xs
xsm
sm
md
lg

คืนชีพ “การ์ตูนไทย” ในโลกออน “ไลน์” (LINE)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ตาย” คืออนาคตที่หลายคนวางเอาไว้ให้กับอะไรก็ตามที่อยู่บนแผงหนังสือ ซึ่งเหมารวมถึง “การ์ตูนไทย” เล่มละไม่กี่บาทด้วย เพราะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่รอดในยุคดิจิตอล และนี่คือบทพิสูจน์ว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน เพราะนอกจากจะ “อยู่รอด” แล้ว ยังอยู่แบบ “Top Form” ในโลกออนไลน์อีกด้วย!




ฮา-เกรียน-แสบ จนติด “Top 5”



ลายเส้นไทย ติดอันดับ Sticker Line ยอดนิยม

“ขายหัวเราะ” และ “หนูหิ่น ” คือ Sticker Line ลายเส้นไทยที่ฮอตฮิตที่สุดในหมู่คนเล่นโปรแกรมแชตผ่านมือถือที่ชื่อว่า “Line” ลองเข้าไปดูยอดดาวน์โหลดตัวการ์ตูนที่ใช้ส่งข้อความถึงกัน จะเห็นว่าที่ได้อยู่บน “Sticker Shop” ติดอันดับ Top 5 คือ การ์ตูน “หนูหิ่น (Noo-Hin)” ซึ่งได้รับความนิยมมากจนติดอันดับ 2, รองลงมาคือ “ขายหัวเราะ (KaiHuaRoh)” ที่ฮาจนได้อันดับ 4 และ “บ่นบ่น (Bonbonmonja's Daily Life)” เป็นการ์ตูนลายเส้นไทยอีกเพียงรายเดียวที่ติด 1 ใน 5 Sticker Line ซึ่งมียอดดาวน์โหลดสูงสุด จนคว้าอันดับ 5 ไปครอง นอกนั้นเป็นลายเส้นการ์ตูนจากสัญชาติอื่นทั้งหมด

เห็นไหมว่าน่าภาคภูมิใจแค่ไหนที่ลายเส้นการ์ตูนไทยที่หลายคนคุ้นเคยมาแต่อดีต เมื่อครั้งยังเปิดอ่านคลายเครียดในเวอร์ชั่นหนังสือเล่ม “ขายหัวเราะ” ในราคาเพียง 15 บาท ได้ขึ้นมาผงาดอยู่ในโปรแกรมแชตยอดนิยมอย่างสง่างาม ถึงแม้ว่าการจัดอันดับดังกล่าวจะเป็นการวัดจากยอดดาวน์โหลดภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่ผลที่ออกมาก็สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังเห็นค่าของการ์ตูนไทยว่า “มีเสน่ห์” และยังไม่ถึงเวลาที่จะปล่อยให้ลายเส้นน่ารักๆ เหล่านี้ค่อยๆ สูญหายและตายไปกับกาลเวลา

ทีม Creative เราก็ทำงานหนักมากครับ เราทำงานภายใต้ 2 หัวข้อ หัวข้อแรกคือ คิดว่าถ้าจะออก Sticker ให้ปรากฏอยู่ใน Sticker Shop ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องถูกเปรียบเทียบและต้องแข่งขันกับ Sticker ของต่างชาติ ซึ่งของเขาก็มีแต่ตัวที่ดังๆ เอ่ยชื่อมาคนก็รู้จักหมด เพราะฉะนั้น เราก็ต้องมีความเป็นตัวของตัวเองมาก ก็เลยต้องมีสไตล์ที่ชัดมาก ต้องมีล้อเลียน ขำๆ เฮฮาบ้าง มีมุกตลกที่มีอยู่รอบตัวเรา เป็นของท้องถิ่นมาใช้ มีขี่มอเตอร์ไซค์, มีคอนเซ็ปต์เมียหลวงกับสามี, เรื่อง บก.ตามต้นฉบับ, เรื่องติดเกาะ, โจรมุมตึก ฯลฯ เป็นมุกตลกสไตล์ขายหัวเราะเลยครับ



