ไม่ได้หายไปไหน สำหรับอดีตนางเอกหน้าหวานตลอดกาล 'ติ๊ก-กัญญารัตน์ จิรรัชชกิจ' จากเบื้องหน้าค่อยๆ ขยับตัวมาเป็น 'ผู้สร้างหนัง' แม้จะเป็นหนังฟอร์มเล็กเรื่องแรก แต่ 'ตั้งวง' กลับสร้างความฮือฮาในวงการหนัง เพราะเป็นภาพยนตร์ม้ามืดมาแรงที่สอยรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาแล้ว 6 เวที ไม่นับรวมรางวัลย่อยๆ อีกหลายรางวัล
ล่าสุดกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ในงาน 'สยามดารา สตาร์ อวอร์ดส์ 2014' รวมเป็น 7 เวที 7 รางวัล ทำให้ชื่อของ 'ติ๊ก-กัญญารัตน์' ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สร้างหนังที่น่าจับตาไม่น้อย M-Cover สัปดาห์นี้ จึงไม่พลาดที่จะคว้าตัวเธอมานั่งพูดคุยให้หายคิดถึง ทั้งบทบาทใหม่ รวมไปถึงล้วงลึกแง่มุมชีวิตในแบบเอ็กซ์คลูซีฟทั้งชีวิตส่วนตัว และมุมมองความรัก
เธอ "ผู้สร้างหนัง" 7 รางวัลการันตี
เวลาบ่ายแก่ๆ ทีมงานมีนัดกับ ติ๊ก-กัญญารัตน์ ที่บริษัท นอร์ธ สตาร์ โปรดักชั่น ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรายการ 'เซย์ ไฮ' ที่ออกอากาศทางช่อง 3 รายการท่องเที่ยวในแบบของ "ติ๊ก" โดยทันทีที่พบกัน เธอเอ่ยคำทักทาย "สวัสดีค่ะ" ก่อนจะชวนทีมงาน และตากล้องเข้าไปนั่งคุยในโฮมออฟฟิศของเธอ
หลังจากนั่งตากแอร์เย็นๆ จนหายร้อน ทีมงานถือโอกาสเปิดประเด็นพูดคุยกับเธอถึงบทบาท 'ผู้สร้างหนัง' มากรางวัลอย่างเรื่อง 'ตั้งวง' (กำกับโดย คงเดช จาตุรันต์รัศมี) ซึ่งถือเป็นหนังไทยนอกกระแสที่ผงาด และกวาดรางวัลบนเวทีใหญ่ๆ มาหลายเวทีด้วยกัน อาทิ งานประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ ไนน์เอ็นเตอร์เทนอวอร์ด สยามดาราอวอร์ด 2014 เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังได้ไปโชว์ฝีมือมาแล้วถึง 2 ประเทศ ทั้งเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เบอร์ลิน ครั้งที่ 63 (Berlin International Film Festival) ที่ประเทศเยอรมนี โดยพิจารณาคัดเลือกให้เข้าฉาย และร่วมประกวดชิงรางวัลหมีแก้ว สาย Generation 14 plus และฮ่องกง ฟิล์ม เฟสติวัล
