xs
xsm
sm
md
lg

“ก๊อบฯ ไม่ผิด แต่ต้องรู้จักบิดให้เป็น” พีท-พีระ สอนน้อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้จะตั้งโต๊ะปัดข่าวเรื่อง “ก๊อบปี้” เพลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ซิงเกิล “ชีวิตยังคงสวยงาม” ของบอดี้สแลมก็ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูระหว่างคำว่า “แรงบันดาลใจ” กับ “ตั้งใจก๊อบฯ ”
เมื่อ “พีท-พีระ เทศวิศาล” เจ้าพ่อเพลงรัก-นักแต่งเพลงเศร้า นำซิงเกิลใหม่มาให้ลองฟัง เรื่องการก๊อบปี้จึงถูกหยิบขึ้นมาพูดคุยกันอีกครั้ง และบรรทัดต่อจากนี้คือคำบอกเล่าผ่านสายตารุ่นพี่ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มากว่า 13 ปี เคยถูกครหามาแล้วเหมือนกันว่า เพลงที่แต่งไปก๊อบฯ เพลงจีน!





ไม่ได้ตั้งใจก๊อบฯ แต่เหมือนโดยบังเอิญ
เท่าที่อยู่วงการนี้มา จะรู้ครับว่าเขาจะชอบเอา Reference เพลงจากของต่างประเทศมาเทียบ แล้วก็มาบิดโน้ตนิดๆ หน่อยๆ ให้ไม่เหมือนเดิม แต่ตรงนี้ก็แล้วแต่แต่ละทีมครับ บางคนอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะก๊อบปี้ แต่อาจจะชอบเพลงของวงๆ นั้น ก็เลยได้รับอิทธิพลมา พอแต่งออกมาแล้วเลยคล้ายกันก็เป็นไปได้ หรือบางคนอาจจะไม่เคยฟังเพลงของอีกฝั่งเลย แต่พอแต่งออกมาแล้วบังเอิญไปเหมือนกับอีกเพลงนึง มันก็มี เพลงมันมีอยู่ 7 โน้ต มีโอกาสซ้ำได้อยู่แล้วครับ ไม่แปลก

อย่างของบอดี้สแลม ผมฟังแล้ว ที่เขาบอกว่าเหมือนเพลง “City of Angels” ของ Thirty seconds to mars ผมก็ว่ามันก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้นนะ ไม่ได้หนักอย่างเสียงวิจารณ์สักเท่าไหร่ แต่ตัว MV อาจจะดูคล้ายกันบ้าง ก็อาจจะเป็นเพราะเขาชอบแบบนั้น แต่ที่โดนวิจารณ์หนัก อาจเพราะว่า Reference MV ของเขาเป๊ะมากเลย ยิ่งตรงที่ถ่ายภาพซิลลูเอท (Silhouette) ตรงนั้นยิ่งเหมือนเลย ผมว่าต้องไปถามทีมงานมากกว่าบอดี้สแลมหรือเปล่า เพราะมันเป็นเรื่องของภาพ-โปรดักชัน ส่วนเรื่องเพลง มันเป็นไปได้ที่จะคล้ายกัน




ยกตัวอย่างเพลง “เธอไม่เคยตาย” ของพี่ต๋อง ที่ร้องว่า “เธอไม่เคยจะตายจากไปในใจฉันยังมีเธอ...” (ร้องให้ฟัง) คนก็วิจารณ์กันว่าไปเหมือนเพลงญี่ปุ่นอีกเพลงนึงของ X-Japan (ชื่อเพลง Say Anything)



หรืออย่างตัวผมเองก็เคยโดนเหมือนกันครับ (ยิ้มบางๆ) เพลง “เรื่องบนเตียง” ดนตรีเหมือนเพลงจีนเลย ไปฟังเมโลดีของเขาแล้ว เมโลดีเป๊ะเลย เป็นเพลงจีนโบราณๆ ที่เมโลดีเราไปเหมือนทั้งๆ ที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมถึงได้บอกว่าเมโลดีมันมีโอกาสที่เราจะไปซ้ำกับของคนอื่นโดยไม่ตั้งใจก็ได้เหมือนกันครับ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็ทำอะไรไม่ได้ที่บังเอิญไปเหมือน

