xs
xsm
sm
md
lg

5 ข้อคิด - ชีวิต - ปรัชญาจาก“พ่อ” ของซุป’ตาเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คำว่า “พ่อ” คือบุคคลสำคัญในชีวิตของใครหลายคนกับความสำเร็จของชีวิตหลายครั้งจึงมักมี “พ่อ” ยืนอยู่เบื้องหลังด้วยเสมอ เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ LIVE ได้รวบรวมเรื่องราวชีวิตและปรัชญาจาก “พ่อ” ของซุป’ตาร์เมืองไทย บางเรื่องราวชีวิตก็แอบซ่อนข้อคิดสอนใจขณะที่บางปรัชญาลึกซึ้งก็แฝงอยู่ในการดำเนินชีวิตเรียบง่าย แต่ทั้งหมดเหล่านี้คือเรื่องราวความผูกพันระหว่าง “พ่อ - ลูก” ที่บ่มเพาะวันเวลาผ่านความรักที่มีต่อกันให้

“อย่าโกหก”
สุรศักดิ์ อุดมศิลป์ พ่อของปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์

จากมรสุมข่าวที่ถาโถมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา จากกราฟชีวิตที่พุ่งขึ้นสูงของนักแสดงสาว ปันปัน - สุทัตตา อุดมศิลป์กลับต้องสะดุดลงจนแทบพลิกกลับ ท่ามกลางช่วงเวลาที่เลวร้ายเหล่านั้นนักแสดงวัย 17 ปียังคงมีคุณพ่อ - สุรศักดิ์ อุดมศิลป์ยืนอยู่เคียงข้างเสมอ

พ่อของนักแสดงสาวนั้นเป็นถึงประธานกรรมการบริหาร บริษัทโอเวอร์ซีส์ คาร์บอน ไรเซอร์ จำกัด บริษัทนำเข้าถ่านหินแอนทราไซท์รายใหญ่ของประเทศไทย ว่ากันว่าเป็นนักธุรกิจระดับพันล้านเลยทีเดียว

โดยในช่วงมรสุมข่าวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่แรกเริ่มที่มี “ภาพหลุด” เผยแพร่และส่งต่อกันในโลกอินเทอร์เน็ต สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนคือการแถลงข่าวครั้งแรกซึ่งสุรศักดิ์เลือกจะเป็นคนเดียวที่รับหน้าที่ตอบคำถามทั้งหมด และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ผมเป็นพ่อของปันปันนะครับ ก็วันนี้มีเรื่องอยากจะแถลงให้ทุกๆ ท่านทราบว่าจากกรณีที่มีรูปภาพ ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นนะครับ ทางผมและภรรยาก็รู้สึกกลุ้มใจมาก ก็ไปสอบถามกับทางน้อง สอบถามกันมานานพอสมควรได้เรื่องว่าปันปันได้เคยมีการทดลองจริง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์”

จากนั้นกระแสสังคมที่ถาโถมใส่ตัวนักแสดงสาวแม้ท้ายที่สุด บทสรุปยังคงทิ้งความกังขาไว้ให้เมื่อเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ออกมาตัดสินว่า เธอไม่มีความผิดใดๆ ความบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยข้อกังขาทำให้สังคมเกิดคำถามกับกรณีนี้มากขึ้น แต่ท้ายที่สุดหลังออกจากห้องแถลงข่าว พ่อของนักแสดงสาวก็ยังคงยืนกรานที่พูดความจริง

“สอนลูกตลอดว่า โกหกคนอื่นได้แต่โกหกตัวเองไม่ได้” คำพูดนี้ของเขาท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้หลายคนชื่นชมเขาในฐานะพ่อแห่งปี

“ต้องรู้จักรับผิดชอบ”
โยชิโอ คูกิมิยะ พ่อของณเดช คูกิมิยะ

แม้ในช่วงปีที่ผ่านมา ซุป'ตาร์พันข้าวเหนียวอย่างณเดช คูกิมิยะจะมีผลงานน้อยลง ทว่า ความร้อนแรงก็ยังไม่ลดดีกรี โดยเมื่อไม่นานมานี้ยังมีข่าวที่เขาช่วยคนย้ายสัมภาระที่สนามบิน จนเป็นที่ยกย่องว่า เขาเป็นพระเอกทั้งในและนอกจอ
คนหนึ่งในชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้กับเขาคงหนีไม่พ้น พ่อบุญธรรมที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กๆ อย่าง โยชิโอ คูกิมิยะ ตัวพระเอกหนุ่มเคยให้สัมภาษณ์ไว้เลยว่า ได้ครึ่งหนึ่งของพ่อก็พอใจแล้ว

