xs
xsm
sm
md
lg

หมดศรัทธา MCOT-NBT ประชาชนด่าเละ สื่อฟรีทีวี “ทาสรัฐบาล”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ่ายทอดแถลงการณ์ดรามาน้ำตานองของรักษาการนายกฯ ได้ตั้งหลายนาที พอถึงทีฝั่งผู้ชุมนุมอ่านแถลงการณ์บ้าง NBT (ช่อง 11) กลับเพิกเฉย ไม่ยอมเผยแพร่ข้อเท็จจริง ส่วน MCOT (ช่อง 9) เองก็ยอมสละเวลาเพียง 10 นาทีแล้วตัดสัญญาณหนีเข้ารายการปกติ ทั้งที่ฟรีทีวีช่องอื่นๆ อย่าง 3, 5, 7 และ ThaiPBS ยอมนำเสนอจนจบสาระสำคัญ
เลือกปฏิบัติ ทำหน้าที่ไม่เป็นกลางแบบนี้ มีหรือจะรอดพ้นสายตานับล้านของประชาชนไปได้ ชาวเน็ตจึงลุกขึ้นมาก่นด่ากันยกใหญ่ ตั้งชื่อใหม่ให้ฟรีทีวีทั้ง 2 ช่องว่าไม่มีคุณสมบัติของสื่อมวลชน แต่เป็นได้แค่ “ทาสรัฐบาล”!!





เลิกดูนานแล้ว ช่องแบบนี้!!
“ช่วงหลังมา ช่อง 3 นำเสนอข่าวฝั่งมวลมหาประชาชนเยอะขึ้นมาก ทั้งยังเสนอในแง่ที่ดูแล้วเป็นบวกด้วย แต่ช่อง 9 นี่ทุเรศมากๆ ตั้งแต่ปีนู้นที่ถอดรายการคุณกนกออก ช่อง 9 ก็รับใช้แม้วเต็มตัวแล้วล่ะครับ

“เลิกดูมานานแล้ว มีแต่การเมืองภายใน คนดีอยู่ไม่ได้ ต้องคอยพูดเอาใจรัฐบาล ถึงจะอยู่ได้

“ก็เข้าใจนะว่าทั้ง 2 ช่องนั้นดูแลโดยรัฐบาล แต่ถ้ามองถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่จะต้องมีหน้าที่รายงานเหตุการณ์หรือเรื่องสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นให้คนได้รับทราบ ตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นการทำงานที่น่าผิดหวังมากๆ ต้องถือว่ามันเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยเลยนะ”

“หลังจากเอาผู้บริหารติดคุกแล้ว เอาช่อง 9 ให้ประชาชนบริหารดีกว่า ผมเลิกดูมันตั้งนานแล้วไอ้ช่องนี้

และอีกมากมายหลากความคิดเห็นที่ประโคมโพสต์แสดงความรู้สึกเอาไว้บนโลกออนไลน์ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยหมดศรัทธาในการทำหน้าที่ “สื่อมวลชน” ของทั้งช่อง MCOT และ NBT หลังจากเห็นแล้วว่าเลือกที่จะไม่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน

คือในระหว่างที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) อ่านแถลงการณ์ ฟรีทีวีทุกช่องยินดีถ่ายทอดสดเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมๆ กัน แต่ NBT กลับไม่ยอมให้พื้นที่ แล้วออกอากาศการสัมภาษณ์ วิม รุ่งวัฒนจินดา เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมอย่างรุนแรงแทน

ส่วน MCOT ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเพียงเล็กน้อย ให้เวลาออกอากาศแถลงการณ์เพียง 10 นาที แล้วตัดสัญญาณเข้ารายการเกมโชว์ “My Man Can แฟนฉันเก่ง” ทันที อย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทย ยิ่งเปรียบเทียบกับเวลาที่ให้รักษาการนายกฯ ออกมาแถลงการณ์เคล้าน้ำตาแล้ว ยิ่งทำให้หลายฝ่ายเห็นได้ชัดว่าสื่อทั้ง 2 ช่องนี้ ไม่ควรค่าที่จะถูกเรียกว่า “สื่อมวลชน”