ถามว่ามันจำเป็นต้องมี Reference มั้ย? อันนี้ผมก็คิดเหมือนกันว่าทำไมต้องมี แต่ที่เห็นศิลปินคนอื่นที่ทำเพลงส่วนใหญ่ก็ต้องมีนะ แต่เพลงผมเอง ผมไม่มี Reference มันอาจจะเป็นความโชคดีบนความโชคร้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะพอไม่มี มันก็ทำให้เพลงของผมมีกลิ่นแบบเดิมๆ แต่ศิลปินคนอื่นก็อาจจะต้องใช้ Reference เพื่อให้มันแปลกใหม่ แล้วเอามาบิด ให้คนไม่รู้ว่าเอามาจากไหน แต่ด้วยกฎของดนตรีแล้ว ถ้าบิดไปหนึ่งตัวโน้ต มันก็ไม่ผิดแล้วนะผมว่า เรื่องแบบนี้พูดยากครับ บางคนอาจจะตั้งใจเลียนแบบแต่ไม่โดนว่า แต่บางคนอาจจะไม่ตั้งใจแต่โดนว่าก็มี มันแล้วแต่มุมมองของคนด้วย

ผมก็เห็นน้องๆ หลายๆ คนที่ไม่ได้ไปก๊อบฯ ใครก็มี ที่คิดสร้างสรรค์ของตัวเอง แล้วก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องมี Promoter คิดให้ ทางนั้นก็เลยต้องหา Reference เพราะเขาไม่ได้คุยกับน้องกลุ่มนี้ ไม่รู้จัก เวลาเริ่มต้นทำงาน มาเจอกันในบริษัทก็อยากให้น้องประสบความสำเร็จ เลยไปเอา Reference หยิบมา มันแล้วแต่การทำงานของแต่ละค่ายด้วยครับ มันไม่เหมือนกัน

ถ้าเป็นค่าย Bakery Music เขามีแนวทางการทำงานชัดเจนว่า จะต้องเลือกคนที่มีของอยู่แล้วมาทำ ถึงจะทำต่อ ไม่ใช่หยิบมาปั้น คือแต่ละที่มันไม่เหมือนกันน่ะครับ หรือกับศิลปินบางคนที่มีแนวของตัวเองชัดอยู่แล้ว บางทีก็อาจจะต้องใช้ Reference ของต่างชาติมา เวลาต้องการเปลี่ยนแนวตัวเอง ก็มีเหมือนกัน




“ตัวก๊อบฯ ” ไม่น่าเกลียด แต่น่าอาย...
ผมว่าศิลปินทุกคนมีแรงบันดาลใจ มีความเชื่อในตัวเอง มีแรงสร้างสรรค์ในตัวเองอยู่แล้ว ผมว่ามันไม่ผิดนะครับ ถ้าทำออกมาแล้วไม่ได้ตั้งใจแต่มันไปซ้ำกับคนอื่น อย่างน้อยมันก็เป็นตัวเรา แต่ถ้าเราไปเอากลิ่นของคนอื่นเขามาจริงๆ มันก็ไม่ผิดอีกนั่นแหละครับ เพียงแต่เราต้องถามตัวเองว่ามันใช่ตัวเราหรือเปล่า

ผมยกตัวอย่างตัวผมเอง ศิลปินต่างประเทศที่เป็นแรงบันดาลใจของผมคือ “Axl Rose” ร็อกจ๋ามากเลย แล้วดูเพลงผมดิ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร็อกเลย (ยิ้ม) แต่ก็ชอบไงครับ ก็แค่ชอบ ชอบเมโลดี ชอบการร้องแบบสั่นลูกคอของเขา แล้วเราก็หยิบตรงนั้นมานิดเดียว หยิบแค่หางลูกคอของเขามาใส่ของตัวเอง แค่นั้นแหละ ไม่มีใครรู้แล้วมันก็ยังคงความเป็นตัวเราอยู่ คือคนเรามันต้องมีไอดอลน่ะครับ และเราต้องรู้ว่าเราชอบอะไรและเป็นอะไร ถนัดยังไง

วิธีหนีเมโลดีเดิมตอนเขียน ถ้าไม่อยากให้ซ้ำกับเพลงที่เคยได้ยินหรือของต่างประเทศ ผมแนะนำให้ลองเขียนไปก่อนครับ อย่าเพิ่งกลัวว่ามันจะไปซ้ำ ถ้าเขียนแล้วมันซ้ำ ใส่ไปก่อน เดี๋ยวพอตอนเรียบเรียง เราสามารถบิดได้ พลิกโน้ตเอา อาจจะเริ่มจากเขียนเนื้อเพลงก่อน ถ้าเขียนเนื้อไม่ออกก็ลองทำเมโลดีก่อนก็ได้ กดเปียโนไปเรื่อยๆ ก็ได้ เพราะเปียโนจะหาเมโลดีได้ง่ายกว่ากีตาร์ พอเราได้โครง ได้เมโลดีแล้วก็มาเขียนเนื้อ ตีคอร์ดกีตาร์ตัวเดียว เดี๋ยวทุกอย่างก็ไหลไปเอง เพราะมันไม่ต้องใช้ Reference ไงครับ มันก็วิ่งออกมาได้เรื่อยๆ