"ขายหัวเราะ" Sticker ลายเส้นจัด มุกเยอะ โดนใจคนไทยผู้ใช้ไลน์

อีกหัวข้อคือ คิดจากว่าในแต่ละวัน คนที่ใช้ Line เขาจะใช้ตัว Sticker ในอารมณ์ไหนบ้าง อย่างเช่น ตื่นแต่เช้า ก็อาจจะมี Good Morning ก็เอา 2 หัวข้อมาคิดรวมกัน ทำออกมาเยอะมากครับ น่าจะ 60-70 แบบ แล้วก็มาคัดออกให้เหลือ 40 แบบ ให้มี 40 แอ็คใน Sticker 1 ชุด เน้นให้สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ยังคงความเป็นขายหัวเราะอยู่ และคิดว่าแฟนๆ ชาวไทยน่าจะชอบ ซึ่งผลตอบรับก็ดีเกินความคาดหมาย

ตอนแรกที่ออกเป็น Sticker มา เรามองว่าเดือนแรก ให้ได้สัก 2-3 แสนดาวน์โหลดก็จะดี แต่ปรากฏว่าผ่านไป 5 วันแรก Line ก็โทร.มาบอกว่าถึงแสนละนะ เราก็ตกใจเหมือนกันว่าทำไมคนถึงนิยมลายเส้นการ์ตูนไทยกันขนาดนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะคนคิดถึงลายเส้นแบบไทยๆ ด้วย” สันติ เลาหบูรณะกิจ กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป และรองกรรมการผู้จัดการบริษัทวิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด เผยเบื้องหลังความฮอตฮิตของการ์ตูน “หนูหิ่น” และ “ขายหัวเราะ” การ์ตูนลายเส้นไทยในเครือให้ฟังอย่างละเอียด




ถ้าอยากดัง on LINE...
สาเหตุที่ลายเส้น “เก่า” ในเครือขายหัวเราะ กลับมา “เก๋า” ได้อีกครั้ง เป็นเพราะทีมงานรู้จักดึงจุดขายจากหน้ากระดาษเดิมๆ ออกมาสู่โลกออนไลน์ จนมาฮอตฮิตอยู่ในโลกของไลน์ (LINE) อย่างที่เป็นอยู่ หากลองกวาดตามองดู Social Media ทุกวันนี้ จะเห็นว่ายังมีตัวการ์ตูนน่ารักๆ จากนักวาดอีกเยอะแยะที่รอวันถูกค้นพบ ในฐานะที่เป็นฝ่าย Creative คอยดูแลและพัฒนาคาแร็กเตอร์การ์ตูนในเครือมานาน “นิว-พิมพ์พิชา อุตสาหจิต” ลูกสาว บก.วิธิต เจ้าของสำนักพิมพ์ และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัท บันลือ พับลิเคชั่นส์ จำกัด จึงขอแนะนำจากประสบการณ์ฝากนักวาดเส้นเอาไว้

“จริงๆ แล้วนักเขียนไทยมีศักยภาพเยอะมาก สามารถนำตัวการ์ตูนมาต่อยอดได้หลายแบบ แต่บางทีตัวนักเขียนเองอาจจะยังไม่มีประสบการณ์ในการจัดการกับคาแร็กเตอร์ให้มันมีอายุยืนยาว คือบางคนอาจจะวาดสวยแต่ไม่ได้ Creative มาก นี่แหละเป็นสาเหตุที่เรา ในฐานะสำนักพิมพ์ที่ต้องช่วยรักษาตัวคาแร็กเตอร์ ในยุคที่ Platform มันมีมากขึ้น เราก็ต้องมีคนขัดเกลาตัวการ์ตูน มีคนช่วยรวบรวม Content ทั้งในรูปของสิ่งพิมพ์และโลกดิจิตอล

ตอนนี้การแข่งขันในโลกของคาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนค่อนข้างสูง ด้วยความที่ช่องทางในการสื่อสารมันเพิ่มขึ้น มันเลยทำให้นักเขียนสามารถแสดงออกได้หลายช่องทาง อย่างในเฟซบุ๊ก คาแร็กเตอร์ออกมาทีนึงเป็นหลายร้อยตัว คนที่จะอยู่รอดได้ก็คือคนที่รู้จักสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง ให้เป็นที่จดจำ-โดดเด่นจากคนอื่น มีระบบการจัดการกับคาแร็กเตอร์ของตัวเองให้ดี