“การที่เราพูดถึง NBT และ MCOT เราก็อาจจะต้องมองภายใต้บริบทขององค์กรด้วย ว่าอาจจะถูกควบคุมโดยใคร และอาจจะต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ในบ้านเรา เป็นการขัดขวางเสรีภาพการนำเสนอ และอาจจะทำให้ทางรัฐเองถูกประณาม เพราะไม่ได้รับผิดชอบต่อสังคม แต่รับผิดชอบต่อผู้มีอิทธิพลในการครอบงำแทน

หลักการเรื่องเสรีภาพเป็นสิ่งหนึ่งที่สื่อเองควรรักษาไว้ แต่สิ่งที่ NBT และ MCOT ทำ อาจจะทำให้มองได้ว่าเป็นเพราะใกล้ชิดกับรัฐบาล เลยทำให้นำเสนอแบบเข้าข้าง ประเด็นนี้ยังพูดได้ไม่ชัดเจนมากนัก เพราะถ้าจะบอกว่าสื่อทุกชนิดจะต้องเสนอคำแถลงการณ์ยาวๆ ของทุกฝ่าย อันนี้บางสถานีเขาอาจจะไม่สะดวก ด้วยระบบองค์กร จึงทำให้ต้องเลือกใช้วิธีตัดมาเสนอเป็นช่วงๆ แทน และถ้าประชาชนอยากดู ปัจจุบันก็มีสื่อทางเลือก สื่ออินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วและประชาชนสามารถพึ่งพาได้จริงๆ

รศ.ดร.สุรัตน์ เมธีกุล อนุกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ดูแลเรื่องการกำกับดูแลกันเองในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ แสดงความคิดเห็นเอาไว้ เหมือนต้องการพูดเป็นนัยว่า เมื่อสื่อหลักพึ่งไม่ได้ ก็ให้หาทางเสพสื่อทางเลือกเอาแล้วกัน




NBT = กระบอกเสียงรัฐบาล
"สื่อทาสรัฐบาล" ศัพท์ใหม่ที่มอบให้ช่อง NBT และ MCOT ไม่ใช่แค่วาทกรรมเพื่อสาดอารมณ์จากประชาชนเท่านั้น แม้แต่ ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ยังช่วยยืนยันอีกแรงว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะจากการนั่งมอนิเตอร์สื่อฟรีทีวีมาตลอดช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า NBT ทำหน้าที่หลักๆ เพียงอย่างเดียวคือ “เป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล”

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับช่อง NBT ชัดเจนว่าพื้นที่ข่าวค่อนไปในทางสนับสนุนรัฐบาลมากกว่าทางอื่น หลักฐานสำคัญก็คือว่าแหล่งข่าวที่ใช้มี 2 ประเภท อันที่หนึ่ง นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล รัฐมนตรีหัวหน้าพรรค มาให้สัมภาษณ์ในรายการทอล์กโชว์ อันที่สอง กลุ่มนักการเมืองมาออกในรายการสนทนาของช่อง NBT ทั้ง 2 กลุ่มนี้ คือกลุ่มคนที่เป็นไปในทางเดียวกัน

เวลาที่พูดถึงว่าสื่อไหนดำรงความเป็นกลางทางการเมืองเอาไว้หรือเปล่า เราต้องดูว่าความคิดเห็นมันมีหลากหลายหรือไม่ เท่าที่ผมดู ปรากฏชัดว่า ช่อง NBT ถึงแม้จะเอาหลายคนมาออกรายการ แต่ว่าความคิดเห็นหรือทัศนะทางการเมืองที่แสดงออกมามันไปทางเดียวกันทั้งหมด คือปกป้องหรือสนับสนุนสิ่งที่รัฐบาลกระทำ

เพราะฉะนั้น เวลาที่เราดูรายงานข่าวสนทนาช่อง NBT ให้รู้ไว้เลยว่าไม่ได้รายงานข่าวในลักษณะการแสดงความคิดเห็นที่สมดุลเลย นี่คือปัจจัยแรก

