ครอบครัวน้องแก้มเปิดใจขอให้กรณีน้องแก้มเป็นกรณีสุดท้าย บอกร่างทรงเผยน้องแก้มเพิ่งรู้ว่าตัวเองเสียชีวิต ตามแม่กลับบ้าน แถมบอกผ่านร่างทรงว่าคนร้ายไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีคนดูต้นทางด้วย! ครอบครัววอนขอให้จัดการลงโทษคดีข่มขืนด้วยโทษประหารชีวิต!!!
พี่สาวเผยน้องแก้มตามกลับบ้าน
ด้านพี่สาวของน้องแก้ม ซึ่งเดินทางกับน้องแก้มในวันเกิดเหตุได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า
“หนูยังทำใจไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นกว่าวันแรก ตกใจมากที่ไปด้วยกันแท้ๆ นอนห่างกับน้องนิดเดียวแค่ทางเดิน แต่ไม่ได้ยินเสียงน้องเลย รู้ข่าวว่าคนร้ายพยายามเปิดกระจกให้เสียงดัง ทำให้ไม่ได้ยินเสียง หนูโกรธเขามาก คนที่บ้านก็แค้น ถ้าเจอคนร้าย อยากถามว่าน้องไปทำอะไรให้มัน ทำไมต้องมาลงที่น้องหนู ได้ยินว่าคนที่จะมาเป็นพนักงานรถไฟได้ต้องมีการสอบ มีการอบรมอย่างดี มีจรรยาบรรณในการเป็นพนักงาน แต่สุดท้ายพนักงานรถไฟกลับเป็นคนทำ หนูว่าแค่โทษประหารยังน้อยไป เพราะมันไม่พอหรอกที่มันมาทำน้องหนู ถึงขนาดโยนน้องลงไป ทั้งที่ยังไม่ได้ตายตอนนั้น กว่าจะตายก็คงจะเจ็บ และรู้ว่าตัวเองถูกโยนลงจากรถไฟ มันเป็นเรื่องโหดร้ายมากๆ”
ทั้งนี้พี่สาวน้องแก้มยังเผยว่าคนทรงเจ้าที่ครอบครัวนับถือได้บอกว่าน้องแก้มเพิ่งรู้ตัวว่าเสียชีวิต ได้แต่ร่ำไห้เพราะเสียใจ ก่อนจะฝากบอกว่าคนร้ายไม่ได้มีคนเดียว
“ที่บ้านจะเชื่อเรื่องคนทรงเจ้า แล้วมีคนทรงเจ้าที่เรานับถือมาบอกว่าแก้มไปหาเขา คือ แก้มเพิ่งรู้เมื่อวาน (9 ก.ค.)ตอน 6 โมงเช้าว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว พอรู้ตัวว่าตาย เขาก็ร้องไห้เสียใจ พยายามจะมาบอกแม่ว่าเจ็บคอ เจ็บหัว แต่คุยกับใครก็ไม่ได้
“พี่ที่สื่อกับแก้มได้ยังช่วยทำพิธีเปิดทางให้น้องเขาบ้านด้วย เขาบอกว่าตอนนี้แก้มอยู่กับแม่แล้ว เขาแค้นและโกรธคนร้ายมาก แก้มยังฝากบอกมาว่าไม่ใช่มีคนทำคนเดียว มีคนสมรู้ร่วมคิด คอยดูต้นทางด้วย น้องพูดกับเขามาอย่างนี้ และเหมือนว่าพี่คนนี้จะเห็นภาพด้วย แล้วหลายอย่างที่เขาพูดมาก็ตรง เช่น แก้มเป็นคนไม่ค่อยพูด เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ซึ่งก็จริงเพราะปกติเวลาเขาร้องไห้ เขาจะร้องไห้อย่างเดียว จนทุกคนจะสงสารเขาไปหมด คือ นิสัยแก้มเป็นคนไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เถียงแม่ พูดอะไรก็ฟัง เป็นคนขี้กลัว
“หลังจากแก้มเสียไป ไม่มีใครฝันถึงเขาเลย แต่หนูจะได้กลิ่นเขา คือ เป็นกลิ่นเหม็นเดียวกับที่หนูไปกอดน้องในวันที่เจอร่างเขา ได้กลิ่นนี้มาตั้งแต่ให้พระมานิมนต์วิญญาณกลับมาจากปราณบุรี จนมาถึงที่วัดเลย คิดว่าน้องคงตามมา ตอนอยู่ที่บ้านก็ได้กลิ่น ส่วนแม่จะได้กลิ่นน้องอยู่ตลอดเวลา น้องยังฝากบอกร่างทรงให้มาบอกหนูว่า อย่าโทษตัวเอง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น หนูโทษตัวเองว่าทำให้น้องต้องตาย” พี่สาวน้องแก้มเล่า
