“ดิน น้ำ ไฟ ลม แสง(เสียงดังลากยาว)” ชายร่างอ้วนผมยาวเอ่ยพร้อมออกท่าทาง “อากาศ (เสียงดังลากยาวถึงที่สุด) วิญญาณ น้ำ ฟ้า...ฟ้า(เสียงดังรุนแรงลากยาวจนหมดลม)” นี่คือส่วนหนึ่งของพิธีกรรม “ส่งพลังจากจักรทั้ง 7” ของชายผู้ใช้ชื่อ เพอร์ซีอุส ที่เผยแพร่ทางช่องเคเบิ้ลทีวีแห่งหนึ่ง
คลิปดังกล่าวถูกแชร์ส่งต่อและพูดถึงในวงกว้าง ทั้งรูปแบบพิธีกรรมที่แปลกประหลาด ไม่น่าเชื่อ บ้างเห็นว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล บ้างก็มองว่าเหล่านี้เป็นเรื่องงมงายทั้งยังหัวเราะขบขันต่อพิธีกรรมดังกล่าว
ทว่าท่ามกลางเสียงหัวเราะที่มองลัทธิตามเคเบิลทีวีเหล่านี้ ยังคงมีเสียงวิพากษ์จริงจังถึงเนื้อหารายการแนวเหนือธรรมชาติว่า หากต่อไปประเทศไทยก้าวสู่ยุคดิจิตอล เนื้อหารายการแนวนี้จะส่งผลต่อสังคมวงกว้างอย่างไร...
รวมพลคนเหนือกรรม!
จากรากความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติสู่บุคคลผู้อยู่เหนือกรรม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รู้จักกับบุคคลผู้อ้างตัวว่ามีญาณพิเศษมาแล้วหลายต่อหลายคน และยิ่งนับวัน เนื้อหาแนวเหนือธรรมชาติที่ยังเป็นของขายได้ขายดีก็ยิ่งนำพาให้เกิดบุคคลเหนือกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อหลายลัทธิ ความศรัทธาหลากสำนักถูกนำเสนอผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ที่สะดวกรวดเร็วขึ้น
ในยุคแรกๆของผู้มีญาณพิเศษนั้นมักจะได้รับเชิญจากรายการแนววาไรตี้ที่นานๆครั้งจะหันมานำเสนอเนื้อหาแนวลี้ลับเพื่อสร้างสีสัน การพูดคุยถึงประสบการณ์เหนือจริงความเชื่อในศาสตร์เหล่านี้ถูกผลิตและเสพเป็นความบันเทิงในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้มีญาณที่เป็นที่รู้จักผ่านสื่อทีวีจะมีชื่อเสียงเรียงนามที่มีเอกลักษณ์ให้จดจำแตกต่างกัน ตั้งแต่ตุ้ย เอกซเรย์, เอ๋ สแกนกรรม ทั้งนี้ หากจะพูดถึงผู้มีญาณชั้นนำของเมืองไทยในยุคปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้น ริว จิตสัมผัสกับ เจน ญาณทิพย์แห่งรายการคนอวดผี โดยทั้ง 2 ถือเป็นหมุดหมายของวงการผู้มีญาณที่จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในสื่อกระแสหลัก และเป็นที่จดจำไม่ว่าจะจากบุคลิกลักษณะการเห็นกรรม การให้คำแนะนำที่ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จนเมื่อกระแสทีวีเคเบิลมาแรงขึ้น รากความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติผุดโผล่มาเป็นรายการทีวีแนวลี้ลับ เกิดเป็นช่องเคเบิลที่สร้างเนื้อหาแนวนี้โดยเฉพาะขึ้นซึ่งจะมีรายการในลักษณะหมอดูทำนายดวงผ่านหน้าจอ จนถึงอ่านกรรมโดยเปิดให้คำปรึกษากับผู้ชมทางบ้าน
กระทั่งเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตรวดเร็วขึ้นเกิดเป็นช่องทางการสื่อสารของทั้งผู้ศรัทธาและผู้มีญาณ เมื่อผสานกับการเผยแพร่ในรูปแบบของสื่อทีวีที่ต้องการสีสัน เอกลักษณ์เฉพาะตัวเกิดเป็นผู้มีญาณ ตัวอย่างเช่น อ.น้องวัน นางฟ้าญาณเทพ, มุ้ย หมอดูหูทิพย์, อ.โจซี่ ทิฟฟานี่ญาณเทพ, อ.ปูรณ์ รูปถ่ายฉายกรรม, อ.ณัฏฐ์ คงญาณเวทย์และอ. แบงค์ สเกตซ์กรรม และ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตจุ นาสตราดามุสเมืองไทย
ปัจจุบันนี้ ผู้มีญาณเหล่านี้หลายคนก็มีรายการทีวีอยู่ตามช่องเคเบิลวาไรตี้ทั่วๆไป บ้างก็มีช่องรายการเคเบิลเป็นของตัวเองออกอากาศ 24 ชม. ก้าวต่อไปของยุคดิจิตอลจึงเป็นที่น่าสนใจว่า เนื้อหารายการแนวนี้จะเติบโตไปในทิศทางใดต่อไป...
