกล่าวทำเอา แทค ภรัณยู ดารามาดเท่ผู้มีรอยสักและยังเจาะหูถึงขั้นแสดงความเห็นในไอจีของตนเองในเชิงไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง พร้อมเผยว่าคนมีรอยสักหรือเจาะหูไม่ใช่คนไม่ดีแต่อย่างใด
"คนมีรอยสักมันไม่ดีตรงไหน พูด ทำไมต้องคิดว่าคนมีรอยสักเป็น (คนไม่ดี) ทำไมชอบดูแต่ภายนอกวะ และคนเจาะหูอีก พวก_คิดอะไรกันอยู่ งั้นดาราต่างประเทศมาสัก เขาก็เป็นคนไม่ดีใช่ไหม มาช่วยคนยากจน เขาไม่ดีใช่ไหม ความคิดโง่ๆ ใช้หัวแต่ตีนคิดหรือไง เอาตรงๆ เลย คนมีรอยสักมันไม่ดีตรงไหนวะ ไปโกงชาติ ไปฆ่าข่มขืนใคร หรือไปขโมยของใคร ไหนพูดสิ ดูบางคนไม่สักไม่เจาะหูยังฆ่าคนยังโกงคนยังข่มขืนได้ จริงไหมล่ะ แหม...อ่านข่าวแล้วขึ้นเลย"
ทันทีที่มีการตีข่าวนโยบายดังกล่าว ทีมงานASTV ผู้จัดการ LIVE ได้สัมภาษณ์ รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร ประธานคณะกรรมการบริหารงานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ “มาตการการป้องกันการทะเลาะวิวาทของนักศึกษา/นักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร” เผยว่าจากการวิจัยดังกล่าวนั้น ปัญหาช่างกลตีกันคงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พร้อมกันนั้นเธอยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุดและเป็นการปิดโอกาสไม่ให้เด็กกลับเนื้อกลับตัวได้
“ไม่เห็นด้วยเลยเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว เด็กกลุ่มนี้เราต้องให้ความสนใจใส่ใจเขาเป็นพิเศษ เพราะเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมหรือเคยมีอะไรก็ตามที่เกเรในบางช่วงของชีวิต ซึ่งสิ่งนี้มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเด็กที่ไม่ดี หรือเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้ในอนาคตนะ”
ทั้งนี้ เธอเผยจากงานวิจัยที่อยู่ระหว่างการจัดทำว่า ปัจจัยที่ทำให้วัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทนั้นมีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นที่เป็นวัยที่ต้องการการยอมรับ เมื่อหมดช่วงวัยปัญหานี้ก็มักจะหายไป ซึ่งถือว่าวัยรุ่นช่วงวัยดังกล่าวอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องเหล่านี้ได้
โดยวิธีการแก้ไขปัญหานั้น เธอมองว่า ไม่ควรตัดโอกาสและผลักภาระของสิ่งที่เกิดขึ้น การทำแบบนั้นจะส่งผลกลับกันโดยจะยิ่งเป็นการทำให้เด็กไม่มีทางเลือกที่ออกไปก่อเหตุอาชญากรรมมากขึ้นกว่าเดิม
“จากงานวิจัยหลักๆ เลย เราต้องยอมรับในเรื่องของช่วงวัยที่เป็นวัยรุ่นและต้องการเป็นที่ยอมรับ แต่ทำอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับโดยไม่ให้เขาไปก่อเหตุรุนแรงที่เราจะไม่สามารถแก้ไขได้อีกอย่างเหตุอาชญากรรม
“การแก้ไข เริ่มแรกเรารู้ว่าเขาเป็นกลุ่มเสี่ยงอาจจะต้องเริ่มเข้าไปดูแลเขาทั้งในเรื่องของเขาเองไปถึงเรื่องผู้ปกครอง ชุมชน บ้านที่เขาอยู่ หน้าที่จะต้องเป็นของโรงเรียนที่อาจจะต้องเป็นคนช่วยดูแล ไปคุยกันหาทางร่วมมือแก้ไข เพราะบางครั้งการทำงานโรงเรียนฝ่ายเดียว ผู้ปกครองฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ผล มันต้องร่วมกัน พ่อแม่ผู้ปกครองควบคุม ครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์ดูแลตรวจตรามากขึ้น”
ทั้งนี้ หากนโยบายดังกล่าวมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการเธอเห็นว่าจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหามากขึ้น และเป็นการปิดโอกาสเด็กที่อาจจะกลับตัวกลับใจภายหลังได้ เธอมองว่า เด็กหลายคนเมื่อผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นก็ไม่มีพฤติกรรมในลักษณะทะเลาะวิวาทอีกด้วย
“ต้องให้โอกาสเขา อย่าไปรุมประณามเขาไม่ให้โอกาสเขาเข้าเรียน เขามีรอยสักหรือประวัติไม่ดีหรือเจาะหูก็ไม่ควรให้ตัดสิทธิ์เขา เพราะการเรียนหรือการส่งเสริมเรื่องของสายอาชีพมันจะช่วยเรื่องอนาคตที่เขาจะไปประกอบอาชีพ ยิ่งเราตัดโอกาสเขามากเท่าไหร่ สังคมเราจะเกิดเหตุอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น เราร่วมกันลดช่องตรงนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ดีกว่าจะให้ปัญหาตรงนี้มันไปโป่รงที่จุดอื่น”
แม้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ หลังเสียงวิจารณ์เธอในฐานะที่ทำงานวิจัยด้านนี้โดยตรงมองว่า ผู้มีอำนาจตัดสินใจควรพิจารณาถึงสิ่งที่จะเกิดตามมาให้ดีๆก่อน
เรื่องโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754