อย่างตอนนี้ก็มีนักวาดการ์ตูนหลายคนที่ตั้งแฟนเพจขึ้นมาและมีคนตามมากด Like จนยอดถล่มทลาย เป็นหมื่นเป็นแสนรายในเฟซบุ๊ก ซึ่งถือว่าโด่งดังมากในโลกออนไลน์ แต่ที่ยังไม่ได้มาอยู่ในโลกของ LINE อาจเป็นเพราะมันตอบสนองฟังก์ชั่นที่ต่างกัน

ถ้าในแง่ของการเอาตัวการ์ตูนมาทำเป็น Sticker ทาง LINE เขาน่าจะดูเรื่องความเหมาะสมในการเอามาทำน่ะค่ะ เพราะคาแร็กเตอร์บนเพจเฟซบุ๊กบางตัว มีคนกด Like เยอะ แต่อาจจะไม่ได้เหมาะที่จะเอามาทำ Sticker เพราะฟังก์ชั่นในการสื่ออารมณ์ด้านรูปภาพไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น หรืออย่างบางคน คาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนของเขาไม่ได้น่ารัก แต่ยอดเพจเขาเยอะ เพราะมุกที่เขาเขียนไว้มันน่ารัก

เท่าที่สังเกตดู ส่วนตัวคิดว่าคาแร็กเตอร์ที่ดังๆ ในเฟซบุ๊กจะดังได้จาก 2 แบบคือ แบบแรก “คาแร็กเตอร์น่ารัก” กับอีกแบบคือ “มุกดี” เพราะบางคนเขาอาจจะวาดด้วยลายเส้นคร่าวๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้ผ่านมาตรฐานการเป็น Sticker แต่คนตามเขาเพราะไอเดียเขาดี เขาพูดคำแต่ละคำแล้วคนต้องฟัง มันก็มีหลายแบบ อย่างถ้าเป็นของขายหัวเราะก็จะเน้นความฮา หรือบางคนอาจจะเน้นความน่ารักกุ๊กกิ๊ก มันมีหลายแบบ แต่แค่ทุกคนต้องหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ”

“Bonbonmonja's Daily Life” ตัวการ์ตูนเด็กหญิงมวยผม พร้อมท่าทางเปิ่นๆ กับกระต่ายน้อย คือลายเส้นการ์ตูนไทยยอดนิยมอีกตัวนึงที่น่าจะตอบโจทย์นักวาดที่สนใจแปลง “ลายเส้น” ให้เป็น “เม็ดเงิน” บนโลกออนไลน์ได้ เพราะคนวาดเป็นเพียงเด็กผู้หญิงวัย 20 ต้นๆ ที่ตั้งแฟนเพจ “บ่นบ่น” (www.facebook.com/bonbonmonja) ขึ้นมาจากความชอบ จนได้ยอดไลค์ถล่มทลายหลายแสนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดึงดูดให้สำนักพิมพ์ชวนไปเปิดพ็อกเก็ตบุ๊ก และได้รับคำเชิญจาก LINE ให้ไปสร้าง Sticker ในนั้น จนยอดโหลดติดอันดับ 1 แซงหน้าการ์ตูนสัญชาติอเมริกา-ญี่ปุ่น-เกาหลีมาแล้ว (ขณะนี้อยู่ในอันดับที่ 5)



บ่นบ่น การ์ตูนลายเส้นไทยที่ฮอตฮิตติด Top 5

“ที่ผ่านมามีคนติดต่อเข้ามาเยอะ ทาง LINE จะเลือกจากฐานแฟนเพจ ต้องเป็นการ์ตูนที่มีคนติดตามเยอะพอสมควร และต้องเป็นการ์ตูนที่ต้องมี Content ที่ดี เนื่องจากเวลาไปขายบน Sticker Shop ต้องแข่งขันกับการ์ตูนจากค่ายดังๆ อย่างวอลท์ ดิสนีย์ จึงต้องมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกพอสมควรวารดี วสนานนท์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ไลน์ (LINE) ประเทศไทย เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้กับทางนิตยสาร “Positioning”




เตรียมลายเส้นไทย “โกอินเตอร์”!?!
“ราคา” น่าจะเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยให้ Sticker ลายเส้นไทยฝ่าสัญชาติอื่นขึ้นไปอยู่ในระดับ Top 5 ได้ เพราะส่วนใหญ่แล้ว Sticker ใน LINE จะสนนราคาอยู่ที่ 1.99 เหรียญ หรือประมาณ 60 กว่าบาท แต่สำหรับลายเส้นของไทย จะถูกกว่าเท่าตัว คือคิดราคาเพียง 0.99 เหรียญ หรือประมาณ 30 กว่าบาทเท่านั้น

