xs
xsm
sm
md
lg

ค้นใจ...มือใหม่หัดเซ็กซี่! “เจมี่ บูเฮอร์” (ชมคลิป)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กล้าจนน่าตกใจ! ไหนจะคลิปถอดทีละชิ้นที่เล่นเอาหนุ่มๆ หัวใจแทบวายคาหน้าจอ ไหนจะชุดออกงานอีเวนต์ที่โชว์บั้นท้ายแบบจัดเต็ม ลามมาจนถึงชุดแหวกเรียวขาที่แหกมาจนเห็นเนินผืนน้อย...
ทุกความกล้าของเธอกลายมาเป็นประเด็นเดือดให้คนในสังคมตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับนางร้ายที่หลายๆ คนเคยรู้จัก หรือเพราะอยากกลับมาดัง จึงยอมเปิดเผยขนาดนี้?

มีเพียงคนเดียวที่จะไขทุกข้อข้องใจทั้งหมดได้ คนเดียวเท่านั้นที่รู้จัก “เจมี่ บูเฮอร์” ในวันนี้ได้ดีที่สุด





แหวกหน้ากล้อง เพราะอ่อนประสบการณ์

ชุดแหวกทุกองศา ต้นเหตุประเด็นเดือด

กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจมากค่ะ ในตอนที่เราแต่งชุดนั้นไปอีเวนต์ เรากะจะให้มันดูเซ็กซี่ ให้ภาพมันออกมาวับๆ แวมๆ คือเจมี่ไม่ได้มีเจตนาจะโชว์ส่วนนั้นจริงๆ เจมี่พูดได้เลยค่ะ เพราะเจมี่ไม่ได้อะไรจากการโชว์ตรงนั้น และมันก็ไม่คุ้มค่าอยู่แล้ว มันจะต้องแลกกับอะไรเหรอถึงจะต้องโชว์เยอะขนาดนั้น เจมี่ไม่ได้มีเจตนาแน่นอนค่ะ เราต้องการให้เห็นบิกินีแบบวับๆ แวมๆ เท่านั้นเองค่ะ แต่มันอาจจะผิดพลาดตรงที่กระโปรงผ่าเยอะไปหน่อย แล้วเวลาเดิน กระโปรงมันก็หมุนมาอยู่องศานั้น

เจมี่พูดจริงๆ นะ เราไม่ได้มีเจตนาจะโชว์เลยค่ะ และด้วยความที่เราไม่ได้เป็น Sexy Star ไม่เคยมีประสบการณ์การเป็น Sexy Star มา เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้มุมการโพสต์ค่ะ ว่าบิดขาอีกนิดนึงพอถ่ายออกมามันจะโป๊มากแล้ว เราก็โพสต์ไปเหมือนเราใส่ชุดปกติ โพสต์ไปเต็มที่ ตอนเห็นภาพตอนแรกก็เลยตกใจค่ะ ค่อนข้างตกใจ มีพี่ผู้จัดการเขา Capture รูปแล้วส่งมาให้ในไลน์ หลังจากวันนั้น ตั้งแต่ตื่นมาก็รับโทรศัพท์ตลอด จนคิดว่าต้องแถลงข่าวแล้ว เราปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว”

น้ำเสียงและแววตาของคนที่อยู่ตรงหน้า สะท้อนให้เห็นความรู้สึกสำนึกผิดออกมาให้พอรับรู้ได้ในปริมาณที่พอดี ดูไม่ได้โอเวอร์แอ็กติ้งจากการปั้นแต่งความรู้สึกขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสงสารแต่อย่างใด แต่เธอค่อยๆ อธิบายด้วยท่าทีอ่อนน้อมมากที่สุด เกี่ยวกับเหตุการณ์การโชว์ตัวในงานอีเวนต์ครั้งล่าสุดของเธอ ซึ่งเลือกชุดเซ็กซี่ผิดระดับจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเกินคาดคิด

เมื่อการปรากฏตัวบนพรมแดงของเธอกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เชิงลบในวงกว้าง ทุกเรื่องราวเกี่ยวกับเจมี่จึงถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็น โพสต์ที่เคยลงไว้ใน Instagram “jaymebooher” ก็ถูกหยิบขึ้นมาเพื่อขุดคุ้ยถึง “ความแรง” ของเธอด้วย โดยเฉพาะโพสต์ที่แนบภาพออกงานโชว์แก้มก้นที่บอกว่า “ด่ากันมาก คราวหน้าใส่จีสตริงแม่มเลย” ยิ่งทำให้เธอถูกตำหนิอย่างหนัก และไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ นี่คือคำอธิบายจากเจ้าตัวเอง


แซวเล่น จนเป็นเรื่อง!
“ตอนนั้นเราใส่ชุดโชว์บั้นท้าย คนก็เลยเข้ามาวิจารณ์ บางคนก็บอกว่าสวยดี บางคนก็บอกว่าโป๊เกินไป เจมี่ก็เลยเข้าไปโพสต์ใน IG ค่ะ แต่ตั้งใจจะโพสต์ให้เหมือนพูดเล่นนะ คือเจมี่ใช้ภาษาเหมือนตอนที่คุยกับเพื่อนๆ เจมี่ ซึ่งมันก็เป็นภาษาที่ไม่สมควรโพสต์ในที่สาธารณะแหละค่ะ คนเขาก็เลยมองว่าเราพูดแรง ไม่แคร์แฟนคลับเลยนะ ทำไมต้องสำรอกคำนี้ออกมาด้วย

เราก็พยายามไม่ไปต่อความยาวสาวความยืดค่ะ ใครจะโทร.มาบอก เราก็ฟังไว้บ้าง เพราะมีคนโทร.มาแนะนำเยอะมาก เราก็หวั่นๆ เหมือนกันค่ะจนถึงตอนนี้ ตอนแรกก็ยังคิดอยู่เลยว่าคนเขาจะมองเราแปลกไปหรือเปล่า เราจะไปห้างดีมั้ยวะ จะมีใครเดินมาด่าเรามั้ยเนี่ย แต่อย่างวันนี้ ไปวัดปากน้ำมา เขาก็เข้ามาพูดกับเราดีนะคะ บอกว่าชอบจังเลย ก็ยังไม่มีใครเข้ามาด่าเลย ก็ใจชื้นขึ้นหน่อยค่ะ (ยิ้มบางๆ)

