xs
xsm
sm
md
lg

“มิ้นต์-ชาลิดา” คิดดี ชีวิตเริ่ด เมินคนติ “นางเอกดวงซวย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางเอกลูกรักหน้าหวานอีกคนหนึ่งของช่อง 3 ที่พักหลังมักมีปัญหารุมเร้าให้สะดุด อย่างละครเหนือเมฆ 2 ที่ต้องโดนตัดจบ บทเพียงขวัญในละครชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพก็ไม่ดังเปรี้ยงเท่าไรนัก แล้วยังมาละครเรื่องล่าสุด คิวบิก ฝ่ายพระเอกก็ดันมีข่าวฉาวเสียนี่ แต่เธอก็ยิ้มสู้ ไม่เก็บมาคิดให้หนักใจ ที่สำคัญสิบกว่าปีในวงการบันเทิงคงพิสูจน์ได้ว่า ในวันนี้ “มิ้นต์-ชาลิดา” เป็นอีกหนึ่งนางฟ้าประดับวงการบันเทิง และบทสนทนาต่อไปนี้ จะยิ่งทำให้รู้ว่าเธอเป็นนักแสดงที่เพียบพร้อมทั้งความงามและความคิดจริงๆ

ละคร “คิวบิก” แรงเกินคาด

หลายคนอาจยังติดใจในละครคิวบิก (หนี้หัวใจที่ไม่ได้ก่อ) ที่กระแสเปรี้ยงปร้างลบคำสบประมาทในตอนแรกได้อย่างราบคาบ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกนักแสดงไม่เหมาะสม พลอทละครเหมือนการ์ตูนตาหวาน แต่สุดท้ายก็มีคนดูติดงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง พร้อมๆ ไปกับอิ่มเอมใจในความน่ารักสดใสของ “ฤทัยนาค” นางเอกของเรื่องที่รับบทโดย “มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง” นางเอกลูกหม้อวิกช่อง 3 ที่โดดเด่นขึ้นมาอีกครั้งหลังละครออนแอร์

“ฟีดแบคดีดีเกินคาดค่ะ เพราะตอนแรกไม่ได้คิดว่าละครจะเปรี้ยงขนาดนี้ เพราะกระแสนวนิยายก็ค่อนข้างดังอยู่แล้ว พอเรตติ้งออกมาก็เป็นที่น่าพอใจมากค่ะ ทุกคนก็ชอบในบทบาทนี้ก็รู้สึกดีใจค่ะ”

สาวน้อยในชุดเดรสสีขาวดูสง่า ใบหน้าเด่นด้วยดวงตากลมโตใสเป็นประกาย ตอบคำถามแรกอย่างภาคภูมิใจ ถึงกระแสละครเรื่องคิวบิกที่ดีเกินคาด โดยละครเรื่องนี้ถือเป็นการพลิกบทบาทอีกครั้งของสาวน้อยมากความสามารถคนนี้

สำหรับบทบาทนี้ก็ชอบนะคะ รู้สึกว่าได้เปลี่ยนคาแรกเตอร์ ได้ทำอะไรที่ท้าทายมากขึ้น อย่างบทบาทนี้เองก็ถือว่าท้าทายมาก แล้วตัวเราเองก็ชอบค่ะ แฟนคลับก็ชอบ จะมีบอกว่า เออ ดูแก่นเหมือนตัวจริงด้วยบางอย่าง ประมาณนี้ อีกอย่างก็คือละครเรื่องนี้ มิ้นต์พลิกบทบาทจากเรื่องอื่นๆ ไปเยอะมากค่ะ ละครเรื่องอื่นๆ ค่อนข้างจะได้บทเป็นผู้ใหญ่ พอมาเรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นบทที่ใกล้ตัวที่สุด

แล้วนิยายคิวบิกเนี่ย จริงๆ เป็นนิยายที่ดังอยู่แล้ว เนื้อเรื่องก็สนุกด้วย คือมันมีอะไรที่พออ่านไม่แล้วไม่น่าวางอ่ะ ตัวหนูเองยังไม่ได้อ่านทั้งหมด จะได้อ่านแค่ 1 กับ 2 แต่ตัวหนูก็อยากให้ทำภาคต่อไป คนดูก็ชอบด้วย เรตติ้งก็ดี แต่ยังไงก็ต้องรอลุ้นให้ทางช่องตัดสินใจอีกทีค่ะ”
ฤทัยนาค จากละครคิวบิก (หนี้หัวใจที่ไม่ได้ก่อ)
ถึงแม้ตัวเธอจะประทับใจและอยากร่วมงานอีกครั้งสำหรับคิวบิกภาค 2 เพื่อเอาใจคนดูที่ออกมาเรียกร้องให้ฤทัยนาคกลับมาโลดแล่นบนจอแก้วอีกครั้ง แต่คงต้องผิดหวังเนื่องจากผู้เขียนหนังสือนวนิยายเรื่องนี้ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่าคงไม่ได้ทำ รวมถึงทางค่ายยูม่าเองก็ออกมาแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถทำตามคำขอของผู้ชมได้