"อยู่ดีๆ ก็ได้เข้าชิง อย่างที่เขาบอกเป็นม้ามืด ตอนนั้นก็งงเหมือนกันค่ะ เพราะเราเป็นแค่หนังเล็กๆ เท่านั้น แต่พอประกาศว่าหนังตั้งวงได้รางวัล คือน้ำตาซึมเลยนะ ตอนก้าวเท้าลุกออกจากเก้าอี้เพื่อขึ้นไปรับรางวัล คิดใหญ่เลยว่าฉันจะต้องขอบคุณใครบ้าง มันคิดไม่ออก เคยเห็นแต่เขาขึ้นไปพูด พอเราต้องขึ้นไปพูดบ้าง มันตึงๆ จนมือไม้สั่นไปหมด หลายคนอาจมองว่า นี่แอ็กติ้งหรือเปล่า มันออกมาเองค่ะ" เธอเริ่มเล่า
สำหรับหนังเรื่องนี้ ติ๊กไม่คาดคิดว่า 'ตั้งวง' จะได้รับความสนใจมากขนาดนี้
"ไม่คิดเลยค่ะ เพราะว่าเข้าโรงฉาย หนังฟอร์มใหญ่ได้เวลาที่เจ๋งๆ ทั้งนั้นเลย ส่วนหนังเราหล่นไปอยู่ช่วงเวลาไหนก็ไม่รู้ ถามว่าท้อไหม ก็มีบ้างช่วงแรกๆ แต่ก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่า หน้าหนังเราเล็ก ผู้แสดงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ดึงดูดคนดูได้ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ภูมิใจก็คือ การได้ลงมือสร้างหนังจากทุนเล็กๆ จนหนังได้เข้าไปฉายในโรงใหญ่ๆ แถมก่อนหน้านี้ยังติดหนึ่งในพันเรื่องเข้าไปฉายที่กรุงเบอร์ลิน ถือว่า โอเคละ ซึ่งต่างชาติให้การตอบรับดีมาก เห็นได้จากการยืนขึ้นปรบมือให้กับหนังของเรา นั่นหมายความว่า เขาเข้าใจ และยอมรับความเป็นไทย" เธอเผย
ถามว่าทำไมถึงโฟกัสไปที่หนังนอกกระแสหรือหนังอินดี้ เธอบอกว่า อยากทำหนังที่ลงทุนน้อย แต่มีคุณภาพ
"อยากทำหนังที่ไม่ต้องลงทุนมากค่ะ ถ้าเป็นหนังแมส คือจริงๆ หนังแมสกับอินดี้วิธีการทำเหมือนกันนะ เพียงแต่ว่า ผู้เล่นจะต่างกัน ผู้เล่นหนังแมสจะเป็นดารา คนดัง ส่วนหนังอินดี้เป็นหนังมีความเป็นอาร์ตผสมกับตัวแสดงที่เป็นใครก็ไม่รู้ กลายเป็นหนังนอกกระแสที่ไม่มีดารามาร่วมเล่น แต่การทำงานทุกอย่างเหมือนกัน ดังนั้น ถ้ามีดารา คนดังในหนังของเรา เราไม่มีเงินจ้างหรอกค่ะ (หัวเราะ)" เธอบอก ก่อนจะเผยต่อไปว่า
"แต่มันก็ท้าทายดีนะ เหมือนคนทำธุรกิจ แค่คุณจะเปิดร้านกิฟต์ชอปเล็กๆ คุณก็ต้องสวมหมวกความเป็นเจ้าของ สวมหมวกผู้บริหาร หรือหมวกผู้ทำบัญชี ซึ่งแน่นอนว่าเปิดร้านร้านหนึ่งทุกคนต้องการผลกำไร เช่นเดียวกับงานเบื้องหลัง เราก็ต้องการผลิตชิ้นงานดีๆ ให้คนยอมรับ แม้จะมีหลายอุปสรรคให้ต้องฝ่าฟัน แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับติ๊กเลย
แค่การพูดของเรามันช่วยให้อะไรดีขึ้นได้นะ ถ้าเปิดมุมมอง เปิดความคิด อุปสรรคก็จะหายไป ไม่ใช่เอาความคิดของตัวเองเป็นหลัก หรือคิดว่างานฉันนี่แหละ เจ๋งสุดๆ แล้ว ตรงนี้จะยิ่งทำให้ตัวเองเป็นอุปสรรคกับตัวเอง ทางที่ดี เมื่อเราทำงานเป็นทีม อย่าเก่งคนเดียว คิดไม่ออกก็บอกทีม ความเป็นทีมจะช่วยกันเอง"