ถึงกระแสจะซาลงแล้ว แต่เจมี่ว่าก็ยังมีเรื่อง Emotional อยู่ในความรู้สึกของคนอยู่นะ เราเองก็พยายามจะ Save ความรู้สึกของเราให้มากที่สุดและพยายามจะแก้ปัญหาไปด้วยค่ะ ไม่อยากไปซึมซับทุกความคิดเห็นมาแล้วก็ทำให้ตัวเองทุกข์-ตัวเองแย่ เราฟังแล้วเราก็เอามาแก้ปัญหาในครั้งต่อไปดีกว่า เมื่อวานก่อน เรากลับไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว วันนั้นมันต้องจบแล้ว วันข้างหน้าต่อไปคือสิ่งที่เราต้องทำมากกว่า และต่อไปก็อาจจะไม่ได้เห็นภาพเซ็กซี่ของเจมี่แบบนั้นบนพรมอีกแล้วค่ะ อาจจะมีแค่เล็กๆ น้อยๆ ดีกว่า”

บอกเลยว่าตั้งแต่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 18 ปี กระแสข่าวนี้คือคลื่นมรสุมที่หนักที่สุดในชีวิต เพราะขนาดเทียบกับข่าวท้องแล้วไปทำแท้งเมื่อ 4-5 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่สั่นคลอนความรู้สึกเท่าครั้งนี้เลย

“คิดว่าตอนข่าวท้อง-ทำแท้งครั้งนั้นแรงแล้วนะ แต่ข่าวนี้แรงกว่า 30-40 เปอร์เซ็นต์เลยค่ะ เพราะตอนนั้นที่โดนข่าว เราก็สองจิตสองใจอยู่ คิดว่าก็ดีเหมือนกันถ้าพักวงการไปสักพัก จะได้ถือเป็นการพักผ่อนด้วย แต่ข่าวนี้ แรงกว่าเยอะมาก” เธอไม่ลืมเน้นเสียงและใส่อารมณ์เหน็ดเหนื่อยลงไปทุกครั้งที่พูดถึงประเด็นร้อนของตัวเอง




ชวน “น้องๆ” มาโชว์หวิว!?!


คือความผิดอีกกระทงหนึ่งที่หลายต่อหลายคนมอบให้เธอ เพราะนอกจากการแต่งตัวล่อเป้าของเธอจะถูกหลายฝ่ายมองว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน คำพูดตอนให้สัมภาษณ์ของเจมี่ยังทำให้เข้าใจกันไปว่า กำลังชักชวนให้เด็กๆ มาโชว์หวิวแบบเดียวๆ กัน และแน่นอนว่าคนที่ถูกพาดพิงมีคำอธิบายเสมอ อยู่ที่ว่าจะมีใครอยากเปิดใจฟังบ้างเท่านั้นเอง

“คำที่มี่พูดจริงๆ แล้ว มี่บอกว่า อยากให้น้องๆ ที่เคยโชว์หน้าอก เปลี่ยนไปโชว์อย่างอื่นบ้าง คำว่า “น้องๆ” ที่เราพูดถึง เจมี่หมายถึงน้องๆ ที่มีอาชีพโชว์หน้าอกมาก่อนอยู่แล้วน่ะค่ะ ให้เปลี่ยนไปโชว์ส่วนอื่นบ้าง เพราะโชว์หน้าอก เราโชว์กันมาเป็น 10 ปีแล้ว ลองโชว์สะโพกบ้างมั้ย โชว์เรียวขาบ้างมั้ย แต่คนเขาไปตีความคำว่า “น้องๆ” ของเราหมายถึง “เยาวชน” บอกว่าเราแนะนำให้เยาวชนไปโชว์เซ็กซี่ ซึ่งมันไม่ใช่เลยค่ะ

แล้วที่แนะนำให้โชว์ส่วนอื่น เราก็ไม่ได้หมายความว่าให้โชว์ส่วนนั้นอย่างในภาพที่ออกมา แต่หมายถึงโชว์เรียวขาค่ะ เรื่องนี้เจมี่ไปพูดแก้ในรายการ แก้ในคำสัมภาษณ์ทุกที่ ตอนนี้คนเขาก็ไม่ฟังเลย เพราะเขาเชื่อไปแล้วว่า คำว่า “น้องๆ” ที่เราหมายถึงคือ “เยาวชนทั้งประเทศ”

เจมี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี คือเจมี่รู้ว่า เจมี่พูดในสิ่งที่เจมี่คิด และเจมี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้น้องๆ ทั้งประเทศมาโชว์ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วค่ะ มันไม่เหมาะ มันอาจจะเป็นปัญหาเพราะเราเป็นคนที่คิดอะไรก็พูด พูดไวกว่าความคิด บางทีภาษาที่เราพูดกับเพื่อนเรา กับภาษาที่พูดในที่สาธารณะ พูดกับสื่อ มันอาจจะต้องใช้คำพูดกันคนละอย่างค่ะ


ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เจมี่เป็นคนมีปัญหากับเรื่อง “การพูด” มาโดยตลอด ด้วยนิสัยค่อนข้างขวานผ่าซากของเธอ ทำให้ก่อปัญหามาหลายต่อหลายครั้ง จนครั้งนี้ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากนิสัยพูดตรงๆ ของตัวเอง

“เจมี่มีปัญหาเรื่องคำพูดมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ บางทีพูดแล้วไม่คำนึงถึงความรู้สึกคน พูดตรงมาก ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงตายก่อนตลอด (ยิ้มเนือยๆ) บางคนเขาจะชอบฟังสิ่งที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาก่อนไงคะ และคนตรงก็ไม่ใช่คนที่ถูกนะ บางคนอาจจะมองว่า ฉันเป็นคนแบบนี้ ตรงๆ จริงใจ แต่บางทีพูดตรงกับพูดโดยไม่คิดไตร่ตรอง มันก็คล้ายๆ กัน