หากจะว่ากันไปแล้ว ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ตอนต้นทางก็ลำบากอยู่ไม่ใช่น้อย เมื่อกลุ่มผู้รักนวนิยายเรื่องนี้ไม่พอใจในการคัดเลือกบทพระเอกนางเอกซึ่งไม่ตรงตามบทประพันธ์ น้องมิ้นต์ยิ้มรับบางๆ ก่อนนกล่าวว่า ตนเองไม่ได้ลำบากใจอะไร คิดเพียงแต่ว่า ทำอย่างไรให้เราแสดงออกมาในบทบาทนี้ให้ดีที่สุด

“รู้สึกเฉยๆ ค่ะ มีนักแสดงหลายคนที่ได้รับบทมาแล้วไม่เหมือนกับชีวิตจริง แต่เค้าก็ยังแสดงออกมาให้ดูน่าสนใจได้เลย เราเลยคิดว่าพอเราได้รับบทบาทนี้มา เราก็อยากทำให้เต็มที่ที่สุดค่ะ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่แรกเลยก็จะทำการบ้านมาเยอะมาก เรามีหน้าที่ที่จะเล่นออกมา เรารับผลงานชิ้นนี้มา เราก็ต้องดูแลมัน ควบคุมมันให้ออกมาเป็นคาแรกเตอร์ของฤทัยนาค คือจะเป็นผู้หญิงที่ไม่ห่วงสวย ขี้เหร่ เราก็เล่นเต็มที่อ่ะ ไม่ต้องไปคิดว่าชั้นต้องเล่นยังไงให้ออกมาสวย เพราะในเรื่องนางเอกเค้าก็จะไม่สวยอยู่แล้ว

แล้วจริงๆ ก็เป็นแบบนี้ทุกเรื่องแหละค่ะ เราก็มักจะโดนสบประมาทตลอด ไม่รู้เป็นอะไร (หัวเราะ) ทุกคนก็จะบอกว่าไม่สวย ไม่เหมาะ ไม่เหมือน ไม่ดี อะไรอย่างนี้ตัวมิ้นต์จะโดนตลอดจนเรามีเกราะป้องกัน เราเจอกระแสพวกนี้มาเยอะ จนเรารู้สึกว่าเราก็ทำหน้าที่ของเราเองให้ดีที่สุดดีกว่า ถ้าเราไปโฟกัสกับสิ่งรอบข้าง มันจะทำให้เราไขว้เขว ซีเรียส ไม่มีสมาธิในการทำงานค่ะ”
บอม-ธนิน คู่จิ้นคนล่าสุดจากละคร “คิวบิก”
นอกเหนือไปจากกระแสความแรงของตัวละครคิวบิกเองแล้ว คู่พระเอกนางเอกของเรื่องอย่างหลินหลานเซ่อและฤทัยนาคที่รับบทโดยบอม-ธนิน และมิ้นต์-ชาลิดา ยังทำเอาผู้ชมละครหลายคนอินจิกหมอนในฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างมาเฟียสุดเข้มกับเด็กสาวเจ้าความคิดแต่ไม่เคยรู้จักความรัก ทั้งคู่จึงกลายเป็นคู่จิ้นฟินกระจายของเหล่าแม่ยกที่คงต้องเสียหมอนไปหลายใบให้กับละครเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้น กระแสคู่จิ้นจากละครของมิ้นต์ก็เคยเกิดขึ้นเมื่อคราวแสดงละครเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอนคุณชายรณพีร์ คู่กับเจมส์ มาร์ ซึ่งครั้งนั้นก็ทำเอาคนดูใจละลายไม่แพ้กัน

มิ้นต์รู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นคู่จิ้นสาธารณะ (หัวเราะ) บอกเลยว่าดีใจที่เข้าได้กับทุกคน เพราะมิ้นต์รู้สึกว่าไม่อยากให้ตัวเองมีคู่จิ้นแค่คนเดียว อยากให้คนดูเรื่องไหนก็อยากให้เรตติ้งเรื่องนั้นดี อย่างถ้าเราเป็นคู่จิ้นกับบอม (ธนิน มนูญศิลป์) คนเดียว แล้วพอเราไปเล่นเรื่องอื่น คู่กับคนอื่น คนดูก็จะไม่อิน เรตติ้งได้น้อย ซึ่งบางคนเค้าอินขนาดต้องคนนี้คู่กับคนนี้เท่านั้น หนูมองว่าเราเล่นได้กับทุกคนดีกว่า ไม่ว่าจะรุ่นไหน วัยไหนก็เล่นได้ค่ะ

ตัวแสบขี้แกล้งประจำกอง

เห็นหน้าตาเรียบร้อยน่ารักเหมือนผ้าพับไว้ขนาดนี้ ใครจะไปเชื่อว่า มิ้นต์-ชาลิดา คือสาวจอมขี้แกล้งจนหลายๆ คนยอมแพ้ คอนเฟิร์มได้จากเพื่อนร่วมกองถ่ายที่ออกมาแฉ มาเผาว่าสาวน้อยคนนี้เวลาเธอซนก็แสบเอาเรื่องเหมือนกันนะจะบอกให้