สำหรับงานหลักๆ ในฐานะ 'ผู้สร้างหนัง' อย่าง 'ติ๊ก' ใครจะไปรู้ว่า นอกจากดูแลในภาพรวมแล้ว ยังเข้ามาดูแลในเรื่องอาหารการกินอีกด้วย
"ดูแลทั่วๆ ไปค่ะ แต่อาจจะมีบทบาทเพิ่มเข้ามาบ้าง เช่น ดูแลเรื่องกับข้าว ส่วนหน้าที่ผู้กำกับ เขาก็มีหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ซึ่งพี่คงเดช ทำได้ดีมาก ฟากคนเขียนบทก็เขียนได้ดี ดังนั้นรางวัลที่ได้มากับหนังเรื่องตั้งวง ไม่ใช่ติ๊กค่ะ ต้องยกให้ผู้กำกับ คนเขียนบท และทีมงาน คือ ทุกคนช่วยกันทำออกมาอย่างดีที่สุด รางวัลที่ได้มาจึงเป็นของพวกเขา ไม่ใช่ของติ๊ก ติ๊กเป็นเพียงกลไกหนึ่งของหนังเรื่องนี้ แต่ถ้ากลไกนี้ไม่มีฟันเฟืองที่วิ่งทั้งหมด มันก็ไม่ประสบผลสำเร็จค่ะ"
ดังนั้น ทุกรางวัลที่ได้มา นอกจากจะสร้างความภูมิใจให้แก่ตัวเธอแล้ว ยังเป็นแรงกระตุ้นในการทำงานชิ้นต่อๆ ไปด้วย
"ทุกรางวัลที่ได้มา เป็นแรงกระตุ้นให้ติ๊กมีไฟที่จะผลิตชิ้นงานต่างๆ ออกมาให้ดี แต่ต่อให้เราดีขึ้นกว่าเดิมมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักวิจารณ์ นักดูหนัง หรือตลาดด้วย อย่างถ้าติ๊กทำเรื่องใหม่ขึ้นมา พวกเขาอาจจะไม่ชอบก็ได้ เพราะมุมมองของคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เราไม่สามารถบอกว่า ปีหน้าฉันจะต้องกวาดรางวัลมาให้ได้อีกนะ ซึ่งติ๊กไม่สามารถการันตีตรงนั้นได้ แต่อย่างน้อยๆ งานชิ้นต่อๆ ไปของติ๊กจะต้องทำให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก ส่วนตอนนี้ต้องหาเงินทุนให้มากขึ้นก่อน (หัวเราะ)"
จาก "เบื้องหน้า" สู่ "เบื้องหลัง"
ลึกลงไปถึงที่มาของบทบาทใหม่ในครั้งนี้ เธอบอกว่า งานแสดงก็ยังรักอยู่ แต่อยากทำสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายด้วย และงานเบื้องหลังก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
"ติ๊กอยากทำหลายอย่าง พอถึงวัยหนึ่ง ติ๊กว่าหลายๆ คนในรุ่นติ๊ก พวกเขาเติบโต และเต็มที่มากับละครละ พอถึงวัยที่ต้องเปลี่ยนแปลง วัยที่เริ่มหาบทลงยาก ติ๊กจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในวงการมีอะไรให้ทำอีกล่ะ สุดท้ายก็มาลงที่งานเบื้องหลัง ส่วนเบื้องหน้าติ๊กเองก็ยังสามารถโผล่ออกไปได้บ้าง ไม่ได้ทิ้งไปไหนค่ะ" เธอเล่า