ปัจจัยที่ 2 สังเกตเห็นว่าปริมาณพื้นที่รายการถูกปรับเปลี่ยนให้มีรายการพิเศษเพิ่มมากขึ้น ปกติ NBT จะมีรายการอื่นๆ ด้วย แต่พอเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทางช่องก็ยกรายการปกติออกไป แล้วเพิ่มรายการพิเศษเข้ามา เป็นรายการเกาะติดสถานการณ์การชุมชุม และมีรายการอีกรูปแบบหนึ่งคือสารคดีเชิงข่าว พูดปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมาว่ามีที่มาอย่างไร แต่ไม่ค่อยยอมพูดถึงประเด็นขัดแย้งในเรื่องที่มาที่ไปของระบอบทักษิณ

มีการพูดถึงข้อมูลเพียงบางส่วนเท่านั้น คือเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง อีกส่วนก็ละเลยทิ้งไป เพราะฉะนั้น เวลาดูรายการข่าวก็จะรู้สึกเหมือนเอนเอียงไปข้างเดียว แต่ก็โอเค อาจจะบอกได้ว่าช่อง NBT กำลังทำหน้าที่ปกป้อง พิทักษ์รัฐบาลอยู่ นี่คือจุดเด่นของเขาเลย จะใช้ช่องนี้แหละโต้วาทกรรมของ กปปส. หมดเลย

จริงๆ แล้ว NBT เขาต้องมีพันธกิจในการสร้างเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาล รัฐสภา กับประชาชน แต่ดูเหมือนว่า NBT จะตีความคำว่า “ความเข้าใจอันดี” เป็นไปในแบบทางเดียว ซึ่งเป็นแง่มุมที่ค่อนข้างบิดเบี้ยว มีแต่พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐบาล ไม่ใช่รายการเพื่อทำประโยชน์สาธารณะของประชาชนสักเท่าไหร่ ผมว่าเป็นการตีความที่ผิดเพี้ยนจากที่กฎหมายเขียนเอาไว้เยอะ กฎหมายเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องนโยบายสาธารณะ การประชาสัมพันธ์นิทรรศการที่ประชาชนควรจะรู้ เพื่อสิทธิประโยชน์ของประชาชน แต่ NBT ตีความไปเข้าฝั่งรัฐบาล ตีความผิดไปไกลเลยล่ะ

ยิ่งมีรายการ “ความจริงวันนี้” เข้ามาอีก ยิ่งสะท้อนข้อเท็จจริงเข้าไปอีกว่า NBT ไม่ใช่สื่อสาธารณะ แต่เป็นกระบอกเสียงฝ่ายเดียวของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหมือนกันนะ”




เบื้องหลัง "ฟรีทีวีทาส"
ส่วนช่อง MCOT ก็อาการหนักไม่แพ้กัน ถึงแม้จะไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์อย่าง NBT แต่ก็เป็นฟรีทีวีที่ถูกครอบงำทุกยุคทุกสมัย เรียกว่าเป็น “แดนสนธยา” ของสื่อมวลชน ไม่มีทางออกให้คนข่าว ไร้เสรีภาพที่แท้จริงในการนำเสนอ

ด้วยโครงสร้างองค์กรที่ผิดมาตั้งแต่ต้น อยู่ภายใต้การดูแลของ อสมท ซึ่งมีกระทรวงการคลังถือหุ้นหลักอยู่ถึง 2 ใน 3 ของหุ้นทั้งหมด ที่สำคัญ บอร์ด อสมท ก็เป็นบอร์ดที่ถูกแต่งตั้งมาจากฝั่งการเมือง มีนักการเมืองนั่งชี้นิ้วอยู่ภายใน และมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองอยู่มากมาย บอร์ดผู้บริหารจึงมีอิทธิพลล้นฟ้าในการควบคุมดูแลรายการข่าวของช่อง ทำให้ฟรีทีวีนี้กลายเป็น “ฟรีทีวีทาส” อย่างที่ประชาชนครหาเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“รายการอื่นๆ ของ MCOT ไม่ค่อยมีปัญหาหรอกครับ เพราะเป็นรายการบันเทิง เป็นธุรกิจแบบเหมาช่วงเวลาตามปกติ แต่ทิศทางข่าวของ MCOT ก็ไม่เป็นอิสระ แต่ก็ไม่ถึงกับชัดมากอย่าง NBT ที่ปกป้องรัฐบาลอย่างถึงลูกถึงคน