“หนูเป็นเด็กที่แบบหัวไวในการตอบโต้ เป็นคน alert ชอบความสนุกสนาน ไม่ชอบมานั่งทำตัวเบื่อ เครียด กดดัน”

ส่วนคนที่แกล้งแล้วสนุกถูกใจสาวมิ้นต์เป็นที่สุด เจ้าตัวขอยกมือตอบเองว่า พระเอกของเรื่องอย่าง บอม-ธนิน มนูญศิลป์เนี่ยแหละน่าแกล้งที่สุด เพราะเป็นผู้ชายขี้น้อยใจ แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็เป็นอันงอนซะแล้ว

แกล้งพี่บอมสนุกสุด เพราะพี่บอมเป็นคนที่ขี้งอน แกล้งเสร็จก็จะมีเอฟเฟกต์ อุ้ย งอนละ ไม่คุยละ อะไรอย่างนี้ (ยิ้ม)”

ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นตัวแสบประจำกองที่ใครๆ ต่างขยาด แต่เธอก็ยังมีมุมน่ารัก ด้วยความเป็นพี่สาวที่อยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี เหล่านักแสดงรุ่นใหม่ๆ ที่ร่วมงานละครด้วยกัน จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาจากน้องมิ้นต์ติดไม้ติดมือไปด้วย

“เรื่องสอนก็จะมีบ้างค่ะ แต่ถ้าเรื่องแอคติ้งเราคงไม่ได้ไปสอน เพราะเค้ามีโค้ชแอคติ้งอยู่แล้ว แต่เรื่องมุมกล้อง หรือการชวนน้องๆ มาท่องบท ก็จะได้คุยกัน ปรึกษากันบ้าง คือมิ้นต์ก็ดีใจกับน้องๆ ค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าน้องทุกคนเติบโตได้เร็วอย่างเฟิร์ส (สุรศักดิ์ ชัชวาลโชติกุล) เป็นเด็กที่ร้องเพลงก็ได้ เล่นละครเรื่องแรกก็ถือว่าดีมาก แล้วก็เต้นได้ หลากหลายความสามารถ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเค้า ภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่เค้า การที่เค้าเล่นละครเรื่องแรกได้ขนาดนี้ หนูคิดว่าชีวิตในวงการบันเทิงของเค้าก็น่าจะยังอีกยาวไกลค่ะ”

ฉายา “นางเอกดวงซวย”

งานเข้าอยู่บ่อยๆ โดนคำวิพากษ์วิจารณ์มาก็เยอะ แต่มิ้นต์ก็ยิ้มรับสู้และไม่เคยคิดมากกับปัญหาที่เข้ามา อย่างฉายาที่บางคนเรียกเธอว่า “นางเอกดวงซวย” หลังผลงานบางชิ้นไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างสักเท่าไหร่นัก พอดูมีแววจะรุ่งอย่างละครเหนือเมฆ 2 ก็โดนตัดจบเอาเสียดื้อๆ ล่าสุดก็กรณีของพระเอกคิวบิกที่โดนฝ่ายหญิงซึ่งระบุว่าเป็นแฟนสาวออกมาแฉถล่มเสียยับ จนคนคิดว่าละครเรื่องนี้ต้องดับวูบไปพร้อมกับพระเอกแน่ๆ

“ไม่เลย (ลากเสียงยาว) หนูไม่รู้สึกเสียเซลฟ์อะไรเลยนะ เพราะทุกวันนี้เราก็มีงาน เราทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุดดีกว่า เพราะว่าวันๆ นึงมิ้นต์ก็ค่อนข้างต้องทำอะไรหลายอย่าง จะมานั่งโฟกัสแค่ว่า โห มีแต่คนด่าเรา เราดวงไม่ดี ถ้าหนูไปคิดตามแบบนั้น มันก็จะยิ่งรู้สึกตกต่ำ มีแต่เฟลลง แล้วเราก็ไม่น้อยใจด้วยค่ะ เพราะรู้สึกว่าทุกคนต่างมุมมองทุกคนสามารถมองได้ เค้าไม่ได้เป็นตัวเรา เค้าไม่รู้หรอกว่าในหนึ่งวันเราทำอะไร เราเป็นยังไง เค้าไม่รู้ มิ้นต์มองว่า คนเราต้องมีชีวิตเดินหน้าต่อไป ต้องทำทุกอย่างให้ได้ดี มิ้นต์ก็จะไม่ได้ไปนอยด์กับข่าวอะไรพวกนี้เลย เพราะมิ้นต์ก็ต้องทำงาน ไหนจะเรียนอีก เลยไม่อยากไปซีเรียสกับเรื่องแบบนี้ค่ะ

เรารู้สึกว่า ไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเองว่าวันๆ นึงเราทำอะไรบ้าง ทุกคนว่ามิ้นต์ดวงไม่ดี แต่เราก็ยังทำงานทุกวัน ถึงงานมันจะไม่ได้ออกมาเปรี้ยง คือคนเรามันก็มีขึ้นมีลงตามปกติ ใครจะมีกระแสละครตอบรับได้ดีทุกเรื่อง ใครที่จะถ่ายหนังสือออกมาแล้วขายได้ดีทุกเล่ม มิ้นต์มองแบบนี้นะคะ คือมันเป็นวงจรชีวิตของคนเรา มิ้นต์ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นแรงกดดัน ยิ่งเราไปสนใจเราก็จะยิ่งนอยด์ไปเอง”