นอกจากนั้นพี่สาวน้องแก้มยังระบุว่าสาเหตุที่เดินทางไปจังหวัดสุราษฎร์ธานีกับน้องสาวนั้น เพราะคุณยายทักว่าตนเองดวงไม่ดี ต้องเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ แต่ไม่นึกว่าการไปครั้งนี้จะทำให้น้องแก้มต้องได้รับเคราะห์กรรมแบบนี้
“หนูนั่งรถไฟไปสุราษฎร์ฯ กับน้อง เพราะยายไปดูดวงให้ บอกว่าดวงหนูไม่ค่อยดี พ่อหนูที่เสียชีวิตไปแล้วอยากจะเอาไปอยู่ด้วย คุณยายเลยอยากให้ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่สุราษฎร์ฯ หนูเลยไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่นั่น แก้มก็เลยอยากไปด้วย ตอนนั้นแก้มก็เข้าทำพิธีด้วยนะคะ เพราะเกิดวันเดียวกับหนู แต่ไม่คิดว่าจะมาเป็นแบบนี้ พี่ร่างทรงบอกว่าน้องยังไม่หมดอายุขัย แต่เหมือนกรรมมาตัดรอนไป เพราะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา ซึ่งที่บ้านก็เชื่อเรื่องแบบนี้ แม่จึงสบายใจขึ้นมาว่า มันเป็นกรรมของน้อง ไม่วันนี้หรือวันหน้าน้องก็ต้องจากไป”
นอกจากนั้นพี่สาวน้องแก้มยังระบุว่าไม่พอใจที่ตำรวจจัดแถลงข่าวเอาหน้า บอกไม่พอใจวิธีการทำงานของตำรวจและการรถไฟฯ ที่ล่าช้า ไม่แน่ว่าถ้าเจอเร็วกว่านี้ น้องแก้มอาจจะไม่เสียชีวิตก็ได้
“รถไฟขบวนที่หนูไป ห่วยแตกมาก ไม่มีตำรวจเลย ตอนหนูไปแจ้งพนักงานว่าน้องหายไป เขาทำอะไรไม่ได้เลย กว่าจะได้ทำอะไร ก็ต้องรอให้หนูเดินทางถึงสถานีบางซื่อ แล้วให้ลงไปแจ้งความกับตำรวจ ซึ่งยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่มีตำรวจตรงนั้น หนูเลยต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ โอเคว่าตำรวจเป็นคนช่วยติดตามคนร้าย ช่วยสอบสวน แต่เรื่องตามหาน้องแก้ม ไม่ใช่ตำรวจเลย แต่เป็นฝีมือของพี่ๆ มูลนิธิต่างหาก และคนเจอร่างแก้มเป็นพี่ชายหนูที่หาน้องจนเจอ
“ตามที่ข่าวออกมาบอกว่าหนูหักหน้าตำรวจบ้าง ไม่อยากรับเงินแสนที่เขาจะช่วยเหลือบ้าง คือ ยอมรับว่าโกรธตำรวจค่ะ จะว่าตำรวจเอาหน้าก็ถูก ตอนที่ไปตามหาน้องแก้ม แค่ไฟฉายตำรวจยังไม่มีให้เราเลย พี่ชายหนูที่ไปตามหาน้องแก้มต้องการรถไปตามหาน้องข้างทาง แต่เขาก็ไม่มีรถให้ พี่ชายหนูต้องเดินเอาเอง เขาตามหาน้องจนเจอเสื้อผ้า กางเกงน้อง และศพ แต่ละอย่างอยู่ห่างจากกัน 5 โล 18 โล เพราะคนร้ายมันค่อยๆ โยนทิ้ง
“พอพี่ชายและคนมูลนิธิส่งรูปมาให้หนูดูทางไลน์ว่าใช่เสื้อผ้าน้องหรือเปล่า หนูก็ตอบว่าใช่ รู้สึกว่าใกล้เจอน้องเข้ามาแล้ว จะเจอน้องแล้ว แต่ตำรวจบอกว่าอาจจะไม่ใช่เสื้อน้องก็ได้ คือ เขาเบี่ยงเบนไปอย่างนี้ แต่หนูมั่นใจว่าใช่เสื้อน้องหนูแน่นอน เพราะเป็นเสื้อแฮนด์เมกที่หนูทำเองกับมือ ไปทำที่สวนจตุจักรมา ฉะนั้นมันมีตัวเดียวแน่นอน ความจริงมันเป็นเสื้อของหนูเอง แล้วแก้มเอาไปใส่
