เรื่องพลอย เฌอมาลย์ เหวี่ยงสื่อ ทำให้นักข่าวฉะแหลกว่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นักข่าวทนไม่ไหว บอกทำตัวเหมือนคนไม่มีการศึกษา! ชี้กรณีพลอยจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างดารากับนักข่าว แนะให้นักข่าวบันเทิงเน้นทำข่าวสร้างสรรค์และทำกิจกรรมเพื่อสังคม ลบข้อครหาข่าวไร้สาระ ในขณะที่สำนักข่าวคู่กรณีบอกพลอยไม่เคารพหน้าที่ของนักข่าว!
นักข่าวบันเทิงสอนมวยพลอย
นับว่ามีเรื่องฉาวไม่หยุดจริงๆสำหรับ “พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” ที่ล่าสุดกลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีก เมื่อโดนนักข่าวถามเรื่อง โพสต์ภาพนิ้วกลางจิ้มเค้กว่าหมายถึง “อุ๊ สกุลไทย” หรือเปล่า ทำเอาเจ้าตัวฉุนปรี๊ดบอกว่าเอาแหล่งข่าวมาจากไหน ฉะ “ข่าวมั่ว” พร้อมดึงแขนให้โชว์ตัวกลางวงสัมภาษณ์ จนกลายเป็นประแสวิพากษวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของพลอยที่ทำตัวเหวี่ยงใส่นักข่าว
หลังจากเกิดเรื่อง พลอย เฌอมาลย์ ยังได้แสดงความเห็นตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในขณะที่ผู้สื่อข่าวบันเทิงหลายสำนักต่างรวมใจกันโพสต์ภาพ "#support reporter " เพื่อเรียกร้องสิทธิหน้าที่ของสื่อมวลชน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในกรณีของพลอยที่วิวาทนักข่าวครั้งนี้ ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับการทำงานของนักข่าว เช่น บางความคิดเห็นใน www.manager.co.th ที่ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่า
-เรียกตัวเองว่า นักข่าวบันเทิง แต่เรื่องที่ถามน่ะ มันเผือกเรื่องชาวบ้านชัดๆ
-นักข่าวก็อย่าเสี้ยมบางคำถามก็ไม่น่าจะถามแต่ก็เหมือนจี้เกินไปจนอยากรู้ แคะ แกะ เกา สะกิด จี้จนเหมือนดูเสรือกเกินไปก็มี โดยเฉพาะการจี้เพื่อให้รู้สึกอยากให้เกาเหลากันซะให้ได้กับคู่กรณีอีกฝ่าย
-งานนี้จะว่าพลอยฝ่ายเดียวไม่ถูก เพราะว่าคำถามนักข่าวชี้นำ พาดพิงถึงบุคคลที่สาม ก่อนที่นักข่าวจะประเมินพลอย พวกนักข่าวเองก็อย่ามาใช้อำนาจสื่อที่มีโจมตีอีกฝ่ายเหอะ ชอบนักที่จะตั้งคำถามเสี้ยมให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะทำให้เป็นข่าวจะได้มีงาน สันดานพวกสื่อแบบนี้ดูแย่กว่า พวกดาราขี้วีนด้วยซ้ำ
ด้าน “เดชาธร รุ่งเรือง” คอลัมน์นิสต์สายข่าวบันเทิงที่คว่ำหวอดในวงการมานานได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ในเมื่อพลอยเป็นบุคคลสาธารณะ การที่โพสต์ภาพดังกล่าวและทำให้คนตั้งคำถามก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งพลอยก็ต้องกล้ารับ ไม่ใช่ไปเหวี่ยงใส่นักข่าว
