เป็นคลิปสัมภาษณ์ที่สร้างความตกตะลึงทั้งใน-นอกวงการ เมื่อพระเอกชื่อดัง "โฬม-พัชฏะ นามปาน" ดาราช่อง 3 ให้สัมภาษณ์สื่อด้วยอาการเบลอหนัก คล้ายคนเมา กลายเป็นคลิปที่แชร์สนั่นในโลกออนไลน์ ด้านเจ้าตัวบอกนอนน้อย อัดยาแก้อักเสบจนเบลอ ส่วนผู้จัดการก็ออกมาแจง ไม่ได้เมาเหล้า แต่เมายาแก้อักเสบ แตกประเด็นให้ตามต่อถึงผลข้างเคียงของยาแก้อักเสบ รวมไปถึงพฤติกรรมการกินยาแบบผิดๆ ของคนไทยที่กลายเป็นภัยเงียบใกล้ตัว
เมื่อพระเอกดัง เมายา (แก้อักเสบ)
"หมอก็ให้พักผ่อนเยอะๆ และให้วิตามินรวมครับ มี 3-4 ถุงครับ แต่พักยาวๆ คงไม่ได้ครับ คงได้แค่ 2-3 วัน วันเดียวก็ดีขึ้นแล้วนะ (ทำไมถึงยังมางานวันนี้อีก) ไหวอยู่ๆ ก็มีพี่สาวมาด้วยครับ (ตอนนี้อาการมันคืออะไรเมายาหรือยังไง) จะตีกันตายอยู่แล้วครับ (กินยาแล้วมันไม่ดีขึ้น) พี่หรือผมครับ เปล่าหรอก คือพอมันรับยามากเกินไป ยาแก้อักเสบอะไรพวกนี้ครับ มันก็จะเบลอๆ นิดหนึ่ง หรือบางทีคลานไปแล้ว นอนไม่พอ ถูกปลุกมาทำงานก็จะมี นี่เดินขายังขวิดอยู่เลย (คราวก่อนแอดมินไปกี่วัน) 2 วันครับ ตอนนี้อาการยังไม่ค่อยดีขึ้นครับ..."
ช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ถาม-ตอบพระเอกชื่อดัง "โฬม พัชฎะ" ภายหลังการเปิดงาน Street Pub & Restaurant : Street Black Light Music Festivals ที่บรรดาสื่อมวลชนถึงขั้นตกใจกับสภาพของพระเอกคนนี้ เพราะเดินทางมาร่วมงานด้วยอาการโซซัดโซเซอาการคล้ายคนเมาเหล้า ต้องมีคนคอยประคองตลอด ก่อนพระเอกหนุ่มจะเผยให้กองทัพสื่อมวลชนฟังถึงอาการคล้ายคนเมาว่า อัดยาแก้อักเสบเยอะจัดจนเกิดอาการเบลอ ขนาดเดินยังขาขวิดแทบลงไปคลาน
กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงในโลกโซเชียลฯ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นเอาหนัก คล้ายคนเมาเหล้า ซึ่งแน่นอนว่า คลิปสัมภาษณ์ที่ถูกแชร์ และส่งต่ออย่างแพร่หลาย ส่งผลกระทบแง่ลบต่อพระเอกหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้เจ้าตัวต้องยกเลิกงานอีเวนต์ที่เซ็นทรัล (บางนา) ในวันถัดมา เพื่อเดินทางไปหาพบแพทย์
มีด้วยหรือ? เมายาแก้อักเสบ
เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามข่าว มีการตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมคล้ายคนเมาของพระเอกชื่อดังขณะให้สัมภาษณ์ว่า นี่คืออาการของคนเมายาแก้อักเสบจริงหรือ
เรื่องนี้ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ผ่านทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ถึงกรณีการกินยาแก้อักเสบมากจนเบลอว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้ามีอาการแพ้ยาก็อาจเป็นไปได้ เช่น อาการมึนงง เวียนศีรษะ เป็นต้น
"ไม่น่าเป็นไปได้นะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า กินเยอะเกินไป กินเยอะเป็นเวลานาน หรือกินเกินขนาด เช่น ให้กิน 2 เม็ด 500 มิลลิกรัม แต่กิน 4 เม็ด 6 เม็ด ถ้าเกิดมีอาการแพ้ยาด้วยแล้วก็อาจจะมีอาการข้างเคียงของการใช้ยาก็เป็นได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ก็แล้วแต่ชนิดของยาอีก เพราะปัจจุบันมีหลายประเภท หลายชนิด ที่เจอบ่อยๆ ก็จะมีคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เวียนหัว หรือบางคนอาจจะมีผื่นตามผิวหนัง" พญ.เชิดชู เสริม และจำแนกประเภทยาแก้อักเสบให้ฟังว่า
"ยาแก้อักเสบมี 2 ประเภท คือ แก้อักเสบแบบไม่ติดเชื้อ เช่น ปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น อีกประเภทคือ แก้อักเสบจากการติดเชื้อ เช่น มีแผล เป็นหนอง เป็นต้น โดยยา 2 ประเภทจะใช้ในความหมายไม่ตรงกัน ส่วนมาก ยาที่เรียกว่าแก้อักเสบแบบไม่ติดเชื้อมักจะเป็นยาลดไข้ ลดปวด ลดบวมด้วย บางประเภทใช้ลดไข้รุนแรง พวกนี้ถ้ากินเข้าไปแล้ว อาจมีอาการข้างเคียงตามมา เช่น ทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร
ดังนั้น เวลาที่คุณหมอสั่งยาแก้อักเสบพวกนี้ให้ ก็จะสั่งให้กินยาหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาเข้าไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ถ้าเราไม่รู้ เผลอกินเข้าไปอนท้องว่างก็อาจมีอาการปวดท้อง เป็นแผลในกระเพาะแล้วก็เลือดออกในกระเพาะตามมาได้ค่ะ"
ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช่ยาแก้อักเสบ
นอกจากนี้ยังให้ความรู้เพิ่มเติมว่า 'ยาปฏิชีวนะ' ไม่ใช่ 'ยาแก้อักเสบ' เป็นคนละตัวกัน แถมยังเป็นยาอันตรายหากใช้ไม่ถูกโรค
"จริงๆ การกินยาพร่ำเพรื่อก็ไม่ดีนะคะ อย่างเราเป็นหวัด เป็นไข้ มันก็เกิดจากเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ถ้ากินไม่ตรงกับโรคก็จะเสียเงินโดยใช่เหตุ หรือบางคนเป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็กินยาปฏิชีวนะ แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งทำให้เชื้อโรคที่เป็นจริงๆ มันดื้อยา เพราะเคยชินกับยาตัวนี้ หรืออีกในกรณี มันจะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ผิดปกติในร่างกายเรา ส่งผลให้เกิดเชื้อราได้" คุณหมอเผย ก่อนจะย้ำเตือนว่า "ยาปฏิชีวนะ เป็นยาอันตราย ไม่ควรซื้อมากินเอง ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ ซึ่งแพทย์จะต้องเป็นผู้สั่งยาให้เท่านั้น"
ในส่วนของ ยาพาราเซตามอล พญ.เชิดชู บอกไว้ด้วยว่า เป็นยาลดไข้ชนิดที่มีอันตรายน้อยที่สุด แต่ถ้ากินมากเกินไปก็อาจมีผลต่อตับได้ โดยเด็กเล็กควรกินไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตัวอย่างคือ เด็กมีน้ำหนัก 10 กิโลกรัมต้องได้รับยาปริมาณ 100-150 มิลลิกรัม หากไม่ทราบน้ำหนัก ควรใช้การคำนวณขนาดยาตามอายุของเด็ก เช่น เด็กอายุ 1-6 ปี ให้ยาพาราเซตามอลแบบน้ำเชื่อม 120 มิลลิกรัม หรือในปริมาณ 1-2 ช้อนชา ในเด็กโตอาจให้ยาในปริมาณ 500 มิลลิกรัม โดยอาจให้ยาเพียงครึ่งหรือหนึ่งเม็ดคิดตามน้ำหนักและอายุ
สำหรับเวลาในการให้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัย คือ ทุก 4-6 ชั่วโมง และภายใน 1 วัน ไม่ควรให้ยาเกิน 5 ครั้ง เพราะจะเป็นอันตรายต่อตับและไต ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน กินได้ครั้งละ 500 มิลลิกรัม ถ้าเกินกว่านี้อาจทำให้ตับวายได้
ท้ายนี้ พญ.เชิดชู ให้แง่คิดจากกรณีข่าวพระเอกหนุ่มชื่อดังไว้อย่างน่าสนใจว่า การดูแลตัวเอง ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าไปแก้ที่ปลายเหตุ
"ร่างกายของคนเราไม่ใช่เครื่องจักร ต้องได้รับการพักผ่อน เราจะเห็นว่า ดารา นักแสดง หรือคนทำงานที่ต้องอยู่เวรกลางคืนมักจะได้รับการพักผ่อนน้อย ร่างกายก็อ่อนแอง่าย เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ และเจ็บป่วยได้ง่าย เมื่อเป็นแล้วก็กินแต่ยา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ทางที่ดี ต้องทำตัวเราเองให้สมดุล คือ ทำงานแล้วก็ต้องมีเวลาพักผ่อน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือจะดีมากๆ ถ้ามีเวลาไปออกกำลังกายด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานทั่วๆ ไปที่เราๆ ท่านๆ เองก็รู้ แต่บางครั้งกลับละเลยจนลืมนึกถึงตัวเอง สุดท้ายก็ต้องกินยา อัดยาเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว แต่หารู้ไม่ว่าพฤติกรรมแบบนี้นำมาซึ่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าที่คิด" พญ.เชิดชูทิ้งท้าย
ถึงตอนนี้ สิ่งที่สังคมต้องการฟังมากที่สุดก็คือ การออกมาแถลงถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้งของพระเอกชื่อดัง ว่าแท้จริงแล้ว เมายาแก้อักเสบจริงหรือไม่...
*** ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"แหม่ม" จวก ผจก."โฬม" ทำภาพลักษณ์พระเอกดังเสื่อม!
อุ๊ยตาย ! "โฬม" เมาไปงานอีเว้นต์ บอกเมายาแก้อักเสบ (ชมคลิป)
เรื่องโดย ASTVผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754