แต่ก่อนที่จะมาทำหนัง ติ๊กบอกว่า จะหนักไปทางละครมากกว่า เพราะถนัด และอยากทำมากที่สุด
"จริงๆ ก็หนักละคร เพราะถนัดละคร ติ๊กก็เลยไปหนักตรงนั้น เพียงแต่ว่ามันยังไม่มีความลงตัวของละครกับช่อง ส่วนหนึ่งคือ มันยังไม่โดนใจช่องสักที ระหว่างรอคำตอบ จึงลองมาทำหนังดู เพราะการทำหนัง เป็นอะไรที่ตัดสินใจเอง ลงทุนเอง ทำอะไรเอง แต่ก็ต้องกล้าได้กล้าเสียกับงานตรงนี้ อย่างละคร เรามั่นใจว่าทางช่องจะให้เราผลิด หรือรับจ้างผลิต แต่หนัง เราต้องทำเองหมดเลย ดังนั้น อัตราเสี่ยงจึงมีสูงมาก ยิ่งเราเป็นเจ้าเล็กๆ เป็นหนังเล็กๆ ของวงการหนัง เป็นน้องใหม่โดยที่ยังไม่มีใครรู้จักเรา แต่ทุกอย่างติ๊กก็เต็มที่ที่สุดค่ะ"
"ครอบครัว" เบื้องหลังสู่ความสำเร็จ
ด้วยความกล้าคิด และลงมือทำอะไรใหม่ ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากตัวเธอแล้ว พ่อแม่คือผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ
"ส่วนตัวติ๊กอยากทำด้วยค่ะ ถ้ามันไม่อยากทำ ใจมันก็ไม่ทำ หน้ามันก็ไม่ยิ้ม ถามว่าที่บ้านมีส่วนไหม มีส่วนผลักดันมากๆ ค่ะ ไม่ว่าลูกจะทำอะไร งานเล็กหรืองานใหญ่ ครอบครัวคอยอยู่เบื้องหลัง และคอยผลักดันตลอด มิหนำซ้ำยังช่วยประคองเวลาที่เราล้มจากการคิดใหญ่ ทำใหญ่ของเราด้วย ส่วนสังคมก็เป็นตัวหนึ่งที่กระตุ้นให้อยากทำ เหมือนเป็นแรงกดดันเล็กๆ ที่ไม่เครียด แต่ค่อยๆ ถีบตัวเราเองให้เดินหน้าเพื่อพัฒนาผลงานต่อไป ซึ่งเราก็ต้องดูด้วยว่า สังคมต้องการอะไร ชอบอะไร เมื่อใจชอบก็ต้องทำในสิ่งที่สังคมชอบ และถูกจริตพวกเขาด้วย"
ด้านการเลี้ยงลูกของบ้านนี้ ติ๊ก บอกว่า เธอกับพี่เติบโตมาบนพื้นฐานความรัก และความเข้าใจ
"มีทุกวันนี้ได้ ต้องขอบคุณครอบครัวที่ให้อิสระ ไม่บังคับ ไม่ตั้งข้อแม้ และรัก (เน้นเสียง) ติ๊กได้รับความรักเต็มที่จากครอบครัวโดยที่ติ๊กไม่ต้องขวนขวายจากคนนอกเลย ติ๊กไม่เคยอยู่บ้านคนเดียว หรือเวลาติ๊กไปที่ไหน ไม่เกินชั่วโมงจะต้องมีคนขับรถมาอยู่เป็นเพื่อน หรือไม่ก็ป๊ากับม๊า ส่วนช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวก็มีเหมือนกันค่ะ แต่เมื่อไหร่ที่ติ๊กกลับไปถึงบ้าน ติ๊กจะมีครอบครัวที่คอยโอบอุ้มอยู่ตลอด"
อย่างไรก็ดี แม้จะดูเหมือนได้รับอิสระ และถูกตามใจจนใครหลายคนมองว่า เป็น "คุณหนู" แต่ก็ใช่ว่าเธอจะได้ทุกอย่างตามที่ร้องขอจากพ่อแม่