“เรื่องแรกคือป๊าเป็นนักกีฬาคาราเต้สายดำ” ณเดชเอ่ยถึงความเป็นฮีโร่ของพ่อในชีวิตของเขา

คุณพ่อโยชิโอเป็นชาวญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าให้กับโรงงาน โดยเขาเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ เป็นชีวิตวัยทำงานที่หนักหน่วง ต้องเดินทางไกลไปในหลากหลายประเทศทั้งอเมริกา สเปน เม็กซิโก ยุโรป จนถึงหมู่เกาะทางแถบญี่ปุ่น

“ถึงทุกวันนี้เวลาชวนไปไหนป๊าจะไม่ค่อยอยากไป เพราะท่านใช้ชีวิตคุ้มแล้ว เดินทางมาหมดแล้ว” พระเอกหนุ่มเอ่ยถึงพ่อบุญธรรมที่ปัจจุบันเกษียณและหันมาเปิดอพาร์ตเมนต์อยู่ที่จังหวัดขอนแก่น โดยวางแผนอนาคตไว้ว่า แม้พระเอกหนุ่มจะไม่มีงานทำก็ยังสามารถดูแลอพาร์ตเมนต์ได้

“ป๊าเป็นคนวางแผนชีวิตเป็นลำดับ แค่ช่วง ม.ต้นผมกับป๊าก็คุยกันเรื่องการทำงานแล้ว ป๊าแนะว่าเราอยากทำงานอะไร ทำแบบไหน เก็บเงินอย่างไรดี”

การเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งการเป็นฮีโร่ในแบบของลูกผู้ชายที่รักกีฬา และความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่วางแผนอนาคตอย่างรอบคอบ เหล่านี้ส่งผลถึงตัวตนของพระเอกหนุ่มกลายเป็นแรงผลักดันให้เขารับหน้าที่ดูแลครอบครัวต่อจากพ่อของเขา

“ป๊าทุ่มเททุกอย่างและไม่เคยขออะไรเลย” เขาเอ่ยถึงคุณพ่อโยชิโอ “ฉะนั้นทุกอย่างที่ผมทำคือ เรามีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบคนในครอบครัวแทนป๊าแล้ว เพราะผมก็มีงานทำ มีรายได้ สามารถแบ่งปันเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัวดูแลน้า น้องและคนอื่นๆในครอบครัว มาถึงตอนนี้ผมตายก็โอเคแล้วนะ เพราะผมรู้สึกว่าผมก็มาได้ครึ่งหนึ่งของป๊าแล้ว”

“เป็นตัวของตัวเอง”
สุรศักดิ์ ชัยอรรถ พ่อของแกงส้ม เดอะสตาร์

การเป็นรองแชมป์จากเวทีเดอะสตาร์ทำให้หนุ่มน้อยชื่อน่ารับประทานอย่าง แกงส้ม เดอะสตาร์ หรือธนทัต ชัยอรรถ เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากความสามารถทั้งร้องและแต่งเพลงที่เกินตัวแน่นอนว่า ส่วนหนึ่งมาจากความเป็นศิลปินที่ได้รับมาจากพ่อ หนู - สุรศักดิ์ ชัยอรรถ นักแสดงรุ่นเก๋า

“เป้าหมายชีวิตตอนแรกคืออยากเป็นศิลปิน อยากวาดรูปเก่งเพราะพ่อผมชอบวาดรูป” หนู - สุรศักดิ์เผยถึงชีวิตในช่วงแรกที่เข้ามาร่ำเรียนในกรุงเทพฯ ที่วิทยาลัยเพาะช่าง โดยเลือกทำงานวาดการ์ตูนเล็กๆ น้อยๆ ส่งเสียตัวเอง

“พอจบผมก็มาทำโปสเตอร์หนังบ้าง เป็นมืออาร์ตเวิร์กทำโฆษณาหนังในหนังสือพิมพ์ จากนั้นไปทำงานนิตยสารจนได้เป็นบรรณาธิการหนังสือ “เรา” เป็นนิตยสารวัยรุ่นเล่มแรกๆของเมืองไทย”