“แล้วตำรวจยังทำงานช้ามาก พอพี่ชายหรือหนูพูดอะไร เขาจะพยายามบอกว่าอย่าเพิ่งผิดประเด็น ต้องเป็นไปตามขั้นตอน หนูกับพี่ชายมั่นใจว่าถ้าไปตามหาตั้งแต่วันแรก น้องอาจจะยังไม่ตายและอาจจะช่วยได้ เพราะตอนที่คนร้ายโยนแก้มลงมา เขายังไม่ตาย แต่กว่าจะเจอตัวก็สองวันแล้ว สาเหตุที่วันแรกไม่ได้ออกไปตามหา เพราะตำรวจสอบสวนอยู่ หนูอยู่โรงพักตั้งแต่ 6 โมงเช้ายันตี 2 นึกว่าตำรวจออกตามหาน้องแล้ว เขาบอกว่าส่งคนไปพื้นที่นั่นพื้นที่นี่ แต่เขาไม่ได้ลงพื้นที่แบบมูลนิธิ ซึ่งต้องขอบคุณพี่ๆ มูลนิธิทุกแห่งที่ช่วยกันประสานงานจนเจอน้อง ถ้าหากไม่มีพี่ๆ มูลนิธิ อาจจะยังไม่เจอร่างน้องก็ได้ ดังนั้นต้องขอบคุณพี่มูลนิธิมากๆค่ะ”
เมื่อทีมข่าวถามว่าคิดอย่างไรที่คนเรียกร้องให้โทษข่มขืน คือ ประหารชีวิต เธอตอบว่า
“หนูเห็นด้วยมากกว่าโทษข่มขืน ควรจะประหารชีวิต ความจริงโทษประหารชีวิต แค่ยิงเขาก็ตายแล้ว ไม่ได้รับความทรมานเหมือนที่น้องหนูได้รับ ตรงนี้หนูแค้นมาก อยากให้มันได้รับเหมือนที่มันทำกับน้องหนู บางคนบอกว่าโทษประหารผิดหลักมนุษยชน คิดว่าต้องรอให้เขาเจอเรื่องนี้กับญาติ หรือรอให้ลูกหลานเขามาเป็นแบบนี้บ้าง เขาถึงจะรู้สึกเหมือนหนูว่าโทษประหารยังน้อยเกินไป
“แล้วถ้าคนร้ายมาขอขมาแม่หรือขอขมาหนู คงไม่ยกโทษให้เขาแน่นอน อะไรก็ชดใช้ให้ไม่ได้ วันที่แม่ไปรอให้คนร้ายขอขมา ตำรวจไม่ยอมปล่อยคนร้ายออกมา เพราะกลัวประชาชนจะรุมทำร้ายเขา ถามว่าตำรวจปกป้องเขาทำไม ทำไมต้องกลัวประชาชนจะไปทำร้ายเขา ไม่เห็นว่าตำรวจจะกลัวว่าเขามาทำร้ายน้องหนูบ้างเลย
“ดังนั้นการที่น้องเสียชีวิตครั้งนี้ หนูขอถือเป็นบทเรียนหรืออุทาหรณ์ให้กับคนที่ต้องเดินทางหรือต้องใช้บริการรถไฟ ว่าเขาต้องระมัดระวัง ไม่ควรมีใครต้องเจอแบบนี้อีก “
คุณแม่น้องแก้มให้อภัยคนร้าย
ส่วนคุณแม่ของน้องแก้มได้เผยความรู้สึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ว่า
“แม่เสียใจมากที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัว น้องแก้มไปเยี่ยมคุณยายที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนไปเดินทางปลอดภัยดี เขาไปแค่สองวันเอง คือ ไปคืนวันพฤหัสบดี ถึงที่นั่นเช้าวันศุกร์ พอวันเสาร์เขาก็เดินทางกลับมา เพื่อจะให้ถึงกรุงเทพฯ วันอาทิตย์เช้า แต่น้องแก้มก็มาไม่ถึง เพราะเจอเรื่องกลางทางเสียก่อน ครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกของเขาด้วยรถไฟ การไปเยี่ยมยายก็เป็นครั้งแรกในชีวิต นั่งรถไฟก็ครั้งแรก จากแม่ไปก็ครั้งแรก ทุกอย่างคือ ครั้งแรกหมด และสุดท้ายไม่ได้กลับมา (เสียงสั่น)
“วันที่เขาเดินทางกลับ เขายังโทร.คุยกับแม่ตลอดจนถึงเที่ยงคืน แม่เลยบอกว่าไปนอนได้แล้ว ส่วนพี่สาวเขาก็หลับตอนตี 2 พอตื่นมาตี 4 กว่าถึงรู้ว่าน้องหายไปแล้ว พอโทร.หาน้อง กลายเป็นว่าโทรศัพท์น้องปิดเครื่องไปแล้ว พี่สาวเขาเลยวิ่งตามหาน้องแต่ก็หาไม่เจอแล้ว ยอมรับว่าโกรธคนร้ายมาก แต่ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา
“ส่วนตัวแล้ว อยากจะขอบคุณคนจากมูลนิธิและป่อเต็กตึ๊งทุกคนที่ช่วยกันเดินเท้า 48 ชั่วโมง ผ่าน 1 วัน 1 คืน เดินเท้าเปล่าหาน้องจนเจอ ซึ่งคนที่เจอคือ หลานชายคนสุดท้องของแม่ ไม่ไช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลย เขาอยู่กับน้องแก้มและผูกพันกันมาตลอด ส่วนเรื่องที่คนว่าตำรวจจัดฉากให้ขอบคุณนั้น สำหรับแม่ไม่ได้โกรธเขานะคะ เพราะคิดว่าตำรวจก็ช่วยเต็มที่ ดังนั้นทุกๆ ส่วนมีความดีหมด”
เมื่อถามว่าอยากฝากถึงอะไรคนร้ายบ้า ง คุณแม่น้องแก้มตอบว่า
“ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เขามาขอขมา ไม่อยากให้จองเวรจองกรรมไปถึงชาติหน้าหรือหลายๆ ชาติ แม่ให้อภัยเขาได้ เพื่อลูกจะได้ไม่ไปอาฆาตเขาอีก ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมีเวรซึ่งกันและกัน ขอให้จบกันแค่ชาตินี้ละกัน”
คุณน้าวอนสื่อยุติซ้ำเติมน้องแก้ม
ด้านคุณน้าของน้องแก้มได้ฝากบอกสื่อทั้งหลายว่า ขอให้ยุติซ้ำเติมน้องแก้มด้วยการไม่นำเสนอภาพหรือเนื้อข่าวที่ไม่เหมาะสม
“อยากให้สื่อยุตินำเสนอข่าวว่าคนร้ายข่มขืนน้องอย่างไรบ้าง เพราะพอพี่ได้ยินข่าวอย่างนี้ ก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว เรื่องของเรื่องคือ อย่าขายข่าว พอเห็นสื่อพยายามบอกว่าน้องโดนข่มขืนอย่างไรบ้าง พี่จะคิดว่าพูดอีกทำไม มันเป็นการซ้ำเติมน้อง ส่วนเรื่องภาพก็เหมือนกัน สื่อไม่สมควรลงภาพร่างน้องที่เสียชีวิต” คุณน้าน้องแก้มกล่าว
นอกจากนั้นคุณน้ายังระบุว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด การรถไฟฯ ควรจะต้องรับผิดชอบและควรแก้กฎหมายให้นักโทษข่มขืนมีโทษประหารชีวิต
“การรถไฟฯบอกว่าจะเยียวยา เขาพูดอย่างนี้ได้ เพราะศพยังอยู่ในเวลาที่เป็นข่าว แต่พี่เชื่อว่าถ้าเมื่อไหร่เรื่องเงียบ เขาก็จะไม่กระตือรือร้น แต่บอกได้ว่าเราไม่หยุดแค่นี้ ยังไงเราก็จะหาคนรับผิดชอบให้ได้ คุณเอาโจรเข้ามาทำงาน โดยไม่ตรวจสอบอะไรเลย แถมคนร้ายยังติดยาเสพติด เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ดูแลลูกหลาน แต่อาจผิดพลาดตรงที่เราคิดว่าเขาดีแล้ว เขาปลอดภัยแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ ส่วนใหญ่คนคิดว่ารถไฟจะต้องปลอดภัย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าคนรถไฟทำเอง ในเมื่อคนรถไฟทำร้ายเขาเองแบบนี้ แล้วจะเอาอันไหนมาดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
“พี่คิดว่านักโทษที่ข่มขืน ควรจะให้ประหารเลย ไม่ต้องรออภัยโทษ ควรจะบอกว่าจะประหารในกี่เดือน ไม่ใช่รอฎีกา เพราะเชื่อได้เลยว่าเดี๋ยวก็ไม่ประหาร คดีร้ายแรงแบบนี้ คุณควรต้องทำให้เป็นแบบอย่างและทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่ติดคุกไปแล้ว ค่อยมีอภัยโทษ เท่าที่เห็นคดีตัดสินประหารชีวิต ส่วนใหญ่จำคุกเดี๋ยวเดียวก็อภัยโทษและหลุดออกมา ทั้งที่คดีแบบนี้ไม่ควรอภัยโทษเลย ไม่อย่างนั้น พอออกมา เขาก็จะทำอีก”
ถ้ามีโอกาสเจอคนร้าย อยากจะพูดอะไรกับเขาไหม?