"บ้านติ๊กตามใจลูกจริง แต่ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรแล้วได้เลย หรือแหกปากร้องไห้แล้วได้สิ่งนั้นเลย มันไม่ใช่ค่ะ การจะได้อะไรก็แล้วแต่ ต้องแลกกับความเป็นเด็กดี แม้จะถูกตามใจ เชื่อมั้ยค่ะว่าติ๊กไม่เคยหนีเรียน ไม่เคยไปเที่ยวผับเลยนะ ส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวเราเองด้วยที่ใฝ่ดี อีกส่วนคือติ๊กมีต้นแบบที่ดีอย่างป๊า ม๊า และพี่ชาย"
ล้วงลึกตัวตน "ติ๊ก-กัญญารัตน์"
เป็นอีกหนึ่งคนบันเทิงที่ยากจะเดาตัวตนได้ออก หลายคนบอกว่าเธอติสท์ บ้างก็บอกว่า เธอหยิ่ง เรื่องนี้เธอจะว่าอย่างไร ไปฟังกัน
"หลายคนมองว่าติ๊กติสท์ จริงๆ แล้วไม่ติสท์นะ ติ๊กก็ใช้ชีวิตของติ๊ก กิน ทำงาน กลับบ้าน อยู่กับหลาน เพราะกลุ่มเพื่อนๆ สมัยเล่นละคร ไม่ได้จับเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนสมัยนี้ ทุกคนก็มีหน้าที่การงาน มีครอบครัวเป็นของตัวเองกันไปบ้างแล้ว จึงทำให้ติ๊กเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อนไปไหนด้วยกัน
อีกอย่าง ติ๊กมีความรู้สึกอิ่มตัวกับสังคม ทำไมติ๊กจะต้องไปงานๆ หนึ่งแล้วต้องหาชุดราตรี จ้างช่างแต่งหน้าเพื่อไปยืนแค่ยิ้มๆ ถ่ายรูป มันได้อะไรขึ้นมากับเงิน 4-5 หมื่นบาทที่ต้องเสียไปกับค่าชุดและค่าแต่งหน้าทำผม ติ๊กไม่ใช่ผู้ชายที่แค่สูท 1 ชุดก็ออกงานได้แล้ว คำถามคือ วัยแบบนี้จะไปโปรโมตเพื่ออะไร ไปยืนยิ้มๆ โบกมือแล้วกลับบ้านขึ้นรถ อ้าว หมดไปแล้ว เงินฉัน เงินในส่วนนี้ติ๊กเอาไปกินข้าวมือใหญ่ๆ กับที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ
แต่ถ้ามีเหตุผลในการออกงาน อย่างช่วงที่โปรโมตหนัง หรือต้องไปงานรับรางวัล หรืองานที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ ติ๊กก็ไปค่ะ แต่จะไปทุกงาน ทุกอีเวนต์ มันก็ไม่ใช่ เพราะเราก็ไม่ได้เป็นที่ต้องการของนักข่าวขนาดนั้น บางคนอาจจะมองว่า ติ๊ก นางแก่แล้ว ปล่อยให้เดินเข้างานไปเลย (หัวเราะ) ไม่ต้องสัมภาษณ์อะไรนางหรอก ติ๊กก็เลยรู้สึกว่า เราเป็นแค่จุดตรงนั้นไปแล้ว มันเกินวัยที่จะไปจับคู่จิ้นกับคนอื่น
ดังนั้น ติ๊กก็อยู่ในโลกของติ๊ก ไม่ได้อาร์ต ไม่ได้ติสท์ แต่เป็นตัวตนของเราที่อยู่แล้วมีความสุข ใครจะมองติ๊กอย่างไร ไม่รู้ แค่ติ๊กอยู่ในโลกของติ๊กแล้วมีความสุขก็พอแล้ว จะให้ติ๊กมานั่งแหวกหน้า แหวกหลังไปงาน ก็คงไม่ไหวค่ะ เพราะไม่มีอะไรจะโชว์เขาแล้ว อายุก็มากแล้วด้วย" นี่คือสิ่งที่เธอมอง