และอีกหนึ่งผลงานที่เกือบได้เอามาประดับฝาบ้านให้ภูมิใจ อย่างภาพยนตร์เรื่อง Timeline จดหมาย ความทรงจำ ที่ต้องชวดไป หลายคนอาจรู้สึกเสียดายแทนน้องมิ้นต์ แต่เจ้าตัวเองก็ยังคงคิดในแง่บวกว่า ถึงจะอยากเล่นแต่ด้วยคิวละครไม่ลงตัวก็ต้องยอมรับความจริง

“เป็นด้วยคิวละครค่ะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเฟลอะไร คือมิ้นต์ก็อยากเล่นมากๆ นะคะ แต่ด้วยคิวละครเราก็เลยเข้าใจ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรค่ะ เพราะเราก็ติดถ่ายคิวบิกเนี่ยแหละ มันต้องไปถ่ายที่ต่างประเทศด้วย แล้วเราก็ไม่อยากเป็นส่วนที่ทำให้หนังเค้าล่าช้าไป มิ้นต์รู้สึกว่าเราก็ต้องยอมรับความจริงก็เลยไม่ได้ซีเรียสกับการไม่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ อีกอย่างหนูก็ไม่ได้เป็นคนคิดมากด้วยค่ะ”

นับตั้งแต่เริ่มบทสนทนาเห็นได้ชัดว่า เด็กสาวคนนี้มองโลกในแง่บวก ไม่คิดท้อ ไม่คิดกลัวต่ออุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว ซึ่งภูมิคุ้มกันเหล่านี้ น้องมิ้นต์ก็ไม่ปฏิเสธว่าอาจเป็นเพราะเธอเข้าวงการนี้มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ถือว่าผ่านอะไรมาไม่น้อย

“อาจจะใช่ค่ะ เพราะมิ้นต์ทำงานตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็จะได้คำสอนจากผู้ใหญ่มาเยอะ เพราะเรายังเป็นเด็ก ใครๆ ก็อยากจะสอนเรา ป้อนนั่นป้อนนี่ให้กับเรา พอมาถึงวันนี้ มิ้นต์ก็เหมือนผ่านอะไรในวงการมาเยอะ คนนู้นด่า คนนี้ว่า เล่นละครออกมากี่เรื่องก็ไม่มีคนชอบ คือเราผ่านตรงนั้นมาแล้ว จนเรารู้สึกว่า มันเป็นภูมิต้านทานอย่างหนึ่งที่คอยป้องกันเราว่าเรื่องแบบนี้มันจิ๊บๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ก็เลยทำให้เรามีมุมมองแบบนี้ขึ้นมา”

น้อมรับทุกคำติชม

ด้านกระแสตอบรับ คำติชมต่างๆ ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่น้องมิ้นต์น้อมรับฟังเพื่อนำเอามาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ด้วยภาระหน้าที่ทั้งการงาน การเรียน จึงต้องฝากคุณแม่คอยช่วยเช็คให้แทน

พวกฟีดแบ๊คในเว็บนี่ไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าไปนะคะ อย่างบางทีละครตัวเองยังต้องดูย้อนหลังเลย (หัวเราะ) วันนึงกว่ามิ้นต์จะทำงานเสร็จ กว่าจะได้กลับบ้าน อย่างตอนเช้าออกจากบ้านหกโมง เจ็ดโมงเช้า กว่าจะกลับบ้านก็สี่ทุ่ม อาบน้ำ แล้วตอนนี้ก็กำลังพยายามทำตัวให้ได้นอนไวๆ เพราะพอเราพักผ่อนน้อยปุ๊บ เวลาทำงานเราก็จะแบบเนือย ช้า เลยไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าไปเช็ค แต่ก็จะมีคุณแม่ที่คอยอ่าน สกรีน แล้วก็เล่าให้มิ้นต์ฟัง

ไม่ใช่ว่าหนูปิดกั้นตัวเองไม่ยอมเช็คแต่ด้วยความที่ช่วงนี้ต้องทำงานทุกวัน แล้วไหนต้องไปเรียนอีก แต่เราก็จะแบบไม่ลืมฝากคุณแม่ว่าเช็คให้หน่อยนะว่าคนดูเค้ารู้สึกยังไงบ้าง มีอะไรที่ต้องติก็บอกเรามาได้ จริงๆ มิ้นต์ว่าการที่คนติเราเนี่ย มันดีซะอีก ถือว่าเค้าทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีข้อบกพร่องตรงไหน ต้องไปแก้ไขอะไรต่อ”

ถึงแม้จะงานหนักจนมีเวลาน้อยแต่น้องมิ้นต์ก็ใส่ใจแฟนคลับอยู่เสมอ อย่างวันที่สัมภาษณ์เองก็มีกลุ่มแฟนคลับจำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจ ร่วมพูดคุยถ่ายรูป ซึ่งทีมงานก็เห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ ว่า สาวน้อยคนนี้เป็นกันเองกับแฟนคลับ ไม่มีการถือตัว แถมยังจำชื่อแฟนคลับได้ทุกคน จึงไม่น่าจะแปลกใจที่จะมีแต่คนตกหลุมรักเธอคนนี้