เราอาจจะเป็นคนที่พูดติดสนุกค่ะ พูดไว คิดปุ๊บพูดปั๊บ บางทีเราก็อาจจะต้องไตร่ตรองว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง หรือขยายความอีกนิดนึงดีมั้ย ยิ่งเกิดเรื่องครั้งนี้ยิ่งทำให้เราหมดความมั่นใจไปเลยค่ะ คือถ้าเรื่องครั้งนี้มันไม่แรง มันไม่ใหญ่ เจมี่จะไม่รู้สึกขนาดนี้ เพราะปกติเจมี่ก็จะคุยเล่นกับสื่ออยู่แล้วไงคะ แซวกันด้วยวาจาให้เป็นสีสัน เป็นความสนุกสนาน แต่พอเรื่องมันใหญ่ปุ๊บ คนเลยมาเพ่งเล็งกับการพูดของเราเยอะ เกือบเอาชีวิตไม่รอดแน่ะเคสต์นี้ จริงๆ นะ โห... เครียดมาก

จะบอกว่าวันที่เกิดเรื่อง เจมี่ไม่กล้าโพสต์อะไรลง IG เลยนะ เจมี่ต้องส่งไปถามพี่ผู้จัดการก่อนว่า อันนี้ลงได้มั้ยอ่ะ โพสต์อันนี้ดีมั้ย ถามอยู่นั่นจนเขาต้องตอบกลับมาว่า โพสต์ไปเลย อยากโพสต์อะไรก็โพสต์ไป ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก สถานการณ์มันปกติแล้วตอนนี้ เจมี่เลยกล้าโพสต์ลง”




เซ็กซี่เพราะอยากกลับมาดัง?

มาดใหม่ มาในแนวเซ็กซี่

หายหน้าไปจากวงการนาน 4 ปี พอกลับมาในภาพลักษณ์ “มั่นทุกองศา-แหวกทุกอณู” แบบนี้ หลายคนจึงฟันธงไปแล้วว่านี่เป็นกลยุทธ์การตลาดของการ “ชิงพื้นที่บนสื่อ” ของเจมี่ จะได้กลับมาโด่งดัง ผงาดในวงการบันเทิงได้อีกครั้ง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะเห็นได้ชัดว่ากระแสที่ออกมาไม่ได้ส่งผลดีต่อใครเลย แม้แต่กับตัวเธอเอง

“ไม่มีใคร Happy กับกระแสที่ออกมาเลยค่ะ เพราะคนที่ต่อต้านค่อนข้างเยอะแล้วก็แรง บริษัทที่เขาให้เราเป็น Presenter อยู่ก็ไม่ Happy แต่ก็ไม่ได้กระทบจนโดนถอดจากงานนะ ก็ยังดำเนินต่อไปได้ แก้ปัญหากันไป แต่ถามว่าเราอยากกลับมาในวงการครั้งนี้ด้วยลุคเซ็กซี่มั้ย พูดจริงๆ นะคะ มันเป็นภาพลักษณ์ที่เจมี่รับเป็น Presenter ให้เขาอยู่ มันเป็นภาพลักษณ์ที่สืบต่อเนื่องมาจากคลิป ซึ่งต้องมีความเย้ายวน เซ็กซี่ น่าสนใจอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าเราขายคาแรกเตอร์แบบเดิมๆ เราก็จะได้ชีวิตแบบเดิมๆ การทำงานแบบเดิมๆ เพราะฉะนั้น พอเรามารับเป็น Presenter มันก็ต้องมีจุดขายที่เปลี่ยนไป ถูกมั้ยคะ ต้องมีความเซ็กซี่ น่าสนใจ มีสีสันในอีกแบบหนึ่ง

เพราะช่วง 3-4 ปีก่อน เจมี่รับแต่งานพิธีกร ลุคของเจมี่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง จะดูเป็นผู้ใหญ่ๆ แต่งตัวเรียบร้อยไปเลย พอเรามาอย่างนี้ปุ๊บ คนเลยรู้สึกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ เลยทำให้มีคนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่า เฮ้ย! ทำไมต้องทำแบบนี้


แล้วตอบเขาได้มั้ยว่า ทำไมต้องทำแบบนี้? ผู้สัมภาษณ์ขอยิงคำถามนี้ต่อ ผู้ถูกถามก็พยักหน้ารับแบบแมนๆ และตอบแบบตรงๆ โดยไม่มีท่าทีอิดออดแต่อย่างใด

มันก็เป็นงานของเราอย่างนึงค่ะ มันเป็นสายอาชีพของเรา ซึ่งเราต้องทำเพราะมันเป็นอาชีพ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการดำรงชีวิต แต่เจมี่ไม่ได้คิดถึงว่ากลับมาแล้วให้คนสนใจ ชวนให้กลับไปเล่นละครอะไรอย่างนั้นนะคะ เพราะกระแสตรงนี้มันอาจจะแรงเกินไปสำหรับงานละครด้วยซ้ำไป อีกอย่าง เรื่องใครจะติดต่องานละครมามั้ย เราก็ไม่สามารถไปคิดได้ค่ะ มันเป็นเรื่องที่ผู้สร้างต้องคิดมากกว่า
แค่ตอนนี้ มันมีงานทางด้านเซ็กซี่ติดต่อเข้ามาค่ะ และเราถามตัวเองว่าเราทำได้มั้ย ซึ่งเราก็มองว่า เอ้อ...มันน่าสนใจ และเรารู้สึกว่าเราสมควรจะทำละ เราพร้อมที่จะทำแล้ว


ถ้าเป็นตอนเด็กๆ เราไม่เคยทำเลยนะคะ ไม่เคยถ่ายชุดว่ายน้ำเลยสักฉบับเดียว ทั้งที่ติดต่อมาแล้ว เราเคยโอเค Say Yes ไปแล้วครั้งนึงด้วย จะถ่ายอยู่แล้ว แล้วสุดท้ายเราก็ขอ Cancel ไปเพราะรู้สึกว่า Feel มันไม่ได้ เราจะมานั่งคิดตลอดว่าถ้าไปทำงานนี้แล้วมันจะเป็นยังไง ถ้าคิดแล้วรู้สึกว่าเราทำไม่ได้ว่ะ ก็ต้องยกเลิกไปเลย แต่วันนี้ เราสามารถนึกภาพออก รู้สึกว่าใจเรามันไปกับตรงนี้แล้ว เราก็ทำได้ค่ะ

เจมี่ว่ามันเป็นเรื่องของยุคสมัยนะ เพราะเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนเจมี่เด็กๆ เรื่องแบบนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับ 100 เปอร์เซ็นต์ มันจะก้ำกึ่ง เราก็คิดเหมือนกับคนอื่น ถ้ารู้สึกว่าทำไปแล้วจะเก้ๆ กังๆ เราก็ไม่อยากทำ แต่ยุคนี้ คนที่ถ่ายแล้วส่งเสริมให้ดีขึ้น คนไม่มองว่าเป็นเรื่องที่แย่ มันก็โอเคค่ะ

แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่คิดว่าตัวเธอจะเหมาะกับคำว่า “Sexy Star” อยู่ดี แค่เรียกว่าพอทำได้ ถือเป็นความสามารถในอีกด้านหนึ่งของเจมี่ ส่วนลิมิตความเซ็กซี่หลังจากบทเรียนอันแสนราคาแพงในครั้งนี้จะอยู่ที่ตรงไหน เธอก็ยังขีดเส้นอะไรมากไม่ได้ บอกได้แค่ว่า

“ตอนนี้พูดเลยว่า มันยังสดๆ อยู่เลยอ่ะ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยค่ะ ยังคิดไม่ออกเลยว่างานหน้าจะแต่งตัวหรือว่าอะไรยังไง เพราะมีคนอยู่ 2 กลุ่มตอนนี้ กลุ่มหนึ่ง จะชอบงานเซ็กซี่มาก ชอบภาพพจน์ที่เราออกมาแบบนี้ กับอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ชอบเลย ต่อต้านว่าทำไมต้องมาทำแบบนี้ ทำไมต้องลุกขึ้นมาเซ็กซี่ ในเมื่อภาพเดิมเราดีอยู่แล้ว ถ้าให้ลิมิตตอนนี้ คงทำอะไรให้มันไม่โดนด่าน่ะค่ะ” เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้มปลงๆ




ถอดทีละชิ้น Marketing แบบใหม่!


ถ้าได้ดูคลิปการขายอาหารเสริมความงามของเจมี่ จะรู้สึกว่าช่างเป็นเทคนิคการขายที่ชาญฉลาด ให้ Presenter อย่างเจมี่ถ่ายคลิปที่บ้าน ค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่พันธการอยู่ออกทีละชิ้น จนเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่กลมกลึง แล้วปิดท้ายด้วยการชูสินค้าให้เห็น นักการตลาดหลายคนชมเปาะว่าเป็นคลิป Viral ที่ดี ทำให้คนแชร์ต่อๆ กันไปได้เรื่อยๆ จนเกิดกระแสพูดถึงแบบปากต่อปาก แต่ในอีกมุม ก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์หนักว่าไม่น่าหยิบความเซ็กซี่มาเป็นจุดขายแบบนี้ แต่สำหรับคนทำคลิปแล้ว เจมี่มองว่าการค้าบนโลกออนไลน์ก็เป็นทางรอดอีกทางหนึ่งของชีวิต

“ถือเป็นอีกลู่ทางนึงที่มันก็ Amazing ดีนะคะ ทำให้เกิดอาชีพ เดี๋ยวนี้ Social Media มีอิทธิพลสูงค่ะ แต่ก็ยังเป็นรองทีวีนะ ทีวียังเป็นอันดับหนึ่งอยู่ แต่ก็ถือว่ามีผลที่เปลี่ยนแปลงอะไรได้ เป็นยุคของมันเลยล่ะ ยุคของ Social Media ส่วนเรื่องงานของเจมี่ เจมี่รับมาในพาร์ตของ Presenter ส่วนเรื่องการขาย เราไม่ได้ไปยุ่งค่ะ

เรามีหน้าที่ทำงานศิลปะให้เขาเท่านั้นเอง เรื่องยอดขาย เขาจะขายได้ด้วยวิธีไหน มันเป็นเรื่องของเขา เขาบรีฟมาค่ะว่าเขาจะเอาแบบนี้ เจมี่ก็ทำคลิปส่งไปให้เขาหลายอันมากนะ แล้วก็โดน Cancel ทำดีมาก มีแบบตัดต่อด้วย แต่เขาไม่เอา เขาบรีฟมาว่าอยากได้แบบนี้ๆ เราก็เลยทำแบบดิบๆ ออกไปเลย เพราะเขาต้องการ Reality ไม่ต้องเนี้ยบมาก ภาพก็เลยออกมาอย่างที่เห็น

สำหรับเจมี่ เจมี่รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเลย มันอาจจะเซ็กซี่ด้วยความรู้สึกค่ะ ด้วยการถอด แต่มันไม่โป๊เลยสักกะนิดเดียว อันนี้หมายถึงคลิปนะคะ (ยิ้ม) เจมี่ว่า มี่มีความเป็นศิลปินสูงนะ ถ้าทำอะไรแล้วเราสนุกที่จะทำ เราก็จะทำมันได้ดี อย่างการโพสต์รูป เราก็ต้องใช้ความสนุกของเรา ก็โพสต์เองทุกอย่างค่ะ

เธอกระซิบบอกว่า จริงๆ แล้วถึงเวลาที่คลิปตัวที่ 2 ต้องออกมาโชว์ประชาชนชาวออนไลน์ได้แล้ว แต่มาเกิดกระแสลบๆ เรื่องชุดแหวกแหกทุกองศาของเธอเสียก่อน จึงทำให้หลายอย่างจำต้องหยุดชะงักไป “คือเจมี่บอกกับทางบริษัทเองนะคะว่า เดี๋ยวรอหลังไปออกงานอีเวนต์วันที่ 30 มิ.ย.ก่อน เดี๋ยว Feel มันมาแล้วเราจะทำงานได้ดีขึ้น ปรากฏว่าผลตอบรับที่ออกมา Feel มันดีเกิน (หัวเราะเนือยๆ) มันล้นไป พอก่อน”


เรื่องราวที่เกิดขึ้น เล่นเอาคนทำคลิปอย่างเจมี่วิตกขั้นหนักอยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่านอกจากจะส่งผลต่อการรับงานแล้ว ยังส่งผลต่อเรื่องการแต่งตัวในชีวิตประจำวันด้วย