“เวลาคุณโพสต์อะไรไป นักข่าวก็ต้องถามคุณอยู่แล้วว่านัยคืออะไร ทำไมต้องเป็นภาพแบบนี้ เพราะแฟนคลับหรือคนที่ชื่นชอบคุณจะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเจอคำถามแล้วกล้าตอบ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่บังเอิญภาพนั้นทำให้เกิดคำถามที่ไปกระทบคนหนึ่งพอดี แล้วพอนักข่าวเอ่ยชื่อคนนั้นขึ้นมา พลอยเลยอึ้ง พออึ้งก็ต้องถามกลับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วว่าเอาข่าวมาจากไหน แต่ประเด็นที่สองคือ ดันเป็นนักข่าวที่เขาไม่คุ้นหน้าด้วย เขาเลยต้องเรียกพี่ปลาบู่ ซึ่งเป็นผู้จัดการเขามาดูเพื่อหาพวกหรือต้องการให้ผู้จัดการรู้ว่าคนนี้คือใคร ทำไมถามจี้ใจดำเขา
“แล้วพอคนที่ถามเป็นนักข่าวใหม่ เขาก็รู้สึกไม่ใช่พวกเดียวกัน เลยมีลักษณะที่เรียกว่าเหวี่ยงในการกระทำคือ ดึงแขนให้นักข่าวออกมา แม้พลอยอาจจะปฏิเสธว่าไม่ได้เหวี่ยง แต่เขาไม่ควรไปโดนเนื้อต้องตัวนักข่าวอย่างนั้น ถ้าคุณไม่ชอบคำถาม ก็สามารถปฏิเสธ แต่การที่คุณไปดึงแขนน้อง ถึงแม้จะเป็นนักข่าวใหม่หรือเราไม่รู้จักก็ตาม การทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ควรโมโหขนาดนั้น เพราะคุณเป็นดารา พร้อมที่จะมาตอบคำถามนักข่าวอยู่แล้ว คุณจะต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเอง“
“การกระทำแบบนี้ ขออนุญาตใช้คำของอาจารย์ยิ่งศักดิ์ว่า “คนมีการศึกษาเขาไม่ทำกันหรอก” เพราะคำพูดที่พลอยว่า “ข่าวมั่ว” หรือ “มั่วหรือเปล่า” แม้อาจจะไม่ได้หยาบคายนัก แต่โดยมุมมองแล้ว มันคือการเสียดสี ถ้าไม่ชอบใจ ก็แค่บอกสิว่าโมโหยายข้างบ้าน เรื่องก็จบ ไม่มีใครว่าอะไรเลย แต่ต้องรู้ด้วยว่านักข่าวก็ทำการบ้านมาเหมือนกัน ไม่ใช่เชื่อคุณไปทั้งหมดว่าเป็นยายข้างบ้าน มันต้องมีประเด็น แล้วบังเอิญว่านักข่าวคงไปเอาคนถูกต้องมาเสียด้วย คิดว่าคงแทงใจดำพลอย เลยทำให้เขาแสดงท่าทางอย่างนั้นออกมา
“อยากให้มองอั้ม พัชราภาว่า ทำไมเขาเป็นที่รักของนักข่าว เพราะแม้บางครั้งเขาจะวีนหรือเหวี่ยงนิดหน่อย แต่เป็นการเหวี่ยงแบบน่ารัก เวลาเหวี่ยง เขาก็หันกลับมายิ้ม เพราะเขามีสติ พลอยต้องก้าวความเป็นตัวตนของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด อย่าไปฟุ่มเฟือยกับภาพหรือความคิดของเรามากมาย เพราะการที่เขาใช้ความคิดฟุ่มเฟือยและสะท้อนออกมาทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก มันจะมีผลออกมาทันที อย่างที่เห็นว่ามีดาราหลายคนตกม้าตาย เพราะภาพในมือถือนี่แหละ
“ถามว่ามีดาราคนอื่นเหมือนเขาอีกไหมที่มีตัวตนชัดเจน ก็มี เช่น ออย ธนา ,แอนดริว แต่ทุกคนที่เขาเจอนักข่าวก็ยังเก็บความรู้สึกตัวเองอยู่ คือ ไม่ตอบ แต่อาจเดินหนี ถามว่าพลอยเหวี่ยงไหม ก็เป็นเรื่องธรรมดาของดาราที่เป็นซูเปอร์สตาร์ แต่อยากให้พลอยกลับไปคิดว่าเจอคำถามแบบนี้ ทำไมเก็บความรู้สึกไม่ได้ “