“เราไม่ได้เน้นกำไรอยู่แล้วครับ เราแค่อยากให้คนได้ใกล้ชิดกับคนอ่าน ตัวการ์ตูนของเรา มี 40 แอ็ค โหลดไปแล้วไม่มีวันหมดอายุ ใช้ได้ตลอดชีพ เพราะวัตถุประสงค์ของขายหัวเราะคือ เราอยากอยู่คู่กับสังคมไทย เป็นความฮาสามัญประจำบ้าน จากแต่ก่อนเราอยู่ในหนังสือ แต่พอสังคมเปลี่ยนไป เริ่มใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ใช้ Line กันมากขึ้น เราก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องรายได้อะไรมากมาย แต่แค่ต้องการอยากจะอยู่ใกล้ๆ เขาครับ” สันติ เลาหบูรณะกิจ กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป บอกเล่าด้วยรอยยิ้ม

และในอนาคต ลายเส้นตลกโปกฮาของขายหัวเราะอาจไม่ได้เป็นแค่ “ยาสามัญประจำครอบครัวไทย” แต่อาจกระโดดข้ามไปเป็น “ยาสร้างยิ้มให้กับคนเล่น LINE ทั่วโลก” ได้อีกด้วย



Sticker เอกลักษณ์ของ Line ที่หลายคนหลงรักทั่วโลก

มีคุยเอาไว้เหมือนกันครับกับทาง LINE เรื่องไปตลาดโลก ถ้าต่อไป Sticker ของเราจะเปิดให้ดาวน์โหลดทั่วโลกด้วย เราก็น่าจะสู้ Sticker ของต่างชาติได้นะครับ เรื่องมุกก็น่าจะเอาไปขายได้ เพราะมุกที่เราใส่ลงไปใน Sticker ก็ไม่ใช่มุกไทยจ๋าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้นนะครับว่าจะต้องติดยอดดาวน์โหลดยอดนิยมระดับโลก ผมว่าเราน่าจะเป็นตัวเลือกนึงของการใช้ Sticker มากกว่า

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็มองว่าลายเส้นการ์ตูนไทยก็มีเสน่ห์นะ ผมว่าคนต่างชาติก็รู้จักคนไทยอยู่แล้วว่าเราอารมณ์ดีและเป็นมิตร ก็เลยคิดว่าน่าจะมีคนสนใจ Sticker ของเราเยอะจากมุกตลกขำขันในแบบที่ไม่เหมือนใคร แต่ตอนนี้อาจจะต้องมาดูเรื่องเทคนิกก่อน อาจจะต้องไปแก้ไขให้เปลี่ยนจากโหลดได้เฉพาะในไทย ให้โหลดได้ทั่วโลกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทาง Line เขาต้องไปเคลียร์กันเองก่อนครับ”

เผื่อจะเห็นภาพชัดมากขึ้นว่าการ์ตูนไทยโดดเด้งออกมาจากลายเส้นสัญชาติอื่นอย่างไร “นิว-พิมพ์พิชา” ลูกสาว บก.วิธิต เจ้าของสำนักพิมพ์ จึงขอยกตัวอย่าง Sticker ที่ได้รับความนิยมสูงสุดติดอันดับ 2 ที่ได้รับการดาวน์โหลดมากที่สุดในขณะนี้อย่าง “หนูหิ่น” เสียเลย

“จุดขายของการคิดเราคือ บุคลิกของหนูหิ่นที่จะเปิ่นๆ ฮาๆ และความเป็นอีสาน เพราะ Sticker ตามท้องตลาดในช่วงแรกที่เราออกมาทำ ยังไม่ค่อยมีตัวที่เน้นฮาอ่ะค่ะ จะเน้นน่ารักคิกขุสไตล์เกาหลี-ญี่ปุ่น พอเราเปิดด้วยสไตล์ฮา-เกรียน-แสบ คนเลยชอบ