ที่พึ่งทางใจ...
ปรากฏการณ์ของคนมีญาณที่มากขึ้นในเชิงธุรกิจโทรทัศน์อาจสะท้อนได้ว่า มีตลาดที่มากพอรองรับรายการแนวนี้ ดร. เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า แม้จะมีตัวเลขที่ไม่แน่ชัด แต่จากฐานของคนไทยที่มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เขาเห็นว่า กลุ่มคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นลูกค้ามีอยู่มากมายมหาศาล
“กลุ่มคนที่มีสิทธิ์จะเป็นลูกค้าได้ก็มีมากมายมหาศาลอยู่นะครับ แต่ว่าคนที่เข้าถึงจริงๆ ก็มีเฉพาะคนที่มีเคเบิลทีวี ตลาดก็เล็กกว่าจำนวนคนทั้งหมด ดังนั้นผมคิดว่าตลาดไม่น่าจะใหญ่มาก ด้วยเพราะจริงๆ แล้วช่วงเวลาที่เขาฉายก็มีคู่แข่งเยอะด้วย ไม่ว่าจะละครทีวี หรือรายการโทรทัศน์แนวอื่นๆ”
แต่ทว่ากลยุทธ์การตลาดของรายการทีวีแนวนี้ ไม่จำเป็นต้องได้ยอดคนดูมากมายนัก หากแต่ต้องการกรองเฉพาะผู้ชมยินดีจะศรัทธามากกว่า
“คนที่มองหารายการแนวนี้เขาต้องการที่พึ่งพิงทางจิตใจอยู่แล้ว ดังนั้นรายการไม่จำเป็นต้องสร้างดีมานด์(ความต้องการตลาด) แต่เพียงขุดหลุมรอพอคนมาถึงเมื่อไหร่เขาก็พยายามเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการเหล่านั้น”
เขาเผยว่า การให้บริการของผู้มีญาณเหล่านี้ส่วนมากแล้วจะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน 1. คือการบริการเกี่ยวกับจิตใจ การให้กำลังใจเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตโดยอาจจะผ่านการขายเครื่องราง 2. การบริการในเชิงส่งพลังจิตให้กัน 3. ให้คำแนะนำโดยอิงจากความรู้ที่รับรองเอาจากความสามารถเหนือธรรมชาติของตน
“คนเหล่านี้ก็จะให้คำแนะนำเพื่อให้คนเกิดกำลังใจและสบายใจขึ้น มันสะท้อนถึงภาวะความไม่มั่นคงของจิตใจ ผู้ชมคนนั้นอาจจะกำลังมีปัญหาไม่รู้จะก้าวไปข้างหน้ายังไง บางทีสถานการณ์ตรงนั้นไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีปกติ พวกเขาก็จะมองหาทางลัดในการแก้ปัญหา แล้วก็เชื่อว่า พลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้จะช่วยเขาได้”
ส่วนของการตลาดในหมู่ผู้มีญาณที่ต่างก็มีบุคลิกและจุดขายที่แตกต่างกัน เขาเผยถึงกลยุทธ์ของการให้บริการแนวนี้ว่า สิ่งต้องห้ามแรกคือห้ามสร้างแบรนด์ด้วยตัวเอง...