ถามต่อไปถึงระดับความติดดินของ 'ติ๊ก-กัญญารัตน์' เธอบอกสั้นๆ ว่า "ติดดินโคตร" ก่อนจะเผยยิ้มและหันมาขยายความให้ฟังต่อไปว่า "ติ๊กชอบเดินตลาด ติ๊กชอบกินของถูกนะ อาหารริมทางนี่ชอบ แต่ที่เห็นโพสต์รูปอาหารหรูๆ บนอินสตาแกรม ก็เพราะสังคม เพื่อน หลานๆ แต่ถ้าตัวเองกินก็จะง่ายๆ ส้มตำ ข้าวผัดกะเพรา นอกจากนั้นติ๊กยังชอบต่อราคาของกับแม่ค้า บางครั้งก็พูดไปเลยนะว่า อย่ามาคิดนักแสดงแพงนะคะ บางร้านนี่ต่อแบบครึ่งต่อครึ่งเลย ถ้าต่อไม่ได้ ติ๊กก็พูดตรงๆ เลยว่า แพงค่ะ งั้นไม่เอาค่ะ แล้วก็เดินไปเลย แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรขนาดค่ะ
อย่างตอนไปต่อราคาคนบนดอย หลังจากรู้ถึงความลำบากในการเดินทางมาขายของ ติ๊กสั่งรถกลับมาที่ร้านเลยนะ เอาเงินที่ต่อยัดให้เต็มแล้วก็เพิ่มให้อีก 100 บาท แถมด้วยขนมจากร้านสะดวกซื้อให้ด้วย คือติ๊กมีความรู้สึกว่า เรามีชีวิตที่สบาย แต่เขาอาจจะได้แค่ 5-10 บาทต่อชิ้น"
นอกจากจะเป็นนักต่อสินค้าตัวยงแล้ว เธอยังเป็นคนตรงๆ ที่มีเลือดนักเลงอยู่ในตัวไม่น้อย
"ถ้ามีคนเดินผ่านแล้วพูดถึงติ๊กในทางไม่ดี ติ๊กจะหันไปบอกทันทีเลยว่า มีอะไรพูดกันได้เลยนะคะ" เธอเผยให้เห็นตัวตนอีกด้าน
เขาว่า "ติ๊ก" เข้าถึงยาก
มาถึงกระแสเมาท์มอยที่ไม่ถามไม่ได้ "ติ๊ก-กัญญารัตน์ เข้าถึงยาก" แถมมีเสียงเมาท์ในโลกออนไลน์ด้วยว่า "ติ๊กหยิ่ง ไม่ค่อยให้ถ่ายรูป"
"ต้องบอกอย่างนี้ค่ะ บางครั้งตาติ๊กก็ไม่ได้โฟกัสคน เพราะติ๊กจะมองไม่ค่อยเห็น ถ้าไม่ใช่ระยะประชิด ติ๊กก็ต้องเพ่งมอง ดังนั้น ติ๊กจึงมองไม่ค่อยเห็นว่าใครยิ้มให้ ถ้าติ๊กเห็นติ๊กยิ้มกลับอยู่แล้วค่ะ แต่บางอารมณ์ก็มีนอยด์เหมือนกัน นักแสดงส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกเหมือนกัน เพราะบางคนไม่รู้ว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ เช่น เข้ามาขอถ่ายรูปขณะกินข้าว หรือกำลังกินก๋วยเตี๋ยว
ส่วนเรื่องขอถ่ายรูป ติ๊กไม่เคยใส่อารมณ์กับใคร แต่บางทีอารมณ์ของเรายังค้างอยู่กับบางสิ่ง ใครมาขอถ่ายรูป ติ๊กก็จะบอกดีๆ ว่า ไว้ก่อนได้มั้ยค่ะ ยังไม่พร้อมถ่ายอ่ะค่ะ อีกกรณีที่ไม่สะดวกให้ถ่าย เพราะติ๊กไม่พร้อมที่จะถ่ายจริงๆ เนื่องจากไม่ได้แต่งหน้ามา ติ๊กไม่อยากให้เอารูปติ๊กในสภาพนั้นแล้วไปเอาแปะ เอาไปโพสต์ว่า หน้านางเยินมาก