“มิ้นต์รู้จักกับแฟนคลับหมดค่ะ คือมิ้นต์คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะใส่ใจแฟนคลับในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะวันเกิด ใครคลอดลูก ใครทำอะไรอย่างนี้ คือมิ้นต์จะรู้สึกว่า ถ้าไม่มีพวกเขาก็ไม่มีมิ้นต์ในวันนี้อ่ะ ทุกคนชื่นชอบมิ้นต์ ทำให้มิ้นต์ได้รับกระแสตอบรับที่ดี เค้าคอยเป็นกำลังใจให้เรา”

สลัดลุคหวาน ขอเซ็กซี่เบาๆ

ผลงานเซอร์ไพรส์แฟนคลับในปีนี้ที่ต้องพูดถึงคือการถ่ายแฟชั่นเซ็กซี่เล็กๆ ที่กว่าจะกลายเป็นภาพสวยให้ชื่นชมก็ต้องผ่านด่านมหาโหดจากคุณพ่อคุณแม่และทางช่องที่ไม่อยากให้น้องมิ้นต์ถ่ายชุดว่ายน้ำ แต่สุดท้ายก็ต่อรองจนสำเร็จมาเป็นลุคเซ็กซี่เบาๆ สมกับวัยใส

“มันก็ไม่ได้เซ็กซี่จ๋าขนาดนั้น จะเป็นบิกินี่ข้างใน แล้วก็จะมีเสื้อข้างนอกตามที่ตกลงกันไว้ คืองานนี้มันก็เซ็กซี่ที่สุดแล้วตั้งแต่ที่เคยรับมา เพราะว่ามิ้นต์ก็ค่อนข้างที่จะโตแล้ว อีกอย่างคือก็จะมีบางภาพที่เป็นบิกินี่ถ่ายจากด้านหลัง อันนี้ก็จะไม่ผ่านทางช่อง ช่องค่อนข้างที่จะสกรีน คือตอนแรกตกลงกันว่าไม่ถ่ายแล้ว เพราะเค้าพูดว่าถ่ายชุดว่ายน้ำ คุณแม่ก็เลยปฏิเสธไป ทางหนังสือก็เลยเอาของพี่แพนเค้ก (เขมนิจ จามิกรณ์) มาให้ดู ก็ยังรู้สึกว่าเซ็กซี่ไป เพราะพี่เค้าโตแล้ว คุณแม่ก็มาดูของฉัตร (ชื่อใหม่ ฐิ-วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร) ก็ว่ายังเซ็กซี่ไป ยังไม่ได้ แต่พอมาถึงของคิมเบอร์ลี (คิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ) เนี่ย เป็นเพื่อนเราเอง แล้วแบบการถ่ายเนี่ยก็จะมีลิมิตของช่องสาม ก็เลยมาตกลงกันได้ที่เล่มนี้ค่ะ

ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตกลงให้เราเองค่ะ (หัวเราะ) คือมิ้นต์เนี่ยไม่มีสิทธิ์ไปคุยงานอะไรอยู่แล้ว คือจะผ่านทางคุณแม่กับคุณพ่อ แล้วก็พี่ที่ช่องสาม เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ดูตามความเหมาะสม พอดีกับวัย ไม่ได้เยอะไปไม่ได้น้อยไป แล้วเราก็พยายามทำออกมาให้เต็มที่ แต่ไม่ได้ขนาดว่าชั้นจะมาแสดงความเซ็กซี่ ไม่ได้คิดแบบนั้นค่ะ อีกอย่างคือมันกะทันหันมากค่ะ เพราะกว่าจะลงตัวโอเคกันทุกฝ่าย”
ลุคเซกซี่เบาๆ ในนิตยสารสุดสัปดาห์
ความรู้สึกครั้งแรกในการถ่ายแบบ เจ้าตัวก็ยิ้มก่อนสารภาพว่า เขินอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าใครได้เห็นภาพทั้งหมดแล้วล่ะก็ต้องยอมรับว่า สาวมิ้นต์เป็นมืออาชีพจริงๆ ถึงแม้จะบอกว่าเคอะเขินตอนถ่ายอยู่บ้างก็ตาม

ก็เขินบ้างแหละ เพราะว่าเค้าก็จะแบบขอดึงลงอีกนิดนะ อีกนิดนะ แล้วก็จะมีแบบให้ทุกคนหันไปด้านโน้นหน่อย เพราะน้องจะโพสมาทางด้านนี้ ก็จะมีความรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้างค่ะ (ยิ้ม)”

เงินทุกบาทเพื่อครอบครัว

ทำงานเป็นนักแสดงมาตั้งหลายปี เป็นพรีเซนเตอร์สินค้ามานับไม่ถ้วน แล้วยังลือกันให้แซ่ดอีกว่า ปลูกบ้านหลังโตราคากว่าห้าสิบล้านบาท แสดงว่าตอนนี้รวยแล้วใช่ไหมล่ะ สาวมิ้นต์รีบปฏิเสธเสียงสูงก่อนจะเอ่ยถึงบ้านหลังงามที่เกิดมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองและถือเป็นของขวัญให้กับครอบครัวด้วย