หนูหิ่นจะมีความฮาที่ต่างจากการ์ตูนขายหัวเราะตัวอื่นๆ คือหนูหิ่นจะมีความใสซื่อ ความเปิ่น ที่สำคัญคือเอกลักษณ์ความเป็นอีสาน ซึ่งเราก็เชื่อว่าแฟนๆ ชาวอีสานที่รอ Sticker หนูหิ่นเพื่อจะได้ใช้คำที่เจาะกลุ่มเขาเองก็เยอะอยู่เหมือนกัน ทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก คำเด่นๆ ที่เราหยิบเอามาเล่นก็จะเป็นคำทะเล้นๆ ในภาษาอีสาน เช่น “โอเคเด้อ” “แซ่บ” อะไรแบบนี้”



"หนูหิ่น" อีกหนึ่ง Sticker Line ที่ได้ใจคนไทยไปด้วยมุกเกรียนและความฮา

จุดที่สำคัญที่จะประกอบขึ้นเป็น Sticker LINE ที่ดึงดูดคนโหลดได้ก็คือ ต้องประกอบขึ้นมาจาก 2 ขั้นตอน ทั้ง Creative และ Production “เพราะกว่าจะออก Sticker ออกมาชุดนึง เราคิดมาแล้วนะคะว่ามันต้องแอ็กไหนที่จะได้ใช้ แอ็กไหนที่จะไม่ขัดกับไบเบิลของคาแร็กเตอร์เรา แอ็คไหนที่จะไม่ทำให้แบรนด์เราเสีย และในขณะเดียวกัน ฟังก์ชั่นของมันก็ต้องตอบโจทย์แฟนๆ ตอบโจทย์ความต้องการของนักแชตได้ทุกรูปแบบ มันผ่านการขัดเกลามานานมากกว่าจะออกมาชุดนึงได้ ประชุมกันเป็นเดือนๆ นะคะ ประชุมกันทุกอาทิตย์เลย




การ์ตูนไทย ไม่มีวันตาย!
ใช่... การ์ตูนไทยยังไม่ตาย เพราะยังสามารถดิ้นไปได้เรื่อยๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารในยุคดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “ขายหัวเราะ” คือตัวอย่างที่ดีที่สุดแบรนด์หนึ่งที่สามารถงัดตัวการ์ตูนออกมาจากแผ่นกระดาษ แล้วไปโลดแล่นอยู่บนพื้นที่ต่างๆ มากมายอย่างไร้ขีดจำกัด

เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เราทำออกมาเป็น Animation TV เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราทำ E-Book ให้โหลดได้ทางออนไลน์ เมื่อต้นปี เราก็ออก Line ผมว่ามันก็อยู่ทุกที่ครับ ถ้าเห็นสื่ออะไรใหม่ๆ ที่มีอิทธิพลกับคน เราก็จะพยายามตามไป ตอนนี้ถ้าเน้นพูดถึงเรื่องออนไลน์อย่างเดียว ก็จะมีทาง Line, E-Book แล้วก็แฟนเพจบน Facebook เราก็มีกิจกรรมอะไรตามสไตล์ขายหัวเราะ มี Gag of the day บ้าง เอามุกตลก 3 ช่อง/ 1 ช่อง หรือเรื่องสั้นต่างๆ มาแชร์กัน

ทุกวันนี้ ผมว่าความต้องการพื้นฐานของคนเรายังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าสมัยก่อน คนเราก็อาจจะมีแค่สื่อบนแผงหนังสือ ซื้อมาแล้วแบ่งกันอ่าน ตอนนี้โทรศัพท์ก็มีตั้งหลายรุ่น ถูกมาก ทำให้เราต้องปรับตัว ให้บริการทางมือถือและโลกออนไลน์ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราตั้งมั่นว่าจะเป็น “ความฮาสามัญประจำครอบครัวไทย” เราก็ต้องทำตามที่ตั้งเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ตาม

กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป เผยมุมลับๆ เล็กๆ ให้ฟังอีกว่า จริงๆ แล้ว ทางบริษัทไม่ได้ถูก LINE เชิญให้ไปทำ Sticker ตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม แต่ลองผิดลองถูกสู่โลกของ LINE จากโปรแกรมอีกตัวที่ชื่อ “Line Camera” ซึ่งเป็นแอปฯ ที่เอาไว้ใช้ตกแต่งภาพถ่าย พอเห็นว่าผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี จึงชวนให้มาออกแบบการ์ตูนใน Sticker Shop