ทั้งหมดนี้ ถามว่า ติ๊กต้องไปบอกกับทุกคนมั้ยว่า ติ๊กเป็นแบบนี้นะ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ เพราะต้องเข้าใจด้วยว่า เราไม่ได้พร้อมเสมอที่จะออกจากบ้านทุกวันแล้วภูมิใจในตัวเองทุกวัน บางวันอาจจะมีช่วงอารมณ์นอยด์บ้าง แต่ติ๊กก็พยายามทำให้ดีที่สุด เจอใครก็ยิ้ม เข้ามาถ่ายรูปได้
ดังนั้น ขอให้เข้าใจนักแสดงด้วยนะคะว่า ณ ขณะนั้นถ่ายได้หรือไม่ได้ อย่างบางทีไปกันเป็นกลุ่ม มีผู้ใหญ่เดินนำหน้าไปแล้ว แต่เรายังยืนถ่ายรูปอยู่เลย เราก็ต้องขออนุญาตนะคะ แล้วค่อยๆ เดินตามไป ทุกวันนี้ก็ยังเจออยู่บ้างค่ะ บางคนไม่ใช่ถ่ายแอ็ก หรือสองแอ็ก อยากให้เข้าใจกันนิดนึงค่ะ" ติ๊กเผยด้วยท่าทีสุภาพ
"คนรุ่นเก่า" มอง "คนรุ่นใหม่"
ทั้งนี้ ในฐานะคนบันเทิงรุ่นเก่าที่ยังเจ๋งในทุกบทบาท ติ๊ก เอ่ยขึ้นหลังถูกถามถึงวงการบันเทิงยุคนี้ว่า "แรง (เน้นเสียง)" ก่อนจะเผยให้ฟังต่อไปว่า "ถามว่าน่ากลัวมั้ย น่ากลัวนะ แต่ว่าสังคมก็หล่อหลอมให้พวกเขาแกร่งกว่าสมัยก่อนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการตลาดที่เข้ามามันก็แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีการตลาดมันก็ไม่ตู้ม แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของความหลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่พัดผ่านเข้ามาด้วย"
แล้ว 'ติ๊ก' เคยหลงระเริงไปกับชื่อเสียงบ้างไหม เธอบอกว่า "ไม่เลยค่ะ" ก่อนจะพร้อมอธิบายเหตุผลให้ฟังว่า "เพราะติ๊กค่อยๆ ก้าวขึ้นมา ไม่ใช่ตู้มแล้วเกิด หรือตู้มเพราะจับคู่จิ้น อีกอย่างสังคมมันต่างกัน การทำงานสมัยติ๊ก นักแสดงทุกคนต้องมีสัมมาคารวะ เดินผ่านหน้าผู้ใหญ่ต้องก้มตัวทุกครั้ง ส่วนการไหว้จะมาไหว้ส่งเดชไม่ได้ (ทำท่าให้ดู) ต้องไหว้สวยๆ
นี่คือสิ่งที่ติ๊กถูกหล่อหลอมให้อยู่ในกรอบ เพราะฉะนั้น ความหลงระเริงมันจึงไม่ค่อยมี อย่างเวลาจะทำอะไร หรือคบกับใครเรียกว่าต้องเก็บเป็นความลับเฉพาะกันเลยทีเดียว เนื่องจากต้องทำตัวให้เป็นคนของสังคม และเป็นแบบอย่างที่ดีจริงๆ"
ถึงวันนี้ เธอยอมรับว่า ยังคิดถึงวันวานวัยดังของตัวเองอยู่บ่อยๆ