“เมื่อก่อน เวลาเจมี่แต่งตัวออกจากบ้าน จะรู้สึกสนุกค่ะ อยากแต่งยังไงก็จะแต่ง ถ้า Feel มาแบบไหน อยากใส่ยังไงก็จะใส่ แต่อย่างปัจจุบันนี้ ไม่มีความมั่นใจเลย จะใส่ชุดนี้มาก็ต้องถ่ายรูปแล้วส่งให้ผู้จัดการดูก่อนว่าโอเคป่ะ เรากลัวว่ามันจะโป๊ไป กลัวว่าจะโดนด่า ทั้งที่เมื่อก่อนเกิดเรื่อง ใส่แบบนี้ เรารู้สึกว่าธรรมดานะ แต่วันนี้ ใส่มา รู้สึกว่าไม่มั่นใจ” เธอหมายถึงชุดที่ใส่มาเจอกับเราในวันนี้ ที่ต้องคิดแล้วคิดอีกพอสมควร “ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่มั่นใจเลยจริงๆ ค่ะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ




หายไปใช้ชีวิต


หายไปไหนมา ถึงได้กลับมาในภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้? คือคำถามที่หลายคนคาใจ เกี่ยวกับคำถามนี้ คนที่หายหน้าหายตาไปกว่า 4 ปีก็ได้แต่ตอบสั้นๆ พร้อมแนบรอยยิ้มว่า “ก็ไปพักผ่อนบ้าง อะไรบ้าง” ก่อนขยายความให้ฟังว่าชีวิตช่วงนั้นมีชีวาแค่ไหน

เที่ยวเยอะมากค่ะ อาจจะไม่ถึงกับรอบโลกขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าเยอะมากค่ะ ประมาณ 10 กว่าทริป ที่เด็ดๆ เลยก็คือญี่ปุ่นกับปารีสค่ะ ที่ญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจคนบ้านเมืองเขาค่ะ มารยาทดีมาก ถ้าเราลืมกระเป๋าสตางค์ทิ้งเอาไว้ 80 เปอร์เซ็นต์ แน่ใจได้เลยว่าจะได้คืน และเขาจะเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นก่อนค่ะ ก่อนความรู้สึกตัวเอง ส่วนที่ปารีส ไม่ได้ไปบ่อยเหมือนญี่ปุ่นค่ะ ได้ไปประมาณ 2 ครั้ง รู้สึกว่าเป็นเมืองที่สวยมากค่ะ

นอกนั้นก็เอาเวลาไปทำบุญค่ะ พอเราเริ่มสนใจ เราก็ได้เจอพี่ๆ ที่อยู่ในแวดวง แนะนำให้เราไปช่วยงานนั้นงานนี้ ทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างที่รู้สึกว่ามันมีความสุข เป็นโลกอีกโลกนึงเลย บุญมันคือ Energy นะ เจมี่ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องความเชื่อหรือคิดถึงการตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แหละ มันเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น เราเจตนาดีแล้วเราทำดี มันส่งผลให้เรามีความสุขเลยตั้งแต่เราทำ”


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจมี่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเครียดได้ง่ายๆ โดยเฉพาะตอนที่ยังทำงานละครอยู่ แต่พอได้เข้าวัดทำบุญ กลับทำให้จิตใจสงบมากขึ้น “พอมาทำบุญ เริ่มช่วยเหลือคน เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมากกว่า” ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เธอตัดสินใจอำลาวงการไปพักใหญ่ๆ เพราะรู้สึกเหนื่อยกับข่าวคราวที่เกิดขึ้น บวกกับความเครียดสะสมมานานจากการเดินบนเส้นทางนี้

“การทำงานมันก็ต้องมีแรงบันดาลใจหลายอย่างนะในการจะทำงานศิลปะชิ้นนึง พอไฟเราเริ่มอ่อน มันก็ต้องพัก ช่วงก่อนที่จะหายไป ทำงานเยอะมากนะคะ ก็รับบทนางร้าย ปีนึงประมาณ 3 เรื่องซึ่งก็ถือว่าเยอะมากนะคะ ช่วงนั้นก็อายุ 20 กว่าๆ ด้วย ก็เลยคิดว่าออกไปพักผ่อนช่วงนึงดีกว่า

คือเล่นละครน่ะไม่ยากหรอก แต่เล่นให้สนุก ยากที่สุดในชีวิต ยากมาก (ลากเสียง) มันต้องทุ่มเทเยอะ เพราะฉะนั้น ช่วงการทำงานของเจมี่ มันจะอยู่ได้ไม่ยาวหรอกค่ะ เพราะมันเป็นการทำงานที่เต็มที่ เราก็ต้องพัก ต้องถอยออกมาบ้าง และอาจจะเป็นเพราะเรื่องข่าวด้วยค่ะ ช่วงนั้นก็มีข่าวไม่ค่อยดีออกมา เกี่ยวกับเรื่องท้อง เป็นยุคแรกๆ เลยที่เขาขายข่าวแบบนี้ แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงลมเปลี่ยนทิศพอดีด้วยค่ะ เหมือนกับกระแสความนิยมมันพัดออกไปจากเรา บวกกับจังหวะของข่าว คนรู้จักก็เข้ามาบอกเราให้เราสู้นะ แต่เราก็คิดว่ามันก็เป็นจังหวะที่ดีเหมือนกัน ที่เราจะได้พักบ้าง

เหมือนที่น้าเน็ก (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) พูดน่ะค่ะ คนเราไม่สามารถตื่นแล้วไปทำงานทุกวันได้ เรามีศักยภาพในตัวที่เราใช้มันไปทุกวันๆ ถ้าเราไม่หยุดแล้วก็เติมมันบ้าง เราก็จะเป็นคนที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ซึ่งลักษณะการทำงานของเจมี่มันไม่ใช่แบบนั้นไงคะ ไม่ใช่การทำงานแล้วได้เงินไปวันๆ มันเป็นการทำงานที่ใช้สปิริตสูงอยู่เหมือนกัน

คือตอนนั้น เราไม่ได้เบื่อวงการหรอก แต่รู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยมากกว่า เพราะเจมี่ทำงานตั้งแต่อายุ 14 ไงคะ อยู่แต่กับกองถ่าย บางทีก็รู้สึกว่าอยากทำอันนู้นบ้าง อันนี้บ้าง แต่เราไม่เคยได้ทำเลย อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากไปทำบุญช่วยเหลือคนด้อยโอกาส อะไรประมาณนี้ เราก็มีความฝันของเราอยู่ ช่วงที่หายไปทั้งหมด เราก็ได้ทำทุกอย่างเต็มสตรีมเลยค่ะ ใช้ชีวิตเต็มที่มาก”




ภาพลักษณ์ขัด ธรรมะธัมโม...


พิจารณาจากภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสังคมทุกวันนี้ หลายคนจึงอาจจะไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเจมี่เป็นคนใจบุญและอยู่กับแวดวงธรรมะมานานพอสมควร แถมยังเป็น “ทูตพุทธชยันตี” มาตั้งแต่ปี 2555 แล้ว

“ตัวเจมี่เอง ทำบุญ-เข้าวัด ปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้วค่ะ แต่จริงๆ แล้ว ครอบครัวเจมี่เป็นคาทอลิกนะ เคยรับศีลล้างบาปเหมือนที่เขารับกัน แต่พออายุประมาณ 18-19 ปี มีคนมาอ่านพระไตรปิฎกให้ฟัง เราเลยเริ่มศึกษาแล้วก็รู้สึกว่าองค์ความรู้มันจะเยอะมาก สอนเรื่องกรรม เหตุและผล ซึ่งอีกด้านหนึ่ง ศาสนาคริสต์ เขาจะสอนเรื่องความรัก-ความศรัทธามากกว่า พอเรามาเจอตรงนี้ ก็เลยรู้สึกว่าเราสนใจ เราอยากรู้ พอได้ไปทำบุญ-กรวดน้ำ แล้วก็เห็นความมหัศจรรย์ในศาสนาพุทธหลายๆ อย่าง ก็เลยมานับถือศาสนาพุทธ

ตอนที่เรานับถือคริสต์คาทอลิก ถือว่าใกล้ชิดกับพระเจ้ามาก สวดมนต์ทุกคืนเลย ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ เจมี่ก็เลยคิดว่าถ้าทางนี้เป็นสิ่งที่ดี พระเยซูก็ต้องอนุญาตเรา เราก็เลยสวดขอเลยค่ะ บอกท่านว่ารู้สึกว่าวันนี้ศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้น ขอให้ที่บ้านไม่มีปัญหา ไม่มีใครว่าอะไร ขอให้ท่านยินดีกับเรา สุดท้ายที่บ้านก็ไม่ว่าอะไรค่ะ จนถึงทุกวันนี้ เจมี่ก็ยังรักพระเยซูอยู่นะคะ ยังรู้สึกศรัทธาในทั้ง 2 ศาสนา เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้ไปโบสถ์แล้ว

นอกจากเข้าวัดทำบุญแล้ว เธอยังชอบทำทานอีกด้วย มีทั้งเด็ก คนด้อยโอกาส และโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เธอมักจะเข้าไปช่วยเหลือเป็นประจำ “เจมี่ชอบทำบุญกับผู้สูงอายุค่ะ เพราะเจมี่ว่าคนแก่เขาเคยผ่านชีวิตมาช่วงนึง และช่วงนี้เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว จิตใจจะต้องการการดูแลสูง ตอนนี้ก็มีพระอาจารย์ท่านตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนแก่ ไปดูตามบ้านเลยค่ะ มีไปปัดกวาดเช็ดถู ระดมทุนไปช่วยเขา ช่วยทำบ้านให้ใหม่ เขาก็ได้ใจชื้นขึ้น”


ถึงแม้จะรู้ดีว่า การออกมาพูดถึงเรื่องนี้จะดูขัดกับภาพลักษณ์ที่เห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน และอาจเสี่ยงต่อการถูกด่าหาว่า “สร้างภาพ” แต่เจมี่ก็มองอย่างเข้าใจ ได้แต่ยิ้มแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

การที่เราทำบุญ มันเป็นความชอบส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา เราไม่สามารถเอาความคิดเห็นส่วนตัวไปยัดเยียดให้เขายอมรับเราได้ ฉันเป็นอย่างนี้ ฉันดีอ่ะ เธอยอมรับฉันสิ มันไม่ใช่ แต่งานที่ออกมาอย่างที่เห็น มันเกิดจากการทำงานในวงการค่ะ เราทำงานตรงนี้ เราก็ต้องมีจุดขายที่เขาอยากจะซื้อ เราต้องเป็นในสิ่งที่เขาอยากจะเห็นเรา เพราะฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกันนะ

เรื่องทำบุญ มันเป็นความชอบส่วนตัว เป็นชีวิตส่วนตัวของเจมี่ แต่เวลาทำงาน เจมี่ต้องเป็นในสิ่งที่เขาอยากให้เป็น เราต้องทำให้ถูกหน้าที่ เจมี่คิดว่าอย่างนี้มันคือธรรมะนะ เราทำธรรมะของวงการบันเทิงให้ เพราะถ้าเราไปนุ่งขาวห่มขาว แต่งเรียบร้อยตลอดเวลา เราก็จะไม่มีจุดสนใจ เราก็จะไม่สามารถจะอยู่รอดได้”




แมนๆ สไตล์ “อเมริกัน-จีน”


ที่เห็นว่าดูตรงๆ แมนๆ ถึงลูกถึงคนขนาดนี้ เป็นเพราะเจมี่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่สปอยล์ ด้วยเชื้อ “อเมริกัน” จากคุณพ่อ และ “จีน” จากคุณแม่ ทำให้เป็นเด็กที่ไม่งอแงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“คนจีนเขาจะขยันน่ะค่ะ ที่บ้านจะขยันมาก สอนให้เราอดทน ให้ยืนด้วยตัวเอง อันนี้จะคล้ายๆ กับคนอเมริกันค่ะ สอนเรื่องการพึ่งพาตัวเอง เทียบกับเด็กไทย อาจจะมีพ่อแม่ประคบประหงมมากกว่า แต่เจมี่จะไม่โตมาแบบนั้นค่ะ ต้องทำทุกอย่างเองให้ได้

จำได้ว่าตอนเล็กๆ เรามีพี่เลี้ยงนะคะ แต่ตื่นขึ้นมาเราจะต้องเก็บเตียงเอง เล่นแล้วก็ต้องเก็บของเล่นเอง อยู่ประมาณ ป.1-ป.2 ก็ต้องทำเองแล้วค่ะ ตอนอนุบาลก็ต้องใส่ชุดไปโรงเรียนเองด้วย ไม่มีประคบประหงม คือเขาก็มีโอ๋เราบ้างนะคะ โอ๋ในเรื่องความรู้สึก แต่เรื่องการช่วยเหลือตัวเอง เขาจะฝึกเรามาก จะให้เราทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่สปอยล์”