โดยแท้จริงแล้ว MCOT มีองค์ประกอบของคนทำงานในสำนักข่าวไทยที่ถูกฟูมฟักมานานในเชิงของความเป็นอิสระส่วนหนึ่ง แต่ช่วยไม่ได้ที่บอร์ด อสมท และผู้อำนวยการสถานี ถูกแต่งตั้งจากทางการเมือง และมีนโยบายชัดเจนต่อการนำเสนอข่าวเชิงบวกให้รัฐบาล 

เพราะฉะนั้น ถามว่าข่าวรายงานสถานการณ์ เช่น การชุมนุม เป็นไปในทางที่พอรับได้มั้ย? ตอบว่ารับได้ เพราะ MCOT ไม่ถึงกับ NBT ที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน แก้ต่าง-แก้ตัวให้รัฐบาล แต่ MCOT จะใช้วิธีหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ พูดง่ายๆ ว่าMCOT จะให้ความสำคัญกับม็อบแค่เพียงเหตุการณ์อันเป็นสาระสำคัญ แต่จะไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ม็อบเรียกร้องหรือพูดถึงเท่าไหร่” ธาม นักวิชาการด้านสื่อชื่อดัง ยังคงวิเคราะห์อย่างดุเด็ดเผ็ดมันต่อไป

“ผมคิดว่าจะต้องมีคนในMCOT บางส่วนไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทั้งหมด ข่าวMCOT จึงไม่ได้ทำในเชิงปกป้องรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เอาใจความของม็อบมานำเสนอเหมือนกัน พูดง่ายๆ คืออาจจะปิดตาข้างหนึ่งและเลือกที่จะเงียบ ไม่นำเสนออีกครึ่งนึง

หลังจากม็อบเดินขบวนเข้ามาขอพื้นที่สื่อตามสำนักต่างๆ ถึงสำนักงานก็ทำให้บางรายพยายามปรับเพิ่มพื้นที่การนำเสนอ มอบพื้นที่ให้ฝั่งผู้ชุมนุมมากขึ้น รวมถึง MCOT ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อ “ความเป็นกลาง” ที่สื่อมวลชนควรมีอยู่ดี

“วิธีการปรับการรายงานข่าวให้มีความเป็นกลางมากขึ้น มีอยู่ 2 แบบคือ ปรับจากไม่เคยให้พื้นที่ เปลี่ยนเป็นมาให้พื้นที่บ้าง คือ เพิ่มสัดส่วนพื้นที่ในการรายงานสถานการณ์การชุมนุมว่า อยู่จุดไหน ทำอะไร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จากเดิมอาจจะไม่รายงานความเคลื่อนไหวของม็อบเลย แต่พอม็อบมาเดินขบวนเรียกร้อง ก็เพิ่มพื้นที่ให้ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มพื้นที่นำเสนอฝั่งรัฐบาลขึ้นเหมือนกัน คือไม่ได้เพิ่มพื้นที่ข่าวให้เฉพาะผู้ชุมนุม แต่เพิ่มพื้นที่ข่าวให้รัฐบาลด้วย

แบบที่ 2 คือปรับแค่การรายงานข่าวเชิงสถานการณ์ แต่ไม่ได้ปรับให้มีการรายงานข่าวเชิงลึก วิเคราะห์สถานการณ์สืบสวนเบื้องหลัง คือจะได้ข้อมูลแค่คุณสุเทพพูดว่าอะไร แต่ยังไม่ค่อยมีการเพิ่มพื้นที่สาธารณะ พื้นที่สำหรับการสนทนาปัญหาบ้านเมือง อันนี้เขาไม่ยอมปรับ เพราะปรับไม่ได้ อย่าง MCOT ที่ผังรายการยืดหยุ่นไม่ได้