“ยังไม่รวยค่ะ (หัวเราะ) ปีนี้ก็มีภาระต้องผ่อนบ้านอีกหลายล้าน ตอนนี้ความคืบหน้าก็ประมาณ 50% ก็ทำไปได้ครึ่งนึงละ ซึ่งมันยังเหลืออีกหลายอย่างที่เราต้องผ่อน ต้องทำอีกเยอะ ส่วนที่ข่าวออกไปว่าราคาห้าสิบล้านเนี่ยก็ไม่ถึงค่ะ แต่ตอนนี้มันยังประมาณราคาไม่ได้ เพราะว่ามันยังทำไม่เสร็จ มันยังทำเรื่อยๆ แต่คือก็ฟิกเอาไว้ว่าไม่อยากให้เกิน แต่ว่าการทำบ้านอ่ะเนอะ มันก็เดี๋ยวอันโน้นพัง อันนี้พัง ต้องทำใหม่มันก็ยังต้องมีค่ะ

แล้วบ้านหลังนี้ก็ถือเป็นของขวัญให้กับครอบครัว เพราะทุกวันนี้ที่นอนกันอยู่ก็เป็นตึกแถว เป็นอาคารพาณิชย์ธรรมดาๆ ไม่ได้มีบริเวณ ทุกคนก็อยากจะมีห้องเป็นของตัวเอง ทุกวันนี้มิ้นต์นอนกับคุณแม่แล้วก็น้องชายคนเล็ก 3 คน อัดกันอยู่ในห้องเดียว (หัวเราะ) คือมันแพงตรงที่มิ้นต์ไม่ได้ซื้อบ้านที่ทำไว้แล้ว คือเราทำบ้านตามความพอดีเราอ่ะ พอดีคนอยู่ จะหาบ้านที่ไหนที่มี 6 ห้องนอนให้คุณพ่อคุณแม่ ให้อาม่า คือเราก็เลยทำตามจำนวนที่เราจะได้ใช้สอยจริงๆ ห้องที่เราได้ใช้จริงๆ ห้องอันไหนที่มันไม่ได้ใช้เราก็จะไม่ทำมันขึ้นมา”

ส่วนเรื่องรายได้ต่างๆ นานา สาวน้อยเฉลยว่า จริงๆ แล้ว เธอไม่เคยรู้เสียด้วยซ้ำว่าได้เงินค่าจ้างมาเท่าไหร่ แต่เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่คอยดูแลจัดการให้ รวมถึงเงินเหล่านี้ยังเป็นทุนการศึกษาของน้องๆ อีกสามคน เลยต้องขอยกย่องว่าสาวคนนี้สวยด้วยกตัญญูด้วยจริงๆ

เอาจริงๆ หนูไม่เคยรู้เลยว่าทำงานวันนึงได้เงินค่าจ้างเท่าไหร่ (ยิ้ม) คือคุณพ่อคุณแม่เป็นคนดูแลจัดการหมดเลย หนูทำงานได้เงินมาเนี่ย ก็จะได้เงินใช้เหมือนเด็กปกติทั่วไปค่ะ เหมือนชีวิตเด็กวัยรุ่นที่แบบมีพ่อให้เงินพันนึง บางวันสองพันในการใช้ชีวิต จะไม่ได้เป็นแบบชั้นมีเงินเท่านี้ ชั้นจะใช้เท่านี้ ไม่เคยได้รับความรู้สึกนั้น คุณพ่อคุณแม่จะเก็บ

แล้วเงินส่วนนึงก็จะเป็นทุนค่าใช้จ่ายให้น้องๆ เรื่องเรียน เรื่องทำบ้านด้วย เงินทั้งหมดทั้งมวลที่มิ้นต์หามาได้ก็ให้เค้าจัดการเองหมด มิ้นต์มองว่าเรายังเด็กด้วยอ่ะค่ะ เราก็เลยไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ ให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยคิดช่วยจัดการดีกว่าว่าสมควรจะจ่ายอะไรตรงไหน”

ความรัก พักไว้ก่อน

ส่วนเรื่องความรักหวานแหวว มิ้นต์ส่ายหัวปฏิเสธ ถึงแม้จะมีข่าวบ้างเป็นระยะ แต่เธอก็ยืนยันว่าในตอนนี้ยังไม่มีหวานใจตัวจริง เนื่องด้วยทำงานหนักควบคู่กับการเรียน และที่สำคัญคือคุณพ่อยังหวงลูกสาวคนสวยอยู่นั่นเอง