ในยุคที่เทคโนโลยีไม่นิ่งแบบนี้ การลงทุนบนโลกออนไลน์จึงไม่มีอะไรมั่นคงถาวร บางครั้งอาจเป็นได้แค่กระแสนิยมชั่วครั้งชั่วคราว ถามว่าสำหรับช่องทางการ์ตูนไทยบน Sticker Line แบบนี้ จะเป็นแฟชั่นประเดี๋ยวประด๋าวเหมือนเมื่อครั้งที่ชาวไซเบอร์ยกโขยงกันนิยม “แอปฯ Sticker สิบล้อ” หรือเปล่า และนี่คือคำตอบจาก รองกรรมการผู้จัดการบริษัท วิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด



แอปฯ ที่ฮอตฮิตเป็นเทรนด์บนโลกออนไลน์ได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว

“ผมว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจนนะครับ อย่างแอปฯ Sticker สิบล้อที่ออกมา ผมเรียกว่ามันเป็น “สไตล์” ครับ ซึ่งอะไรที่เป็นสไตล์ มันจะค่อนข้างเป็น “แฟชั่น” มากๆ คือมันจะมีเวลาของมันในการมาและไป แต่อย่าง Sticker ขายหัวเราะ ต่อให้เราไม่ได้ออกเป็น Sticker แต่หนังสือขายหัวเราะก็ยังขายดิบขายดีได้อย่างทุกวันนี้นะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเราจะอยู่จนดินฟ้าทลายนะครับ แต่ผมเชื่อว่ามันก็มีคุณค่าของมันในการอยู่ เพราะมันเป็นมากกว่าคำว่า สไตล์”

ทุกวันนี้นอกจากการปรากฏตัวอยู่ในรูปแบบของ Sticker Line แล้ว ทางสำนักพิมพ์ยังแปลงตัวการ์ตูนไปอยู่ในรูปแบบ E-Book อ่านออนไลน์ได้อีกด้วย ซึ่งยอดโหลดแต่ละเล่มก็ใช่ย่อย ตกอยู่ที่หลายแสนโหลด แต่ถึงอย่างนั้น ทางสำนักพิมพ์ก็ยังไม่ลืมการขายแบบเก่าผ่านแผงหนังสืออยู่ดี

“ถึงแม้ว่าตอนนี้ยอดออนไลน์จะเติบโตขึ้นทุกวันอย่างรวดเร็ว แต่ยังไงก็ยังน้อยกว่าในแผงนะครับ ผมว่าธุรกิจหลัก เรื่องหนังสือบนแผงยังไงก็ขาดไม่ได้ แต่แน่นอนว่าทางดิจิตอล เราก็ยังต้องมีบริการสินค้าใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ เท่าที่ติดตามดูเทรนด์ของเมืองนอกเป็นประจำ เราก็พบว่าการแทนที่ของดิจิตอลจะมากขึ้นนะครับ แต่จะเร็วหรือช้า จะเหลือศูนย์เลยหรือเปล่า ผมว่าก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ตอนนี้สัดส่วนก็ยังไม่ได้เยอะมากครับ แต่ก็ถือว่าโตเร็วและเราก็ไม่ได้ประมาท

ถามว่าการ์ตูนไทยแบบเราจะอยู่รอดไปได้อีกนานมั้ย ผมว่ามันยังตอบสนองความต้องการพื้นฐานของคนนะครับ ไม่ว่าจะมีความเครียดจากเรื่องการงาน การเมือง เศรษฐกิจ เรื่องอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว ตรงนี้ก็ได้เป็นยาระบายความเครียดที่ง่ายและถูกที่สุด เล่มละ 15 บาท เวียนกันอ่านได้ร้อยคน
จากที่เคยศึกษาดู เราพบว่าหนังสือขายหัวเราะ คนที่ซื้อจะเวียนกันอ่านต่อไปได้อีกมากกว่า 20 ครั้ง เพราะฉะนั้น มันเป็นอะไรที่อยู่ใกล้ตัวคน ผมว่าทุกอย่างมันมีคุณค่าในตัวเองครับ เพราะถ้าไม่มีคุณค่า มันก็จะอยู่ได้ไม่นาน


ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล

ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage ของ "ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!


หนูหิ่น ลายเส้นไทยๆ ท่าทีทะเล้น



หลากหลายแอ็คโดนใจ


ขายหัวเราะ การ์ตูนไทย-คาแร็กเตอร์ไทย รายแรกในไลน์


บ่นบ่น การ์ตูนลายเส้นไทย ฮอตฮิตติดอันดับ 5


การ์ตูนไทยในแผงวันนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น