ถึงแม้จะโตมาแบบ 3 สาวพี่น้อง โดยมีเจมี่เป็นลูกคนกลาง แต่ลูกทุกคนก็ไม่เคยถูกเลี้ยงให้ใช้ชีวิตอย่างเจ้าหญิง แต่ต้องทำงานหาเงินเองตั้งแต่ยังเด็กๆ จึงทำให้ทั้ง 3 คนเคยอยู่ในตำแหน่ง “คนหน้ากล้อง” ในวงการบันเทิงมาหมดแล้ว

“ตอนเรียนมหาวิทยาลัย พี่สาวเจมี่ก็มีเล่นละครอยู่นะคะเรื่อง 2 เรื่อง แล้วก็ถ่ายแบบบ้าง น้องคนเล็กก็เคยเล่นละครค่ะ อาจจะเพราะความเป็นลูกครึ่งด้วยมั้งคะ ย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว ลูกครึ่งฮิตนะ พอไปที่กองถ่ายแล้วคนเห็น เขาก็ชวนให้พวกเราไปลองมาเล่นละครดู ก็เลยได้เล่นกัน แต่ตอนนี้ทั้งพี่ทั้งน้องก็แต่งงานมีลูก เป็นแม่บ้านกันไปหมดแล้วค่ะ (ยิ้ม)”

พิจารณาจากหลายๆ อย่างที่ประกอบเป็นตัวเธอ ทำให้พอจะเดาได้แล้วว่าเหตุใดเจมี่จึงเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมาค่อนข้างมาก เหตุผลหนึ่งในนั้นคือ ความเป็น “ลูกคนกลาง” ของเธอนั่นเอง ทำให้กลายเป็นคนแฟร์ๆ ไปโดยปริยาย

“ข้อดีก็คือ ทำให้เราเป็นคนที่ปรับตัวได้สูงมาก และเรารู้จักการให้มากเลยจากการเป็นลูกคนกลาง ยืดหยุ่นได้ เพราะการเป็นลูกคนกลาง เป็นอะไรที่ต้องยอมตลอดค่ะ คำว่า “ให้พี่เขาไปเถอะ, ให้น้องเขาไปเถอะ” จะได้ยินบ่อยมากค่ะ จนเราชินไปเลย ทำให้มีอะไรก็ต้องให้คนอื่นก่อน”

ส่วนเหตุผลอีกข้อหนึ่ง อาจเป็นเพราะพ่อแม่ของเธอแยกทางกันตั้งแต่ยังอยู่อนุบาล จึงทำให้ลูกๆ ต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองช่วยคุณแม่ บวกกับนิสัยคุณแม่ที่ไม่นิยมพร่ำสอนทางคำพูด แต่ชอบแสดงให้เห็นมากกว่า

“เวลาสอน คุณแม่จะไม่ค่อยมานั่งสอนเป็นคำๆ นะคะ แต่เขาจะแสดงออกมาเป็นท่าทีมากกว่าค่ะ อย่างจะมี React ให้เห็นเลยว่าไม่ชอบ เวลาเราทำนิสัยเสียๆ อะไรบางอย่าง เช่น เขาจะไม่ชอบให้เราดูถูกคนอื่น คือแค่เห็นเราเดินผ่านผู้ใหญ่โดยที่ไม่ก้มหลัง จะเป็นความผิดร้ายแรงมาก ถือเป็นการไม่เคารพคนอื่น ถึงจะเป็นแม่บ้านหรือคนรับใช้ คุณแม่จะห้ามไม่ให้ไปสั่งเขาเลยค่ะ เพราะถือว่าเขาโตกว่า ถือเป็นเรื่องใหญ่มากนะ ขนาดตอนที่เคยขโมยเงินแม่ไปซื้อขนม ยังไม่รุนแรงเท่ากับเรื่องไม่ให้เกียรติคนอื่นเลย

บ้านเจมี่ ความผิดเล็กๆ น้อยๆ จะลงโทษแรงนะ แต่จะไม่ใช้วิธีตี แต่จะเป็นการลงโทษทางความรู้สึก อาจจะไม่คุยด้วยไปกี่วันๆ หรือมองด้วยสายตาแบบสุดจะทน ให้เรารู้สึกเจ็บปวดมาก เพื่อให้รู้ว่าเขาโกรธเรามากนะที่เราทำแบบนั้น ทำให้เราไม่กล้าทำอีก แต่เรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น โดดเรียน คุณแม่กลับมองว่าเป็นเรื่องเล็กมาก ด้วยความที่เขาเข้าใจด้วยมั้งคะว่าเป็นวัยรุ่น เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีบ้าง ก็จะลงโทษเบากว่าเรื่องที่เราทำนิสัยไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวใส่คนอื่นค่ะ”




“ด้านมืด” ของศิลปิน


ทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้หลายคนมองว่าเจมี่เปลี่ยนไป ส่วนเจมี่เองก็มองว่าวงการมายาแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน

“วงการบันเทิงเปลี่ยนแปลงเยอะมากเลยค่ะ มันพัฒนาขึ้นนะ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยซ้ำจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วัฒนธรรมก็เปลี่ยนไป สิ่งที่สื่อมวลชนต้องการก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนจะเป็นพี่ๆ น้องๆ กันมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นเรื่องของกระแสมากขึ้น ดู Inter มากขึ้นค่ะ คือเมื่อก่อนข่าวที่เกิดขึ้น จะมีแค่ ดารากับนักข่าว และประเด็นที่เกี่ยวข้อง แค่นั้นจบเลย แต่เดี๋ยวนี้จะมีเรื่อง Brand Name มีเรื่องของลุค เรื่องภาพลักษณ์เข้ามาเยอะมาก อะไรแบบนี้ ถามว่ามันดีมั้ย เจมี่ก็ว่าดีนะ ถือเป็นการพัฒนาไปอีกจุดนึง ซึ่งมันทำให้วงการนี้มีสีสันที่หลากหลายมากขึ้น”

ถามว่าถ้าเปรียบตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการเติม “สีสันของวงการ” เธอจะเป็นสีอะไร? คนถูกถามไม่กล้าตอบเอง ได้แต่ถามกลับแบบขี้เล่นๆ เอาไว้ว่า “นี่ผู้จัดการใช่มั้ย สีเหลืองก็ได้ค่ะ (ยิ้มขี้เล่น) เป็นสีอะไรเหรอ? ไม่กล้าคิดเลย ขอให้คำถามนี้ตกไปอยู่กับพี่ๆ สื่อมวลชนดีกว่าว่าคิดกับเรายังไง เราไม่กล้าคิดเลยค่ะเพราะตอนนี้กระแสมันแรงมาก”