ยกเว้นทำงานให้ลูกค้า ถ้าผมเปิดบริษัท มีลูกค้ามาจ้างให้แต่งเพลงให้หน่อย เพลงประจำองค์กรอยากได้อย่างนี้ๆ นะ อันนี้ต้องใช้ Reference ละ เพราะต้องถามลูกค้าว่าพี่อยากได้ยังไง เขาก็จะบอกว่าเอามาให้ดูหน่อย เป็นการทำงานตามโจทย์ ส่วนถ้าเป็นเพลงของศิลปินที่ตั้งใจจะก๊อบฯ ผลงานของคนอื่นมาจริงๆ ถามว่ามันไม่น่าเกลียดมั้ย มันไม่น่าเกลียดหรอกครับ แต่มันน่าอาย เพราะตัวเขายังไม่อายเลยที่จะก๊อบฯ

อย่างซิงเกิลล่าสุดของผม เพลง “คำสั่งจากหัวใจ” ผมพูดได้เลยว่าเพลงของผมไม่มี Reference แต่งขึ้นมาจากแรงบันดาลใจว่าอยากได้เพลงที่มีจังหวะเอาไว้เล่นสดสักเพลง (ยิ้ม) เพราะปกติผมจะมีแต่เพลงช้ากลัวคนดูเศร้าตาย (หัวเราะเบาๆ) พอจะเล่นเพลงเร็วก็ต้องยืมของคนอื่นมาเล่น เลยคิดว่าต่อไปเราจะได้มีเพลงเร็วของตัวเองมาเล่นบ้างละ แต่เพลงเร็วของผมก็จะไม่ใช่ดนตรีตูมตาม ไม่ใช่เพลงเร็วแบบดุเดือด คงออกแนวสวยงามนิดนึง เป็นเพลงเร็วแบบที่ไม่บู๊มาก



ผมอยากทำออกมาให้มันอยู่ในประเภท “เพลงเพราะ” น่ะครับ เพราะถ้าเพลงมันเพราะ ยังไงคนก็ฟัง คำว่า “เพราะ” ของผมคือ เมโลดีสวย ฟังแล้วไม่หนวกหู และมีเนื้อหากินใจ มันก็เลยทำให้ตลอด 10 กว่าปีที่ทำเพลงมา ส่วนใหญ่เพลงของผมจะเป็นเพลงช้า อาจจะฟังดูนุ่ม แต่เวลาเล่นสด ผมจะมีกลิ่นร็อกเล็กๆ เป็นเหมือนบัลลาร์ดร็อก จะให้อารมณ์แน่นและดูแข็งแรงขึ้นมาหน่อย ถ้าคนที่ได้ดูผมเล่นสดจะรู้ว่าเป็นอีกแบบนึง




ศิลปินสมัยใหม่ อยู่รอดด้วยซิงเกิลและขายโชว์
ครั้งนี้ ถือเป็นการปล่อยซิงเกิลที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับวงการเพลงอยู่เหมือนกันครับ เพราะเราใช้วิธีทำหนังสั้นออกมาโปรโมตไปพร้อมกัน ใช้ชื่อเดียวกับเพลงเลย ชื่อหนังว่า “The Order คำสั่งจากหัวใจ” เป็นหนังสั้นที่ให้ดูกันได้ฟรีๆ ความยาว 45 นาที

จริงๆ แล้ว ถ้าให้พูดเรื่องสตางค์ มันไม่คุ้มหรอกครับที่จะโปรโมตวิธีนี้ แต่แนวคิดของทางบริษัทคืออยากจะให้ทุกคนรู้สึกว่าคุณคลิกเข้ามาดูทาง Mono Music จะได้จำภาพได้ว่าเราเป็นหน่วยที่ผลิตทางด้านคุณภาพ ทำดีนะ ไม่ได้กะเรกะราดทำ คลิกเข้ามาดู เสียเวลา 45 นาที แต่ว่าได้ดูหนังเรื่องนึงเลย ผมว่าคุ้ม และในอนาคตก็จะยิ่งคุ้มถ้าคนจำภาพนี้ได้

ตรงนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างนึงของผู้กำกับด้วยครับในยุคที่คนอาจจะไม่ชอบดูอะไรยาวๆ เพราะถ้าเกิดคุณทำให้คนดูจนจบ 45 นาทีไม่ได้ คนดูแค่ 15 นาทีแล้วปิด ก็แปลว่าคุณทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าคุณทำให้เขาดูจนจบได้ แสดงว่าคุณทำได้สำเร็จ ยิ่งถ้ามีคอมเมนต์ต่อ ไม่ว่าจะบวกหรือลบ นั่นแหละยิ่งสำเร็จ ผมว่าวิธีการปล่อยซิงเกิลผ่านหนังสั้นแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นตัวแถมที่แข็งแรงนะ ทำหนังด้วย ทำเพลงด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

สมัยนี้ ส่วนใหญ่นักร้องออกมาเป็นซิงเกิลหมดแล้วครับ แค่ให้ขายได้สัก 3,000-5,000 แผ่นก็หรูแล้ว ถ้าเทียบกับสมัยก่อน ออกมาทีนึง มีคนซื้อกันเป็นล้าน การขายเพลงผ่าน Digital Download ตอนนี้ก็โอเคแล้ว เริ่มมีคนโหลดกันจริงๆ ถ้าเพลงมันดัง ก็มีโอกาสที่คุณจะได้เงิน แต่อาจจะไม่ได้มากเท่ากับสมัยที่ยังเป็น Analog แต่มันก็พอจะได้ แต่ถ้าจะให้อยู่รอดจากยอดดาวน์โหลดอย่างเดียวคงยากครับ ศิลปินต้องอยู่ที่การขายโชว์ด้วย แล้วก็เรื่องโซเชียลมีเดียก็น่าจะช่วยด้วย ทำให้มีเรื่องของสปอนเซอร์เข้ามา

ถ้าให้พูดถึงวงการเพลงทุกวันนี้เทียบกับสมัยก่อน ผมว่าดีครับ เดี๋ยวนี้โอกาสมีมากขึ้น ทุกคนสามารถเป็นนักร้องได้ ทั้งนักร้องประกวด นักร้องรายการทีวี นักร้อง Youtube เพราะสมัยผมไม่มีอินเทอร์เน็ตให้แบบนี้นะ อยากเป็นนักร้องก็ต้องส่งเดโมเข้าแกรมมี่ ส่งไปหาค่ายเพลงต่างๆ ซึ่งยากมาก (ลากเสียง) โดนทิ้งแล้วทิ้งอีก ส่งไปปีกว่าก็ยังไม่ได้ จนมี Producer มาเจอผมกับบอย (วง Peace Maker) เล่นที่ผับ

ปัจจุบันนี้ง่ายกว่าเยอะมาก แต่บนความง่ายมันก็มีความยาก สมัยก่อน ถ้าคุณเป็นนักร้อง คุณก็มีสิทธิดังได้ง่ายกว่าสมัยนี้ เพราะสมัยนี้มีเยอะไงครับ ถ้าเป็นสมัยก่อน เข้ายาก-เป็นนักร้องยาก-แต่มีโอกาสดังได้ แต่สมัยนี้ เข้าง่าย-เป็นนักร้องง่าย-แต่มีโอกาสดังยาก มันตรงข้ามกัน แต่ถ้าดังแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ดีๆ ครับ ถึงจะอยู่ได้นาน คงตัวตนของเราเอาไว้

สำหรับการเป็นศิลปินในวงการเพลง สำหรับผม อันดับแรกคือต้องมี “จิตวิญญาณ” อันดับสองคือ “ตัวตน” ถ้ามี 2 อย่างนี้ เราก็ไม่เปลี่ยนไปตามกระแสแล้วล่ะ เมื่อไหร่ที่เรามีตัวตน ก็คือเรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ เราชอบอะไร เราเป็นใคร และทำไปทำไม มันจะเตือนสติตัวเราเองตลอด

มันก็เหมือนถ้าจะให้ผมไปทำร็อก มันก็ไม่ใช่ละ เราก็ไม่เอา นี่คือจุดที่ต้องแยกมาจาก Peace Maker ตอนนั้นเพราะว่ามันกำลังจะวิ่งไปทางร็อกละ มันไม่ใช่ตัวเรา เราเลยเลือกที่จะถอยออกมาดีกว่า


ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ข้อมูลเพิ่มเติม: แฟนเพจ Mono Music



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
วิพากษ์เพลงใหม่ “บอดี้สแลม” คล้าย THIRTY SECONDS TO MARS สุดๆ



กำลังโหลดความคิดเห็น