"ช่วงที่ดัง เป็นอะไรที่แฮปปี้มาก ภูมิใจสุดๆ มีงานทุกวัน โชว์ตัวตลอด ถ้าย้อนกลับไปมอง พูดได้เลยว่า เหนื่อยชิปเป๋งเลย แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ เราจะไม่รู้ตัวเองเลยว่า เรากำลังแฮปปี้ เราจะรู้สึกว่าเหนื่อย ไม่มีเวลาพักผ่อน ร้องไห้ จะหาเงินไปเพื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านแล้วมองย้อนกลับไป อยากมีช่วงเวลานั้นมากเลย
ทุกวันนี้ เวลาเจอน้องๆ รุ่นใหม่ ติ๊กจะพยายามจะบอกกับพวกเขาว่า ช่วงที่มีงานจงแฮปปี้กับมันเถอะ มีแรงสู้กับมันเถอะ ถึงวัยที่คุณไม่มีเลย คุณจะมานั่งคิดเสียดายว่า ทำไม เพราะติ๊กรู้สึกแบบนั้นมาแล้ว ฉันอยากเหนื่อย อยากกลับไปดังแบบนั้นอีก" เธอย้อนวันวาน
แน่นอนว่า จากคนที่เคยดัง มาถึงวันที่ความดังค่อยๆ ลดน้อยถอยลง เรื่องนี้เคยทำให้ "ติ๊ก" เกิดอาการน้อยใจจนเสียน้ำตามาแล้ว
"ช่วงที่ทำงานเยอะๆ แล้วคนไม่นึกถึงเรา มันมีค่ะ อย่างช่วงที่เราหายไปจากละคร แล้วมีคลื่นลูกใหม่เข้ามาแทน ช่วงนั้นมันเหมือนหักดิบ ซึ่งตัวเราเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่เหมือนวงการฮอลลีวูด เขาใช้คนจนแก่ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ ได้ทำงานเบื้องหลังที่ตัวเองชอบ"
ความรักในแบบของ "ติ๊ก"
ปิดท้ายกันที่เรื่องราวความรักของ 'ติ๊ก-กัญญารัตน์' เธอยอมรับว่า เป็นคนเลือกเยอะ ส่วนคนที่เข้ามาก็หาที่เข้าใจในความเป็น 'ติ๊ก' ได้ยาก
"ตอนนี้ก็เฉยๆ ค่ะ ส่วนตัวเป็นคนเลือกเยอะ ไม่ชัดเจน ติ๊กไม่ได้มีสเปกสูงอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ว่า ติ๊กเจอคนรอบข้างที่ตามใจมาตลอด เพราะฉะนั้น ใครที่เข้ามา เขาก็ต้องเข้าใจเรา ไม่ใช่แค่วัน หรือสองวัน แต่ต้องเข้าใจไปตลอด มันเลยปรับเปลี่ยนยากไง จะให้เราไปตามใจเขามันก็ยาก
ส่วนตัวอยากแต่งงาน อยากมีลูกนะ แต่ถึงวัยนี้ เวลาเห็นคนอื่นแพกกระเป๋า สอนการบ้าน มันดูเหนื่อยเนอะ ถ้ามันเหนื่อยขนาดนี้ก็ไม่ไหวนะ อีกหลายสิ่งที่กลัวก็คือ กลัวลูกไม่ครบสามสิบสอง แต่สิ่งที่กลัวมากที่สุดก็คือ กลัวลูกไม่เป็นดั่งที่ใจคิด" เธอเผยให้ฟัง ก่อนจะบอกทิ้งท้ายว่า "เพราะฉะนั้น ไม่รับรู้เลยจะดีกว่ามั้ย ไม่มีก็อยู่ได้ค่ะ (ยิ้ม) อยู่กับครอบครัว อยู่กับงานก็แฮปปี้แล้วค่ะ"
เรื่องและคลิปโดย ASTVผู้จัดการ Lite
ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจากอินสตาแกรม @tik_kanyarat
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754