จากเป็นคนพูดอย่างที่คิด ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจมี่จะคิดในแทบจะทุกคำพูดมากๆ หลังจากถูกกระแสสังคมอย่างหนัก ในฐานะที่เป็นคนตรงๆ มาโดยตลอด อยากรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยรับกับความตรงไปตรงมาไม่ค่อยได้ เจมี่กวาดสายตาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบกลับมาอย่างคนเข้าใจโลก


“ไม่ใช่หรอก เจมี่ว่าทุกคนต้องการสิ่งที่กลั่นกรองมาแล้วมากกว่า ถามว่าคนที่ชอบคนพูดตรงๆ มันมีมั้ย มันมีนะ เพียงแต่เขาเสียงไม่ดังเท่านั้นเอง คือการพูดในสิ่งที่ควรจะพูด มันก็เซฟตัวเองอยู่แล้วล่ะ แต่มันไม่มีสีสัน แต่บางทีเจมี่มีความรู้สึกว่า การพูดตรงๆ มันเป็นคาแรกเตอร์อีกแบบนึงของเรามากกว่า แต่บางคนเขาอาจจะไม่ชอบ

เจมี่ไม่รู้นะว่า ต่อไปเจมี่จะได้ทำงานอะไรบ้างและจะมีภาพพจน์ออกไปยังไง แต่เจมี่อยากเป็นคนที่ประชาชนรัก เจมี่รู้แค่นี้อย่างเดียว ชัดเจนเลย อยากเป็นคนที่นั่งอยู่ในใจประชาชนเลย อยากเป็นคนที่คนไทยรักค่ะ”

แต่ถ้าคนไทยคนไหนจะไม่ยอมเปิดใจ ไม่อยากรักเธอแล้ว เธอก็ได้แต่บอกว่า “ก็ไม่เป็นไรค่ะ จะด่าจะว่าเจมี่ ก็ถือเป็นทัศนคติของเขา และจะว่าอะไรมา เราก็รับฟังนะ เราก็อยากจะบอกว่าเราก็แคร์เขาค่ะ ตอนนี้ก็พยายามปรับปรุงค่ะ คือถ้าเราผิดจริง เราก็ต้องยอมรับ อย่าตะแบงว่าไม่ผิด มันไม่ได้หรอก มันไม่แมน”

เจมี่บอกว่า เธอเป็น “ผู้ชายในร่างผู้หญิง” จิตใจเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนที่แมนมากๆ จึงทำให้เธอมีท่าทีเฮ้วๆ และพูดตรงๆ มันๆ อย่างที่เห็น แต่เมื่ออยู่กับคนที่เรียกว่าแฟน เธอก็จะกลายเป็นน้องแมวขี้อ้อนในทันที ผิดตรงที่ตอนนี้เธอไม่มีเจ้าของหัวใจ เพราะเพิ่งเลิกรากับคนรักเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง


ตั้งแต่เริ่มบทสนทนาจนการพูดคุยกำลังจะจบลง รับรู้ได้ว่าเจมี่มีหลากหลายแง่มุมในตัว ทั้งเป็นคนตรงไปตรงมา, เป็น Sexy Star และยังมีมุมธรรมะธัมโมอยู่ในตัวอีกด้วย ยังมีมุมไหนของอีกไหมที่คนทั่วไปยังไม่รู้จัก? เธอได้แต่นิ่งคิดอยู่พักใหญ่ๆ แล้วถามกลับว่า มุมที่คนคิดว่ารู้จักเธอ เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของความเป็นเธอจริงๆ “เจมี่ว่า สิ่งที่เจมี่เป็น เป็นเรื่องที่คนใกล้ชิดเราจะได้รู้จัก แต่สิ่งที่เราเป็นในเรื่องงาน เวลาเรารับงานมา เราต้องเป็นในสิ่งที่เขาอยากให้เป็น และเป็นเต็มร้อยด้วย เพราะเขาจ้างเรา เรารับเงินเขา เราจะมาบอกว่าฉันไม่ทำนะ มันไม่ได้

แต่ที่แน่ๆ คือเธอเป็นคนมี “ด้านมืด” อยู่ในตัว อย่างที่ศิลปิน-คนในวงการเป็นกัน และนี่คือเหตุผลที่เธอไม่คิดจะคบคนในวงการด้วยกันอีกเลย

“ศิลปินมันจะมีด้านมืดไงคะ จะมีมุมมืดๆ ไม่มีเหตุไม่มีผล คือบางทีเราก็เจ้าอารมณ์นะ เป็นเพราะเราต้องใช้อารมณ์เยอะ เมื่อก่อนเล่นละครด้วย เลยจะไม่ค่อยมีเหตุผล พอมารับงานพิธีกร ชีวิตเปลี่ยนไปเลยนะ จะคิดเป็นสเต็ปๆ มากกว่าเดิม แล้วชีวิตจะราบเรียบ ตอนนี้ก็พยายามอยู่กึ่งๆ ค่ะ ไม่สุดขั้วแบบเมื่อก่อน เมื่อก่อนจะสุดติ่งกระดิ่งแมวมาก

พูดถึงเรื่องมุมมืด บางทีเพื่อนก็จะอึ้งๆ กับความตรงๆ ของเจมี่เหมือนกันนะ ส่วนใหญ่จะมีแต่เพื่อนกะเทยค่ะ และบางทีเราก็มีสะบัดบ๊อบใส่คนอื่นได้เหมือนกัน เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง...สูงมาก บางทีมั่นใจเกินไปด้วยค่ะว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะถูกต้อง พวกเธอแหละคิดผิด ฉันน่ะถูก (น้ำเสียงขี้เล่น) เป็นคนแบบเนี้ย! ที่คนรู้จักเราทุกวันนี้ 20 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นเราจริงๆ ไม่รู้ถึงหรือเปล่า?




ภาพ: ปวริศร์ แพงราช
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพบางส่วน: IG “jaymebooher”
ขอบคุณสถานที่: ร้าน 2FOR Bisto Bar



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754


กำลังโหลดความคิดเห็น