“คุณพ่อเป็นคนจีนหัวโบราณมาก (ลากเสียง) คุณพ่อก็จะมองว่ายังไงเราก็ยังเป็นเด็ก ถ้าเราเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังดูเด็กสำหรับคุณพ่อ คุณพ่ออยากให้เวลาศึกษาใครเนี่ย ก็ศึกษาเป็นคนๆ แล้วค่อยๆ คุย ทำความรู้จักกันให้มากก่อนที่จะใช้คำว่าแฟน คุณพ่อไม่อยากให้เป็นข่าวว่าเป็นแฟนกับผู้ชายคนนี้แล้วเลิก แล้วก็ไปคบคนใหม่ คือคุณพ่อมองว่าเราเป็นผู้หญิง ยังไงก็มีแต่เสียกับเสีย

แล้วมิ้นต์คิดว่าตอนนี้เราเรียนหนัก เราเรียนอยู่ปี 2 แล้วเราเองก็ยังต้องทำอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ภาระเราก็เยอะด้วย ถ้าเราต้องมาเพิ่มอะไรอีกสักอย่าง เช่นความรักก็หนักอยู่นะ แล้วมิ้นต์ไม่อยากให้มองว่าก็คบกันไปวันๆ มิ้นต์ก็เห็นด้วยกับคุณพ่อว่า เวลาจะคบใครก็คบจริงจังจริงๆ เราก็เลยยังไม่ได้มีใครเป็นพิเศษ

พ่อ-แม่ คือแบบอย่าง

ในวัยเพียง 20 ปี แต่น้องมิ้นต์ก็ดำเนินชีวิตได้อย่างสง่างาม คงเส้นคงวาความเป็นนางเอก ไม่มีเรื่องงามหน้าฉาวโฉ่มาให้คุณพ่อคุณแม่หนักใจ ส่วนหนึ่งคือคำสอนของบุพการีที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเธอในวันนี้

“ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตของมิ้นต์นะคะ คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นที่ใกล้ตัวเราที่สุด มิ้นต์ถึงเป็นมิ้นต์ในทุกวันนี้ เพราะมิ้นต์จะเป็นคนที่ไม่ค่อยฟังคนอื่นมาก เราจะค่อนข้างเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองสูงเหมือนกัน แต่เราก็โตมาแบบนี้ก็จะใช้ชีวิตแบบนี้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็จะปล่อยเราเป็นอิสระทางความคิด แต่ก็มีขอบเขตอยู่บ้าง อย่างคุณพ่อก็สอนว่าจะทำอะไรก็ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อน อย่างตอนเด็กๆ ก็จะมีท่องกฎกันเลยว่า ห้ามขโมยของคนอื่นมาเป็นของๆ เรา ห้ามเล่นการพนัน คือคุณพ่อจะให้นั่งท่องกันทุกวัน บ้านหนูก็เลยจะไม่ค่อยทำอะไรนอกลู่นอกทางสักเท่าไหร่ค่ะ”
ครอบครัววิจิตรวงศ์ทอง
หากสังเกตเวลาไปตามงานต่างๆ คู่หูคนสนิทของน้องมิ้นต์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณแม่คนสวยของเธอเองที่คอยประกบส่งกำลังใจอยู่ข้างกายลูกสาวคนนี้ พร้อมทั้งเป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาคนสำคัญของมิ้นต์ด้วย

“กับคุณแม่สนิทกันมากๆ คุยกันปรึกษากันทุกเรื่อง มีอะไรเราก็จะบอก เป็นคนเดียวที่มิ้นต์เล่าให้ฟังทุกอย่าง คุณแม่ก็เลยจะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างมิ้นต์ตลอดเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน”

เรียนรู้วงการบันเทิง

แน่นอนว่า วงการบันเทิงคงเป็นวงการที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาแสวงหาประโยชน์ ดังนั้น การได้รับการสั่งสอนและชี้แนะแนวทางให้อยู่รอดปลอดภัยในสังคมนี้จึงสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ และเป็นเรื่องโชคดีที่สาวมิ้นต์เข้าวงการมาตั้งแต่อายุยังน้อย จึงมีผู้ใหญ่คอยเอ็นดูเสมอ

“ทุกคนสอนเยอะมากค่ะ อย่างที่บอกไปว่ามิ้นต์เข้าวงการตั้งแต่เด็กๆ ไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่เราที่อยากจะสอน อย่างตอนมิ้นต์เข้าวงการ คุณพ่อคุณแม่ก็จะสอนว่าอย่าลืมตัว ถ้าวันไหนลืมตัวจะพาออกจากวงการ ห้ามเรียกตัวเองว่าดารา เพราะเราคือนักแสดง ห้ามหยิ่ง ห้ามเยอะ ห้ามๆๆๆ เยอะมาก (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องห้ามอะไรเยอะแยะหนักหนา แค่ทำงานก็เหนื่อยจะแล้ว

แต่พอโตขึ้นเราก็รู้ เพราะว่าสังคมในวงการบันเทิงเนี่ย แสงสีเสียงเยอะ พอเราเป็นคนที่มีชื่อเสียง ใครๆ ก็อยากจะเข้ามาหา อยากเข้ามาเอาผลประโยชน์ อยากเข้ามามี Connection เยอะแยะมากมาย มันหลายสิ่ง พอเราได้มาอยู่ในวงการนี้ก็เลยรู้ว่า ใครจะเข้าหาเราหรือเราจะเข้าหาใคร เราต้องสกรีนเหมือนกัน เพราะทุกวันนี้ บางคนมาหน้ายิ้ม แต่ข้างหลังเค้าถือมีดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะวงการนี้มันน่ากลัว มีการชิงดีชิงเด่นกัน คนเยอะ ปัญหาก็เยอะ แต่มิ้นต์พยายามอยู่ให้มันสบายๆ เป็นตัวเราให้มากที่สุด เป็นคนตรงๆ

