ทำเอาประชาชนผู้สะสมเหรียญแตกตื่นคุ้ยกระปุกหาเหรียญกันมือระวิง หลังมีการประกาศผ่านร้านค้าบนโลกโซเชียล “รับซื้อเหรียญ 10 บาท พ.ศ. 2533 ในราคา 100,000 บาท” คนไทยบางส่วนเลยเกิดอาการตาลุกวาวหวังรวยกันก็งานนี้ แต่เงื่อนไขสำคัญคือมันมีเพียงแค่ 100 เหรียญเท่านั้น!! จึงเกิดความปั่นป่วนเรื่องจริงหรือเพียงปั่นตลาดเหรียญเก่า...
ไทยชุลมุน แห่หาเหรียญเก่า
“มีก็ลองติดต่อมา.... (ขอให้เป็นของแท้นะครับ ไม่ใช่เอา ๒๕๓๗ มาตะไบเป็น ๒๕๓๓ ตำหนิก็ต่างกันหลอกผมไม่ได้หรอกครับ 555) โทร 092-276-79xx (มีเมื่อไหร่ค่อยโทรมาครับ) แชร์ไปเผื่อเพื่อนมี เดี๋ยวผมให้ค่านายหน้าครับ สอบถามให้ Inbox ครับ” ข้อความจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ ของ “ร้านปาหนัน จิวเวลรี่” เมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำเอาเกิดปรากฏการณ์แชร์สนั่นเมือง พร้อมกับการล่าหาเหรียญสิบบาทที่มูลค่าล้ำหน้าทองคำไปหลายขุม
บางส่วนก็เชื่อ บางส่วนก็ฉงนสงสัย จริงหรือไม่ที่เหรียญสิบในปี 2533 จะมีเพียงแค่ 100 เหรียญเท่านั้น!! จากนั้น ข้อมูลบางส่วนจากกลุ่มคนสะสมเหรียญก็ค่อยๆ เผยออกมา โดยระบุว่า ในปี พ.ศ. 2533 มีการผลิตเหรียญสิบบาท เพียง 100 เหรียญเท่านั้น เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์เหรียญกษาปณ์ที่ประเทศแคนาดา ส่วนเหรียญที่เหลือจากการนำไปแสดงที่ประเทศแคนาดา ประมาณ 30 เหรียญ ก็มีนักสะสมตามไปซื้อเก็บเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่สมัยผลิตออกมาใหม่ๆ ดังนั้น โอกาสที่จะเจอเหรียญสิบในคราวนั้นจึงถือว่าน้อยมาก
ทั้งนี้ การตามล่าหาเหรียญสิบที่ผลิตในปี พ.ศ. 2533 ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในกลุ่มคนสะสมเหรียญต่างก็ทราบดีว่าเหรียญนี้ช่างมีมูลค่ามหาศาลและตามหายากติดลำดับหนึ่งในสิบเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากมีการประกาศตามหาเหรียญสิบบาทในโลกโซเชียล เลยทำให้ผู้คนต้องกลับไปทุบประปุกออมสินตัวเองดู เผื่อจะฟลุ๊กกลายเป็นเศรษฐีกับเขาบ้าง
แต่กระนั้น ก็ถูกดับฝันลง หลังในวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม นริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วว่าปี พ.ศ.2533 ไม่ได้มีเหรียญสิบบาท แค่ 100 เหรียญเท่านั้น เนื่องจากเมื่อปี 2533 ได้ซื้อเหรียญสิบบาทสำเร็จรูปมาจากบริษัทโอลินบราส ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวนถึง 50 ล้านเหรียญ ไม่ได้มีแค่ 100 เหรียญตามข่าวลือแน่นอน
ขณะที่ ปี พ.ศ.2532 ได้ซื้อเหรียญสำเร็จรูปมาจากบริษัทดิ อิตาเลียน เสตท มิ้นท์ จำนวน 100 ล้านเหรียญ ส่วนเรื่องการนำไปแสดงโชว์ที่แคนาดาหรือไม่นั้น ยังไม่ขอยืนยัน แต่ก็สั่งให้ฝ่ายผลิตเหรียญกษาปณ์ไปตรวจสอบข้อมูลแล้ว คาดว่าต้องใช้เวลา เพราะติดวันหยุดราชการ 4 วัน แต่ที่ยืนยันได้แน่คือ ปี พ.ศ. 2532 -2533 เราซื้อเหรียญสิบบาท รวมกันถึง 150 ล้านเหรียญ
ทั้งนี้ พฤฒิพล ประชุมพล ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทยและเป็นผู้ติดตามเรื่องเหรียญสิบบาท ปี พ.ศ. 2533 มานาน ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กแสดงความเห็น หลังจากกรมธนารักษ์ออกข่าวเหรียญสิบบาท ปีพ.ศ. 2533 มีผลิต 50 ล้านเหรียญว่า “เชื่อผมสิ! เดี๋ยวต้องมีคนเอาปีบคลุมหัว...เพราะผมตามเรื่องเหรียญ 10 บาท ปี 33 มานานกว่าที่นายนริศ จะได้ขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ซะอีก!”
ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ LIVE จึงได้ติดต่อไปยังพฤฒิพล และก็ได้รับความเห็นในมุมผู้อยู่ในแวดวงนักสะสมเหรียญว่า ในวงการของคนเล่นเหรียญเองก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดถึงจำนวนเหรียญสิบ ปี 2533 ว่ามีทั้งหมดกี่เหรียญ แต่เท่าที่รับรู้กันคือหลังจากมีการไปจัดแสดงที่แคนาดาแล้ว เหรียญทั้งหมดนั้นก็กระจัดกระจายออกไป
“ถ้าไปตรวจดูดีๆ ผมว่ากรมธนารักษ์น่าจะมีคำตอบที่แน่ชัดที่สุด แต่ในมุมของนักสะสมมันก็มีข่าวเท็จข่าวจริงปะปนกันอยู่ ที่แน่คือไม่รู้ความจริงทั้งหมดชัดเจนนัก”
สุดล้ำค่า เพียง 100 เหรียญ
เหมือนเรื่องจะจบลงด้วยข้อสรุปที่ว่าเหรียญสิบในปีพ.ศ. 2533 มิได้มีเพียงแค่ 100 เหรียญ แต่พอวันต่อมา (11 สิงหาคม) กลับมีเรื่องที่ทำเอาต้องหงายตึงอีกรอบ หลังอธิบดีกรมธนารักษ์ขอกลับลำ ออกมาระบุว่า ภายหลังจากการตรวจสอบกับอดีตรองอธิบดีฝ่ายเหรียญในสมัยนั้น ถึงความชัดเจนของจำนวนเหรียญสิบบาท ที่มีการผลิตขึ้นในปีพ.ศ. 2533 ว่ามีจำนวนเท่าใด จึงได้พบว่าการผลิตเหรียญสิบบาท ปีพ.ศ. 2533 มีแค่ที่ 100 เหรียญจริงๆ ซึ่งเป็นการนำไปแจกให้แก่ผู้ร่วมงานในประเทศอังกฤษ
การแจกดังกล่าวเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าไทยผลิตเหรียญสิบบาทแล้ว เพราะสมัยนั้นยังไทยยังใช้ธนบัตรสิบบาทอยู่ โดยการนำเข้าเหรียญดังกล่าวในช่วงปี 2532-2533 เพื่อเตรียมพร้อมว่าไทยจะเลิกใช้แบงก์สิบแล้ว พร้อมกันนี้ ยังระบุอีกด้วยว่า เหรียญสิบที่ผลิตในปีดังกล่าว ถือเป็นของหายากอย่างแน่นอน เพราะแจกในต่างประเทศไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะกับนักสะสมชาวต่างประเทศ และก็ยังไม่มั่นใจว่า ในกรมฯ จะยังเหลือเหรียญรุ่นดังกล่าวหรือไม่
สร้างความชัดเจนเป็นอันที่เข้าใจกันทั้งประเทศแล้วว่า เหรียญสิบบาทที่ผลิตในปี พ.ศ. 2533 เป็นเหรียญหายากจริง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ประชาชนก็ปักใจเชื่อตั้งแต่ทางร้านประกาศรับซื้อ เนื่องจากมองเห็นความเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้อาจเป็นความจริง เพราะถ้าหากเหรียญสิบบาทในปีพ.ศ. 2533 มีการผลิตในจำนวนมาก แต่ทำไม กลับแทบไม่มีใครได้พบเหรียญสิบบาทที่ผลิตจากในปีดังกล่าวเลย
ทั้งนี้ เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ราคาสิบบาท ออกใช้เป็นเงินหมุนเวียนครั้งแรกในปีพ.ศ. 2531 โดยผลิตเป็นเหรียญกษาปณ์โลหะสองสีแทนการใช้ธนบัตรราคาสิบบาท ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ด้านหน้าของเหรียญเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ส่วนด้านหลังเป็นภาพของ พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม มี พ.ศ. ที่ผลิตอยู่บนด้านพระปรางค์