“แต่ต้องสร้างแบรนด์ด้วยการสร้างความศรัทธาแล้วให้ความศรัทธานั้นเข้าไปสู่กลุ่มบุคคลต่างๆ แล้วมันจะย้อนกลับมาเป็นแบรนด์เอง ซึ่งจะต่างจากสินค้าทั่วไปที่โฆษณาได้ เพราะเรื่องของความศรัทธาจะต้องเกิดจากการพิสูจน์ในระยะยาว ถ้าดีจริง ช่วยได้จริง ศรัทธาทั้งหลายมันจะนำไปสู่โอกาสเอง”
แต่ที่ผ่านมา ในสังคมไทยกลับเต็มไปด้วยผู้มีญาณที่ใช้คอมเซ็ปต์แปลก ล่าสุดก็มีเพอร์ซีอุสที่เหมือนนำชื่อมาจากเทพปกรณัมกรีก เขาเห็นว่า การตลาดแนวนี้เป็นแบบฉาบฉวย
“อันนั้นเป็นการตลาดแบบฉาบฉวยครับ เขาไม่ต้องการคนเยอะ เคเบิลทีวีต้นทุนไม่แพงอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ได้แค่ไม่กี่คนที่เชื่อเขาก็มีส่วนต่างพอให้ได้กำไรอยู่ได้แล้ว”
ทว่า การมองหาที่พึ่งทางจิตใจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เขาเผยว่า เป็นธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนจะต้องการความมั่นคงทางจิตใจ โดยในต่างประเทศก็มีบริการแนวนี้อยู่ ไม่ว่าจะในยุโรป หรืออเมริกา เพียงแต่อาจมีความเป็นวิทยาศาสตร์ผสมอยู่ ขณะที่ประเทศไทยนั้นอิงอยู่กับสิ่งเหนือธรรมชาติอันมาจากวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
“ต่างประเทศก็มีส่งพลังวิเศษ ใช้ลูกตุ้มเพนดูลั่มสลายนิ่ว มีหมด” เขาเอ่ยก่อนขยายความ “รายการบางรายการของประเทศไทยก็ไปเห็นรายการแนวนี้ในต่างประเทศแล้วก็อบปี้มาใช้ ทั้งรูปแบบและกลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งโดยตัวของธุรกิจเองมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด ถ้ามันจะให้กำลังใจคนและทำให้เขาสามารถก้าวผ่านปัญหาไปได้ แต่ถ้าเป็นแบบหลอกลวงกันจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากและต้องดูแลให้ดีๆ”
ศรัทธาเคเบิลสู่ทีวีดิจิตอล
สิ่งหนึ่งที่หลายคนกังวลกับเนื้อหาแนวนี้ที่เกิดขึ้นมากมายในวงการเคเบิลทีวี หากก้าวสู่ยุคดิจิตอลรายการแนวนี้จะผุดเพิ่มขึ้นมากมายขนาดไหน และส่งผลต่อสังคมวงกว้างอย่างไรบ้าง...ดร. เกียรติอนันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดคนเดิมมองว่า ขึ้นอยู่กับช่วงโอกาสที่อาจจะมีมากขึ้นในช่วงแรกเท่านั้น
“แต่พักหนึ่งพอมีคู่แข่งมากขึ้น คนที่เป็นของเทียมหรือมีกลยุทธ์ไม่ดีพอก็จะตายไปเอง เราอาจจะเห็นการเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีแรก แต่หลังจากนั้นรายการเหล่านี้จะอยู่ยาก ถ้ามีรายการแบบเดียวกันแต่ดีกว่าก็แพ้ไป หรืออาจจะมีรายการแนวอื่นซื้อเวลาไปเลยก็ได้ ระยะยาวต้องดูอีกทีว่าเขาจะพิสูจน์ว่าเป็นของจริงได้หรือเปล่า”
เมื่อถามว่า บุคคลเหล่านี้จะมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นหรือไม่ เขาเห็นว่า ปัจจุบันนี้ไม่ได้เยอะขึ้น แต่เรารับรู้ได้เยอะขึ้นจากช่องทางการสื่อสารที่มากขึ้น
“สมัยก่อนจะต้องแนะนำกันปากต่อปาก หรือคนรู้จักพาไป แต่ตอนนี้หลายๆ ท่านมีเฟซบุ๊ก มีเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งมันจะทำให้สื่อตรงได้มากกว่า เรื่องพวกนี้คนไทยชอบพูดปากต่อปากอยู่แล้ว มีอะไรเขาก็สามารถจะโฆษณาตรงนี้ได้ จำนวนอาจจะไม่เยอะแต่การรับรู้ของคนที่ว่าเขาดำรงอยู่มันมีเยอะขึ้น”
ทว่ากับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคมนั้น เขาเผยว่า หากดูสนุกๆ ก็ไม่เป็นไร ทว่าสิ่งที่เขากังวลอยู่คือ หากคนนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิดก็อาจเกิดเป็นปัญหาใหญ่ได้
“ผมกังวลว่า พอถึงจุดหนึ่งอาจมีคนที่เก่งทางด้านการตลาดและมีความสามารถจริงในระดับหนึ่ง แล้วนำทั้งหลายทั้งปวงไปใช้ในทางที่ผิด มันอาจจะเกิดการหลงแบบหัวปักหัวปำได้ ทุกวันนี้ที่เราเจอความไม่แน่นอนในชีวิตอยู่ตลอดเวลา ใครๆก็อยากได้ที่พึ่งพิงทางใจ ฉะนั้นใครจับจุดตรงนี้ได้ ใช้ในทางที่ผิดก็อาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมา”
…
ในสังคมที่คอนเทนต์ลี้ลับหยิบจับมาขายได้ตลอดเวลา ไม่แปลกที่ผู้มีญาณจะมีขึ้นมากมาย กับยุคทีวีดิจิตอลที่กำลังจะมาถึง หากคนเรามีจิตใจที่เข้มแข็งภายใน สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
คลิปเพอร์ซีอุสปล่อยพลัง