“ถ้าเจอคนร้าย พี่อยากถามว่าน้องไปทำอะไรให้ ทำไมถึงโหดขนาดนี้ บอกได้เลยว่าพี่ยอมติดคุก เพื่อฆ่าคนที่ทำร้ายลูกหลาน เพราะคิดว่ากฎหมายใช้ไม่ได้แล้ว คิดว่าต้องให้เขารับกรรมบ้าง”
คุณลุงฉะรถไฟสายมรณะ
ในขณะที่คุณลุงของน้องแก้ม ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เผยความในใจกับทีมข่าวว่า ไม่เคยมีลางสังหรณ์มาก่อน และไม่คิดว่ารถไฟที่หลานใช้เดินทางจะกลายเป็น “รถไฟสายมรณะ”
“ผมไม่มีลางสังหรณ์อะไร ถ้ามี ผมคงไม่ให้หลานกลับ ยังสั่งหลานว่าถ้าจะซื้อตั๋ว ให้ซื้อตั๋วที่อยู่ใกล้ๆ กัน อย่าอยู่ห่างกัน ในที่สุดเขาได้ที่นั่ง 25-28 ในตู้เดียวกัน มากัน 4 คนก็ให้เขาจัดที่นั่งกันเอง น้องคนเล็กนอนข้างบน น้องแก้มนอนข้างล่าง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือ พี่สาวและเพื่อนชายของเขา พอสองทุ่มป้าก็โท.รไปหาน้องแก้ม แต่เขาไม่ได้รับสาย
“ถึงผมจะอยู่สุราษฎร์ ฯ แต่ก็เดินทางมากรุงเทพฯ บ่อยๆ เลยมีโอกาสเจอน้องแก้มประจำ เขาเป็นเด็กไม่ค่อยออกจากบ้าน ถ้าไปไหนมาไหน ก็จะไปกับพ่อแม่ ผู้ปกครองตลอด ยังไม่ค่อยประสีประสาเท่าไหร่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จากแม่ไปโดยลำพัง เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของน้องแก้มที่อยากนั่งรถไฟ และมันก็กลายเป็นรถไฟสายมรณะ ผมคิดว่าบทเรียนครั้งนี้น่าจะเป็นบทเรียนสอนให้การรถไฟฯได้รับรู้ว่า อย่าวัวหายล้อมคอก ควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่แรก
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องแก้ม ผมไม่คิดว่าสังคมไทยจะมีคนแบบนี้ด้วย มีคนถามผมว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับพวกเรา ทำไมต้องเกิดขึ้นกับญาติเรา แต่ผมกลับคิดว่าเกิดขึ้นกับใคร ก็อย่าให้เกิด เพราะมันเป็นเรื่องเลวร้ายมาก เด็กเพิ่งเกิดได้ 13 ร้อน 13 หนาว ยังไม่ประสีประสากับทุกอย่าง แต่คุณกลับมาทำแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง (ตาแดง เสียงสั่นเครือ)” คุณลุงน้องแก้มกล่าว
อยากฝากอะไรถึงหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบ้าง ?
“ผมอยากบอกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า อย่าคิดว่าแค่ขอมีเงินตอบแทนจากรัฐ มาเลี้ยงครอบครัวตัวเองให้มีความสุข แต่ขอให้นึกถึงคนอื่นบ้าง ควรจะช่วยสังคมอย่างจริงจัง อย่าให้คดีนี้เป็นหมัน ขอให้มีความจริงจังในการแก้ปัญหา อยากให้เรื่องจบเร็วๆ ชัดเจน สร้างเป็นธรรมให้แก่สังคมและประชาชนทุกคนครับ”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ชมคลิปความในใจของคุณแม่น้องแก้ม
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754