นอกจากนั้นเดชาธรยังบอกว่ากรณีของพลอย จะทำให้เกิดการร่วมกลุ่มของกลุ่มนักข่าวและกลุ่มดาราที่เห็นด้วยกับพลอย ซึ่งจะกลายเป็นช่องว่างระหว่างดาราและนักข่าว รวมถึงอาจทำให้เกิดกระแสแอนตี้พลอยและดาราที่มีพฤติกรรมเหวี่ยงสื่อแบบนี้ด้วย
“เรื่องของพลอยจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่นักข่าวรู้สึกทนไม่ไหว แล้วบังเอิญพลอยเป็นตัวแม่ด้วย เลยทำให้เกิดแรงต้านขึ้นมา ก่อนหน้านั้น พีท ทองเจือ ก็เคยถูกสมาคมนักข่าวบันเทิงแบน ดังนั้นเรื่องนี้จึงจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายอีก แต่คิดว่าอาจจะไม่ได้ผลในระยะยาวมากนัก เพราะพอจบเรื่องพลอย ทุกคนก็อาจลืมเรื่องนี้ล่ะ สิ่งที่ควรกลับไปมองคือ ทางช่อง3 จะคิดยังไง ทางช่องอาจจะคิดว่าธรรมดา คนอื่นแรงกว่าพลอยอีก แต่จริงๆ แล้วต้องเข้าใจว่าพฤติกรรมของพลอยเป็นการดูถูกอาชีพอาชีพนักข่าว ซึ่งเขาไม่ควรทำ” เดชาธรกล่าว
ส่วนประเด็นที่มีกระแสอีกด้านเข้าข้างพลอยและโจมตีนักข่าวบันเทิงว่าไร้สาระหรือทำตัวไม่ถูกนั้น เดชาธรแสดงความเห็นว่า
“ถามว่าคนที่ว่าเราไร้สาระอย่างนี้ เขาไม่อยากรู้เหรอว่านี่คืออะไร คนอยากรู้ว่าวันเกิดใคร ทำไมชี้นิ้วอย่างนั้น เราหาคำตอบให้สังคม แล้วถ้าสังคมมาบอกว่านี่เป็นคำตอบโง่ๆ สังคมก็ต้องไม่มาเอาคำตอบจากนี้หรอก คุณก็ต้องไปหาคำตอบของคุณเอง
“อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำคือการทำหน้าที่ ปัญหาคือเกิดจากพลอยไปโพสต์ภาพและสร้างประเด็นขึ้นมา ถ้าไม่มีนักข่าวบันเทิงไปถามเลย จะปล่อยให้แฟนคลับรู้กันเองเหรอ ซึ่งมันก็ไม่ชอบธรรม เขาโพสต์เพื่ออยากให้นักข่าวไปถามอยู่แล้ว มันเป็นกับดักหลอกล่อให้เราถาม บางคนอาจจะมองว่านักข่าวอย่าไปรั้งขี้ให้มันเหม็น ถามว่าถ้าเราไม่ไปรั้งขี้ คุณจะรู้ไหมว่าขี้สดหรือขี้แห้ง แล้ววันหนึ่งคุณไปเหยีบบขี้แห้งก็โชคดีไป แต่ถ้าคุณเหยียบขี้สด เท้าคุณก็เหม็น เราอุตส่าห์ไปทำให้เห็นว่ามันยังมีกลิ่นอยู่ ยังเป็นก้อนขี้อยู่ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เท้าคุณเหม็น ก็อย่าไปว่านักข่าวล่ะกัน”
สำนักข่าวคู่กรณีฉะพลอย
ด้าน “มยุรี วนะสุขสถิตย์” ผู้สื่อข่าวบันเทิงเดลินิวส์ ซึ่งเป็นนักข่าวรุ่นพี่ของนักข่าวที่มีเรื่องกับพลอย เฌอมาลย์ครั้งนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ว่า
“ สิ่งที่พลอยทำ เรามองว่าไม่เคารพในหน้าที่ซึ่งกันและกัน เขาเริ่มจากดึงแขนนักข่าวเพื่อให้โชว์แหล่งข่าว ความจริงนักข่าวก็ถามในกรอบของประเด็นที่เกิดขึ้นมา แต่ถ้าเขาไม่สะดวกตอบ หรือว่ามันไม่ใช่ เขาก็บอกมาเลยได้สิว่าไม่ใช่ ไม่เกี่ยว ไม่ต้องมาเค้นถามหาแหล่งข่าว การถามหาแหล่งข่าวมันเหมือนกับถามว่าสายลับตำรวจคือใคร เราต่างคนต่างทำหน้าที่ในบทบาทของตัวเอง ความจริงเราไม่ได้อยากยุ่งกับเขาเลย แต่มันมีประเด็นขึ้นมา เราในฐานะนักข่าวก็ต้องสอบถามข้อเท็จจริงจากเรื่องนั้น ไม่ได้ถามเพื่อให้คนตีกันอย่างที่เขาบอก