อย่างไรก็ตาม ทีมงานได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังร้านร้านปาหนัน จิวเวลรี่ เพื่อสอบถามว่า ณ ขณะนี้มีเจ้าของเหรียญสิบบาทล้ำค่าติดต่อมาหรือยัง แต่ก็พบว่า ไม่สามารถติดต่อได้
โปรดระวัง!! ตกเป็นเหยื่อ
นอกจากปลุกกระแสคนสะสมเหรียญรวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจจะหาเหรียญสิบในตำนาน สิ่งหนึ่งที่แฝงเข้ามาในปรากฏการณ์ตามล่าหาเหรียญครั้งนี้ก็คือมิจฉาชีพ ซึ่งมาทั้งสองรูปแบบคือ การติดต่อไปยังเจ้าของร้านว่าตนเองมีเหรียญ แต่อาจจะมีทั้งโกหก ใช้รูปภาพจากอินเทอร์เน็ตมาแอบอ้าง ตกแต่งภาพด้วยโปรแกรมแต่งรูป รวมไปถึงการทำเหรียญปลอมโดยนำเหรียญที่ผลิตปี 2537 มาขูดหางเลข 7(๗) ตบตาให้เป็นเลข 3 (๓) ส่วนนี้ไม่น่าเป็นกังวลเพราะเจ้าของร้านก็จะขอตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน
แต่ประชาชนบางส่วนอาจถูกหลอกในรูปแบบนายหน้า โดยทางร้านปาหนัน จิวเวลรี่ ก็ยังต้องกล่าวเตือนประชาชนเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ ด้วยความโลภบังตา “(เตือนนะครับ) กระแสเรื่องเหรียญสิบบาท ปี2533 มาแรงมากจึงมีมิจฉาชีพพยายามปลอมเหรียญขึ้นมาหลอกพวกท่าน (โดยเอาค่านายหน้า) โปรดจงใช้วิจารณญาณให้ดี เรื่องเหรียญสิบบาท ปีพ.ศ. 2533 นี้ไม่ใช่ของใหม่ครับมีการปลอมมานานแล้ว เพียงแต่พวกท่านอาจจะไม่รู้ว่ามีราคา เพราะไม่เคยเกิดกระแสนี้มาก่อน ว่ากันว่า 90% ในไทยเป็นของปลอมครับ”
ทั้งนี้ เคยมีการสรุปข้อแตกต่างของเหรียญสิบบาทที่ผลิตในปีพ.ศ. 2533 กับ 2537 โดย อรรณพ แก้วปทุมทิพย์ สถาปนิกผู้คร่ำหวอดในวงการสะสมเหรียญกษาปณ์ ดังนี้
“1. ตัวหนังสือระหว่างปี 2533 กับปี 2537 (ที่นิยมเอาไปตัดหางให้เป็นปี 2533) จะสังเกตเห็นได้ว่าตัวเลขเจ็ดถ้าไม่มีหางจะมีความผอมกว่าเลขสามของแท้เล็กน้อย และหัวของเลขเจ็ดจะมีความห่างไม่เท่ากับหัวของเลขสามซึ่งเป็นของแท้ครับ
2. ช่องไฟของเหรียญก็มีขนาดไม่เท่ากัน
3. คงเป็นเพราะการย่อเหรียญ ที่ทำให้ได้แม่ตราเหรียญปี 2537 มีขนาดใหญ่กว่าปี 2533 นิดหน่อย เวลาตีเสร็จเลยดูแล้วเหรียญคับเกือบชนขอบเหรียญ”
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นสีสันคึกคักของคนที่ชอบสะสมเหรียญให้มีเวลาได้หยิบจับออกมาดูบ้างว่าเหรียญในคลังของตัวเองนั้นมีมูลค่ามากขนาดไหน และที่สำคัญตอนนี้ชื่อของ “ร้านปาหนัน จิวเวลรี่” ก็กำลังเป็นที่รู้จักและดึงพื้นที่สื่อได้ในระยะเวลาอันสั้น เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของจริง!!
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754