ไม่รู้ว่ามีดีอะไรคุ้มครอง นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ “อั้ม เนโกะ” สาวประเภทสองผู้ใจกล้าบ้าบิ่น ถึงได้แคล้วคลาดการนอนตะรางไปอย่างหวุดหวิด หลังกองปราบฯ ออกโรงป้อง ขอยกเลิกหมายจับไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จนเกิดการตั้งคำถามต่อสังคมว่า ทำไมคนพูดจาจาบจ้วงหมิ่นสถาบันถึงยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ในสังคม โดยที่ตำรวจไม่สามารถแตะต้องพวกนี้ได้แม้แต่ปลายเล็บ
“อั้ม เนโกะ” หวิดนอนคุก
ถึงขั้นถูกยกย่องว่าเป็นกะเทยผู้สยบตำรวจไทยเลยทีเดียว หลังกองปราบฯ ยกเลิกออกหมายเรียก “อั้ม เนโกะ” รับทราบข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ชงคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นฯ ของ สตช.ดูหลักฐานว่าหนาแน่นพอออกหมายเรียกหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ น.ส.พรทิพา สุพัฒนุกุล หรือฟ้า อดีตเจ้าของรายการ “เบสต์ออฟยัวร์ไลฟ์” ออกอากาศทางช่อง 13 สยามไท เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ให้ดำเนินคดีต่อนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ “อั้ม เนโกะ” อายุ 20 ปี นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2556 กรณีที่พูดพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้รับการประสานว่าคดีหมิ่นสถาบันฯ นั้นพนักงานสอบสวนไม่สามารถออกหมายเรียกเองได้ ต้องทำการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นสถาบันฯ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาว่าหลักฐานหนาแน่นพอที่จะออกหมายเรียก นายศรัณย์ มารับทราบข้อกล่าวหาได้หรือไม่ ครั้งนี้นายศรัณย์จึงรอดการนอนคุกไปอย่างหวุดหวิด
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2557 นายศรัณย์ยังได้ออกมีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Aum Neko โดยมีการต่อว่าถึงทาง ASTV ผู้จัดการ ว่าเป็นสื่อชั้นต่ำ หลังนำเสนอเรื่องที่นายศรัณย์โดนหมายเรียกในข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112
“ขอแถลงเรื่องของวันพรุ่งนี้นะคะ ในวันพรุ่งนี้อั้มจะยังไม่ไปพบพี่ๆ ตำรวจที่กองปราบนะคะ เนื่องจากมีการบิดเบือนความจริงโดยสื่อแรกๆ อย่างสื่อชั้นต่ำ Astv Tnews แนวหน้า ที่นำเสนอข่าวอั้มว่ามีการออกหมายเรียกแล้ว 2 รอบ แล้วต่อมามีการใช้โจมตีอั้มต่อมาว่าหนีหมายเรียก แต่จากการสอบถามทางเจ้าหน้าที่แล้วนั้นปรากฏว่ายังไม่มีหมายเรียกออกมาสักฉบับค่ะ แต่กำลังจะออกหมายเรียกแรกในวันจันทร์ที่จะถึง หลังจากนั้นอั้มจะประสานกับทางพี่ตำรวจอีกทีว่าจะไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันใด สุดท้ายขอไว้อาลัยแด่กฎหมาย ม.112 ที่ถูกใช้มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และขอประณามสื่อ "เลวๆ" ที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นค่ะ”
รวมตัวล่า “ไอ้ตั้ง อาชีวะ”
ส่วนอีกรายที่มีชนักปักหลังอันโตไม่แพ้กัน “ตั้ง อาชีวะ” หรือ เอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาในหมายจับคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ปรากฏตัวในคลิปวิดีโอจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง จนเกิดปรากฏการณ์ล่าแม่มด ชาวโลกออนไลน์เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวแบบไม่มีกั๊ก ส่งผลให้มีคนตามล่ารังควานถึงบ้าน จนตอนนี้กลายเป็นผีไม่มีศาล เร่ร่อนไปเรื่อย แต่เหมือนจะยังไม่สำนึก เพราะทุกวันนี้ยังเห็นอยู่ดี กินดี อวดภาพการใช้ชีวิตชิลชิล ลงเฟซบุ๊กอยู่หลายครั้ง จนสังคมตั้งคำถามว่า เห็นหลักฐานทนโท่อยู่ขนาดนี้ ทำไมตำรวจยังจับตัวมันมาลงโทษไม่ได้?
หลังเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีการเผยแพร่คลิป“ตั้ง อาชีวะเสื้อแดง” ความยาวเกือบ 25 นาที ซึ่งมีการปราศรัยข้อความที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ทั้งนี้ คลิปวิดีโอดังกล่าวเดิมที่ถูกโพสต์ในเว็บไซต์ www.thaivoice.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวมทีวีออนไลน์ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเป็นการปราศรัยในช่วงเย็นของเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 ณ เวทีเล็ก สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำโดย นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรี ส.ส. และบุคลากรของพรรคเพื่อไทย จำนวนมากจัดขึ้น ก่อนที่คลิปดังกล่าวจะมีการถูกหยิบยกนำมาพูดถึงในเว็บบอร์ด ยูทิวบ์ เฟซบุ๊ก และสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างต่อเนื่อง โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในวงกว้าง
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 56 ศาลอาญารัชดาภิเษก ออกหมายจับเลขที่ 2429/2556 ตามคำร้องของ พ.ต.ท.โกเมน สุภาพ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก ให้ออกหมายจับ นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ อายุ 22 ปี ในฐานความผิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว ตั้ง อาชีวะ ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุข และล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ทางเฟซบุ๊ก "พลังประชาชน โค่นล้มระบบทักษิณ" ยังได้โพสต์ภาพตั้ง อาชีวะสวมกางเกงขาสั้นนอนอยู่บนเก้าอี้ในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยบนโต๊ะที่วางอยู่ใกล้กันมีกระเป๋าถือลายหลุยส์ วิตตอง โทรศัพท์ และแท็บเล็ต วางอยู่ พร้อมพวงกุญแจระบุหมายเลข 436 ซึ่งในภาพได้มีการระบุวันที่ว่า 19/03/2014 ด้วย
“แดงล้มเจ้า” ใส่ร้ายหรือเรื่องจริง
“หลักฐานยืนยันล่าสุดของรัฐบาลว่าไม่มีความจริงใจคือ ไม่สามารถจับตัวไอ้ตั้ง อาชีวะมาเข้าคุกได้ ถ้าตั้งใจจริงแล้วคงไม่นานจนถึงป่านนี้ ยังไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน จะหนีไปได้ไกลได้อย่างไร ถ้าพวกเดียวกันไม่ช่วยเหลือ ใครให้ความช่วยเหลือต้องติดคุกหมด”
“ทำเป็นบอกรักสถาบัน ทั้งๆ ที่เวทีไอ้กบฏแดงทั้งแผ่นดินด่าสถาบันตลอด ชูธงไม่มีแถบสีน้ำเงิน ฯลฯ สร้างภาพตีสองหน้าอย่างหน้าด้านๆ เห็นแล้วสมเพช เก่งแต่เป็นอีแอบ”
“จะไม่ให้ปฏิรูปการเมืองบ้านเมืองยังไง ในเมื่อตำรวจยืนอยู่ข้างเดียวกับโจร ตำรวจแดงไม่เข้าไปจับแถมเป็นการปกป้องควายแดงอีก แล้วคนดีๆ จะอยู่กันยังไง”
“ทีคนธรรมดาโดนหมิ่นประมาท กฎหมายยังคุ้มครอง แล้วทำไมจะไม่ให้คุ้มครองสถาบัน ไม่ทราบว่าเคยเห็นสิ่งที่เด็กคนนี้ทำหรือไม่ ถ้าคุณหรือญาติโดนกระทำบ้าง จะยังเฉยมั้ย”
หลากหลายความคิดเห็นแสดงความไม่พึงพอใจต่อการดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของคนบางกลุ่ม รวมไปถึงตำหนิการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทย จากหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา สามารถยืนยันข้อความที่ว่า “ไม่ใช่เสื้อแดงทุกคนคิดล้มเจ้า แต่คนล้มเจ้าทุกคนเป็นเสื้อแดง” ได้เป็นอย่างดี โดยทุกวันนี้ผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 มีให้เห็นบ่อยครั้ง และเกิดการรับรู้มากขึ้นเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ นายบวร ยสินทร ตัวแทนเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน เคยกล่าวถึงรูปแบบในการหมิ่นสถาบันไว้ว่า
“รูปแบบหมิ่นสถาบันฯ ในแนวเดิมคือใช้ Social media ตรงนี้เราไม่ค่อยห่วงมาก เพราะมีทั้งพวกที่กระทำไปโดยคึกคะนอง เมื่อมีการแจ้งดำเนินการพวกนี้ก็จะหยุด อีกส่วนเป็นพวกมือปืนรับจ้าง ส่วนนี้เมื่อมีการแจ้งไปยัง ICT ก็จะเปลี่ยนไปที่ใหม่ แต่ในภาพรวมของส่วนนี้น้อยลง
แต่สิ่งที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมนั่นคือ เริ่มมีการเปิดหน้าผู้กระทำการหมิ่น มีการพูดกันอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ รวมไปถึงกลุ่มนักศึกษาในบางมหาวิทยาลัยที่แสดงตัวกันมากขึ้น คนเหล่านี้ที่กล้าทำก็เพราะรู้มากว่าการกระทำอย่างนี้เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วก็มีทางออก นั่นคือการขอพระราชทานอภัยโทษ พวกนี้จึงไม่กลัวและไม่เข็ดหลาบ”
นอกจากนั้น เรายังจะได้เห็นการหมิ่นสถาบันออกมาในรูปแบบของการแทรกตัวตามการจัดงานต่างๆ อย่างเช่น งานครบรอบ 40 ปี 14 ตุลาคม ภายในงานมีการแสดงละครเวทีหรืองิ้วที่มีเนื้อหาหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน หรืองานชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ที่ปราศรัยหมิ่นสถาบัน
ทั้งนี้ จากการสืบค้นทำให้ได้ทราบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตอนนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังนำบางส่วนของพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 มาเป็นคำกล่าวอ้างในการต่อสู้กับคดี ม.112 โดยระบุว่า ควรรีบสนองพระราชดำรัสโดยการประกาศห้ามใช้ ม.112 อย่างเป็นทางการและรีบปล่อยตัวนักโทษคดีนี้โดยด่วนด้วยเพื่อเป็นการแสดงว่าท่านมีความจงรักภักดีจริง
“ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิด ก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏ ก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ...รัชกาลที่ 9 ใครเป็นกบฏ ก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง” พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548
ถึงแม้ กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนจะถูกกฎหมายตามลงทัณฑ์ อาทิ ดา ตอร์ปิโด, ก่อแก้ว พิกุลทอง, สุรชัย แซ่ด่าน แต่ก็ยังมีพวกฝีปากกล้า ใจกล้า ที่ยังลอยหน้าลอยตาให้รำคาญใจ เนื่องจากสายสัมพันธ์อันดีของรัฐบาลไทยและตำรวจ จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ไม่คืบหน้า และทำให้พวกแดงล้มเจ้าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ถึงอย่างนั้น คงต้องรอให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ของมันเอง
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live