“เรื่องที่เกิดขึ้น คนที่มองภายนอกอาจจะไม่รู้ แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือคนที่ทำงานกับเขา คนที่อยู่หน้างาน คนที่สัมผัสกับเขา ณ ตอนนั้น เพราะอารมณ์การเห็นผ่านคลิปกับอารมณ์ที่โดนจริงตรงหน้ามันต่างกัน คนมองคลิปอาจจะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเลย แต่กับคนที่มันโดนจังๆ หน้า ก็คงไม่โอเคด้วย คิดว่าคำถามที่ถามไป พลอยอาจจะคิดมากก็ได้ก็เลยท้วงกลับมา แต่มองกลับกัน การที่พลอยถามหาแหล่งข่าวอย่างนั้น นักข่าวก็คิดมากเหมือนกัน คือ เราทำหน้าที่กันคนละบทบาท คนละหน้าที่ ถ้าพลอยตอบคำถามในขอบเขตที่พลอยตอบได้ เราก็ไม่ได้ไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเขา เรากำลังทำงานอยู่บนประเด็นที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การเต้าประเด็นขึ้นมาแล้วไปถามเขา
ส่วนคำถามที่ว่าเป็นไปได้ไหมที่นักข่าวจะแบนพลอย มยุรีตอบว่า
“พูดตรงๆ เราก็ไม่ได้มีพาวเวอร์หรือเป็นมาเฟียที่จะไปแบนเขาได้ แต่ถามในมุมกลับกันว่าเรายังอยากทำข่าวเขาต่อไปไหม เราคงพูดตรงๆ ไม่ได้ว่าจะแบนพลอย แต่อยากให้มองเป็นประเด็นๆ ไป คงต้องดูว่าเรื่องของเธอน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมาพวกเราหยุดแล้ว แต่เขาก็ยังมีประเด็นโพสต์อะไรขึ้นมาอีก นั่นเรียกว่าเขาหยุดหรือเปล่า คือ เขาอาจจะมีการต่อต้านเราอยู่ข้างใน ในเมื่อในใจเขายังต่อต้านเรา ลึกๆพวกเราก็คงไม่มีใครอยากทำข่าวเขาหรอก แต่ในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่ ถ้ามีประเด็นเกิดขึ้น เราก็ต้องทำไปตามหน้าที่”
ในขณะที่ “พัชรินทร์ จิตราบุณยสร” บรรณาธิการข่าวบันเทิงเดลินิวส์ ซึ่งเป็นต้นสังกัดเดียวกับนักข่าวที่เป็นคู่กรณีของพลอย กลับแสดงความเห็นต่างออกไปว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเป็นฝ่ายผิดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือนักข่าว
“พี่อาจจะมองตรงข้ามกับทีม คือ ไม่ได้มองว่านักข่าวผิด และไม่ได้มองว่าพลอยผิด เพราะการทำข่าว เราต้องรู้อยู่แล้วว่าเราจะไปทำข่าวกับศิลปินคนไหน นักข่าวต้องรู้แบล็กกราวนด์ว่าคนนี้แรงไหม คนนี้นิสัยอย่างไร ต่อให้ดาราคนนั้นไม่ได้แรง แต่การพูดชื่อออกไปเลย หมายถึงชื่อคนที่เขาด่า โดยมีไมค์วางอยู่ 20 กว่าอันตรงนั้นก็ไม่ถูกแล้ว แต่ถ้าแอบถามหรือถามโดยไม่มีไมค์เยอะๆ ก็โอเค เพราะการสัมภาษณ์คนเป็นศิลปะและเซนซิทีฟมาก” พัชรินทร์กล่าว
ยุคไม่แคร์สื่อ?
เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังเกิดกรณีพลอยเหวี่ยงสื่อขึ้นมา “พจน์ อานนท์” ผู้กำกับชื่อดังได้คอมเม้นท์ให้กำลังใจพลอยผ่านไอจีของ “แพง ขวัญข้าว” ที่มีภาพถ่ายคู่กับพลอยว่า
“บอกพลอยอย่าได้แคร์ เดี๋ยวนี้สื่ออยู่มือเรา โซเชียลโปรโมตเข้าไปทั้ง IG เฟชบุ๊ก ทวิตเตอร์ เยอะแยะ โลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”
หลังจากนั้นได้มีนักข่าวไปเม้นท์ตัดพ้อข้อความของผู้กำกับคนดังกล่าว ทำให้พจน อานนท์ ต้องแคปหน้าจอที่นักข่าวคนดังกล่าวเขียนเอามาลงในเฟซบุ๊คพร้อมข้อความว่า
“พี่ยังสงสัยว่าพี่ด่านักข่าวตรงไหนก็แค่ให้กำลังใจพลอย อ๋อจริงโลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วนี่เอง อย่าลงมั่วสิพี่ๆนักข่าวบอกหน่อยสิว่าพี่ด่าตรงไหน” นอกจากนั้นพจน์ อานนท์ ยังได้โพสต์ข้อความในในเฟซบุ๊กเพิ่มเติมอีกว่า
“ถามว่ากลัวถูก RIP มั้ย ตอบเลยว่าไม่ เพราะทุกวันข่าวของพี่ที่ออกมาส่วนใหญ่เขาจะจัดให้ไปในทางตีกับคนโน่นคนนี้อยู่แล้ว ช่วงนี้ปรับปรุงตัวดีๆทำตัวตลกน่ารักๆ เลยไม่ค่อยเป็นข่าว เห็นมั้ยเงียบเป็นเป่าสากเลยทีเดียว อย่าโกรธพี่เลยเพราะพี่ก็เคยเป็นนักข่าวมาก่อนตั้งพ.ศ.2530 และทุกวันนี้ก็ยังเป็น พวกเราต้องเสนอข่าวที่มันถูกต้องและเป็นจริงไม่ใช่เหรอ อย่าไปมัวแต่ไป RIPคนนั้นคนนี้เลย เสียเวลาทำข่าว ยังไงดาราเขาก็คนย่อมมีรักโลภโกรธหลงเหมือนกันทุกคน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า”
ประเด็นนี้ “เดชาธร รุ่งเรือง” คอลัมน์นิสต์คนเดิมได้แสดงความเห็นว่า
“ตอนนี้มีผู้กำกับบอกว่าอย่าไปแคร์สื่อ เพราะตอนนี้สื่ออยู่ในมือเรา กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือกันหมด แต่กลายเป็นว่าไม่ได้แชร์อะไรกับสังคมเลย เพราะดาราศิลปินก็อาจคิดว่าเขาก็มีสื่อในมือ เลยอาจจะไม่ได้แคร์นักข่าวแล้วก็ได้
“ส่วนนักข่าวก็ต้องกลับมาคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้จะสามารถรักษาศักดิ์ศรีอย่างไรได้บ้าง เพราะตอนนี้เราไม่มีสมาคมหรือกลุ่มให้เรารวมตัวเหมือนในอดีต ดังนั้นเราต้องกลับไปมองว่าเราควรต้องรวบรวมกลุ่มให้แน่นแฟ้น เพื่อทำกิจกรรมอะไรให้สังคมบ้าง ไม่ใช่ใช้พระเดชอย่างเดียว แต่ต้องมีพระคุณบ้าง ดาราคนไหนที่ดีๆ เราก็เชิดชูเขา คนไหนไม่ดี เราก็ต้องสอน
"แล้วเราจะต้องทำข่าวให้มีคุณภาพมากกว่านี้ เช่น เรื่องข่าวภาษีของพลอย ก็แสดงให้เห็นว่านักข่าวบันเทิงไม่ได้ทำแต่เรื่องใต้สะดือ แต่เรายังจรรโลงผลประโยชน์ให้แก่สังคมด้วย
“ที่ผ่านมาในวงการสิ่งพิมพ์ คนจะมองข่าวบันเทิงว่าเป็นข่าวอยู่สุดท้าย ไม่อยากให้ใช้คำว่าไร้สาระ เพราะข่าวบันเทิงคือศิลปะ มันคือการเสพศิลปะและการจรรโลงวัฒนธรรม ข่าวเราจึงไม่ได้ไร้สาระ และเราไม่ได้เขียนเรื่องที่เลวร้ายมากนัก เวลานี้กาลเวลาเปลี่ยนไป นิยามก็เปลี่ยนไป ทำให้เราต้องไปเล่นเรื่องปัจเจกบุคคลมากกว่า แต่ก็ต้องบอกด้วยว่าเราไม่ได้ไล่ไปจิกเขา ซึ่งกลับไปเรื่องเดิมคือ ถ้าดาราไม่สร้างประเด็นขึ้นมาก่อน นักข่าวจะไปถามทำไม”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754