ซึ่งจริงๆ แล้ว รายการวิเคราะห์สถานการณ์เชิงลึกสำคัญมากนะในสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ ประชาชนไม่ได้ต้องการเสพข่าวเฉพาะหน้า ข่าวเหตุการณ์เท่านั้น แต่ประชาชนต้องการบทวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจ แต่หลายๆ ช่องก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมเนื้อหาบทสนทนา

อีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะเรื่องความสามารถของนักข่าวด้วย คุณจะเห็นว่าบ้านเราจะมีไม่กี่ช่องที่มีนักข่าวที่สามารถประกาศข่าวได้ และเป็นผู้สัมภาษณ์ได้ด้วย ทำให้กลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราได้เสพข่าวผ่านฟรีทีวีแบบเชิงปรากฏการณ์ มากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้มานั่งวิเคราะห์เชิงลึก วิเคราะห์เชิงลึกที่ว่า ไม่ใช่แค่จับ 2 ฝ่ายมาโต้วาทีกันนะครับ อย่างที่ช่อง 3 ทำก็น่าจะเป็นการถกเถียงมากกว่าจะหาทางออก เพราะเลือกคนลักษณะเถียงเก่ง ใช้วาทกรรมเก่ง มากกว่าจะให้พื้นที่กับมุมมองหลายๆ แบบเพื่อเสนอหนทางแก้ไข

ถามว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่ทั้งช่อง NBT และ MCOT จะหลุดพ้นจากการเป็นทาส? คนถูกถามได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงปลงตกว่า “แทบจะเป็นไปไม่ได้”

“ประเด็นสำคัญคือ วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ ของคนในองค์กร ของคนในช่องนี้ ไม่ได้ยืนหยัดในเรื่องความเป็นอิสระด้านวิชาชีพสื่อจริงๆ กรมประชาสัมพันธ์ NBT ไม่ใช่สื่อมวลชนนะ เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำตามนโยบายคำสั่ง เป็นเพียงแค่หน่วยงานโฆษณาของรัฐ ผมคิดว่าวัฒนธรรมการทำงานของ NBT ไม่เอื้อต่อการที่จะทำให้คนทำงานสื่อคิดว่าตัวเองเป็นสื่อมวลชนที่คำนึงถึงเรื่องอิสระเสรี

ส่วน MCOT ก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่า MCOT จะคำนึงถึงผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ เพราะ MCOT มีผู้ถือหุ้น อสมท และกองบรรณาธิการของ MCOT ก็ไม่มีอิสระเพราะบอร์ดบริหารมาจากทางการเมือง กรรมการบริหารช่องก็พิจารณาว่ากิจการของทางช่องต้องเป็นไปเพื่อกำไรสูงสุดเพราะอยู่ในตลาดหุ้น เรียกว่า NBT ถูกปัจจัยทางการเมืองครอบงำเกือบทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์เลย ส่วน MCOT แบ่งเป็น 50 เปอร์เซ็นต์มาจากเรื่องการเมือง เพราะบอร์ดบริหารถูกแต่งตั้งมา และมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ยึดกุมอำนาจ มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแลชัดเจน

และอีกทางหนึ่ง MCOT ก็ไม่ได้เพื่อการเป็นสื่อสาธารณะ แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ทำให้ข่าวของ MCOT ออกมาในแนวหลีกเลี่ยงการปะทะ การจะให้มาทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะอย่าง ThaiPBS จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถูกแทรกแซงทั้งจากทางการเมืองและผลประกอบการขององค์กร

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE



ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
ชาวเน็ตจวกช่อง 9, ช่อง 11 ทาสรัฐบาล เผยคลิปจับผิดวินาที “ปู” ยิ้มร่าหลังแหลบีบน้ำตา
ถึงคราว “ฟรีทีวี” ตกอับ ประชาชนเอือม ไม่เป็นกลาง หันพึ่งสื่อออนไลน์
ขอบคุณภาพจาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า
NBT ไม่ถ่ายทอด แต่สัมภาษณ์คนฝั่งรัฐบาล
MCOT ยอมถ่ายทอดนิดเดียว
จากนั้น MCOT ตัดเข้ารายการบันเทิง
ขณะที่นักข่าวช่องอื่นๆ ทำงานกันอย่างเข้มข้น



กำลังโหลดความคิดเห็น