แล้วคุณแม่ก็จะสอนเสมอว่า ทำอะไรในที่ลับกับที่แจ้งต้องให้เหมือนกัน เพราะความลับไม่มีในโลก ต่อให้วันนึงคุณแอบคบใคร คุณแอบไปทำอะไรที่เลวร้ายยังไง สักวันนึงสังคมก็จะต้องรับรู้ แล้วเราอยู่เป็นแบบอย่างให้กับเด็กหลายๆ คน คุณแม่จะบอกเลยว่า หลายคนที่จับตามองเราเป็นแบบอย่าง เราจะต้องไม่ทำให้เค้าผิดหวัง หรือทำตามในแบบที่ไม่ดีนั้น”

สุดท้าย นักแสดงวัย 20 ปีคนนี้ พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า จากเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นนักแสดง มาโลดแล่นในวงการบันเทิง เมื่อได้รับโอกาสเธอก็จะทำมันให้เต็มที่ในทุกๆ เรื่อง และพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด

“มิ้นต์คิดว่าวงการบันเทิงจะมองให้ง่ายก็ง่าย จะมองให้ยากมันก็ยาก คือมันอยู่ที่การใช้ชีวิตของเรา อย่างมิ้นต์เองก็ดีใจที่ตัวเองมาถึงจุดๆ นี้ เพราะว่าก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน ว่าตัวเองจะได้มาอยู่ช่อง 3 เราเริ่มต้นจากเด็กที่ไม่มีอะไรเลย แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยว่าจะเข้าวงการบันเทิงได้ แต่พอได้เข้ามาอยู่แล้วเราก็อยากทำทุกอย่าง ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียนให้ดีที่สุดค่ะ ทุกอย่างมันเป็นตัวผลักดันเราเองทั้งนั้น แล้วมิ้นต์จะพยายามคิดอะไรเป็นแง่ดี ทำอะไรก็เป็นแง่บวกดีกว่า เราแฮปปี้ คนรอบข้างก็แฮปปี้ คนทำงานด้วยก็แฮปปี้”

ถึงแม้จะโดนกระแสโจมตีเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง แต่สาวน้อยยืนยันในความคิดที่ว่า คิดดี ชีวิตก็ดี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นรอยยิ้มกว้างสุดสดใสของเธอคนนี้ “มิ้นต์-ชาลิดา” อยู่ตลอดเวลา

เรื่องโดย สุภิญญา นาคมงคล
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม @mint_chalida และ @maysayaa
ขอบคุณเครื่องประดับจาก Jubilee Diamond







ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง
ชื่อเล่น : มิ้นต์, บาเยียร์ , อู้เอี่ยน
พี่น้อง : 4 คน เป็นพี่สาวคนโต น้องชาย 3 คน น้องมอส, น้องม่อน ,น้องไมโล
วันเกิด : 8 สิงหาคม พ.ศ 2536
การศึกษา : ชั้นปีที่ 2 คณะบริหารธุรกิจ (การจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ) มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
น้ำหนัก : 46 กก. // ส่วนสูง : 170 ซม.

ผลงานที่ผ่านมา
ละคร : น่ารัก, เทใจรักนักวางแผน, สุดแต่ใจจะไขว่คว้า, ดงผู้ดี, หวานใจกับนายจอมหยิ่ง, ละครชุด 4 หัวใจแห่งขุนเขา ตอนปฐพีเล่ห์รัก, ตะวันเดือด, รักปาฏิหาริย์, เหนือเมฆ 2, ละครชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอนคุณชายรณพีร์, คิวบิก (หนี้หัวใจที่ไม่ได้ก่อ)
ภาพยนตร์ : ขอโทษ ผมไม่ใช่คนแถวนี้
มิวสิควิดีโอ : เพลงแผลเดิม ศิลปินอ๊อฟ ศุภณัฐ, เพลงหยดน้ำตา ศิลปินเป๊ก ผลิตโชค, เพลงคนที่เธอไม่รัก ศิลปินเอ็ม อรรถพล, เพลงความจริงที่ฉันกลัว ศิลปินSoulda
โฆษณา : แบรนด์ วีต้า, Foremost LowFat รสช็อกโกแลต, Garnier Sakura White, ยาสีฟัน CloseUp White Now ฯลฯ
ผลงานอื่นๆ : ถ่ายนิตยสาร, เดินแบบ

รางวัลที่ได้รับ
รางวัลเยาวชนดีเด่น ประจำปี 2555
รางวัลช่อสะอาด ประจำปี 2556
รางวัลทูตคิดใส ใจสะอาด เพื่อชาติ เพื่อในหลวง ประจำปี 2556
รางวัลญาณสังวร ประจำปี 2557
 



กำลังโหลดความคิดเห็น