แต่แล้วสุรศักดิ์ต้องพบกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อนิตยสารเราต้องปิดตัวลง พร้อมกกับบ้านที่จังหวัดตราดก็ถูกไฟไหม้ เขาที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นกลับเลือก “สุรา” เป็นทางหนีออกจากปัญหา

“นั่นเป็นช่วงชีวิตที่แย่ที่สุด เรากินเหล้าเมายาแทบทุกวันเลย ทำแบบนั้นอยู่เกือบเดือน มันเครียดมากและดื่มมากจนต้องไปเซ็นติดค่าเหล้าเขา” เขาเผยถึงช่วงเวลาที่อับจนหนทาง “จนวันหนึ่งเราเจอจดหมายจากแฟนหนังสือ มีฉบับหนึ่งเขียนว่า โรงเรียนสอนการแสดงของครูเล็ก (ภัทราวดี) จะเปิดรับสมัครนักแสดงรุ่น 2 อีกอาทิตย์เดียวหมดเวลา ด้วยความที่เราชอบการแสดงอยู่แล้วก็เลยเปลี่ยนตัวเองสักที เลิกเหล้าแล้วรีบไปเลยสมัคร”

หลังจากเขาผ่านการออดิชั่นเข้าเรียนจนได้รับงานแสดง ชีวิตที่มุ่งมาในสายงานแสดงที่ตัวเองรักได้คลี่คลายสู่หนทางที่ดีขึ้น จากงานโฆษณาสู่งานละคร ต่อยอดโอกาสสู่งานด้านออกแบบจนเขามีเงินเก็บมากพอจะบริษัทเป็นของตัวเอง

“ผมทำงานในวงการไปด้วย และงานออกแบบไปพอเก็บเงินได้มากพอผมก็แต่งงาน สร้างครอบครัว และผมกับภรรยาก็ตัดสินใจซื้อเปียโนมาหลังหนึ่งทั้งที่เราทั้งสองเล่นไม่เป็น” เขาเผยถึงการตัดสินใจซื้อเปียโนเข้าบ้าน “ได้แต่หวังว่า พอมีลูกจะให้ลูกเรียน แล้วจะให้ลูกเล่นเพลงให้ฟังหรือเล่นให้เราร้อง”

แกงส้มจึงเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่รักเสียงดนตรี ความรักที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กทำให้เขามุ่งมั่นทำตามฝัน ตั้งวงดนตรีตลอดจนแต่งเพลงพร้อมทั้งลงมือทำเอ็มวีเพื่อเสนอค่ายเพลงด้วยตัวเอง โดยหาเงินค่าทำเอ็มวีจากการรับจ้างสอนดนตรี

“ผมก็ตีลูกตัวเองแต่เวลาตีเราจะคุยเหตุผลกันให้เคลียร์ก่อน” เขาเผยถึงวิธีเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน “ผิดจริงนะ ตีลงโทษแล้วไม่เก็บไปคิดอะไรนะ และผมจะตีลูกจนถึงป.6 เท่านั้น พอโตกว่านั้นเราคุยกันด้วยเหตุผลและมันอาจจะเป็นโชคดีด้วยที่ทุกคนไม่มีใครมีปัญหาเลย”

ทุกวันนี้ชีวิตการทำงานของแกงส้มทำให้ห่างจากพ่ออยู่มาก แต่กระนั้นทักษะในการแสดง การทำงาน ตลอดจนการวางสมดุลในการชีวิตระหว่าง “ความเป็นศิลปิน” การทำในสิ่งที่ตัวเองรักกับ “การทำงาน” หาเลี้ยงชีพ ทำให้หลายคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเลย

“จงเข้มแข็ง”
เดวิด คริสโตเฟอร์ อิงลิช พ่อของแคทริยา อิงลิช

ในช่วงปีกว่าๆ ที่ผ่านมาคงเป็นปีที่หนักหน่วงในชีวิตของแคทริยา อิงลิช ดาราสาวผู้มากประสบการณ์ในวงการบันเทิง หลังจากอุบัติเหตุที่ทำให้แม่ของเธอเกือบสูญเสียตาข้างซ้าย พร้อมการจากไปของน้าคนสนิทอย่างกะทันหัน จนถึงการตรวจพบเนื้องอกในสมองของผู้เป็นพ่อ - เดวิด คริสโตเฟอร์ อิงลิช เหล่านี้กลายเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของชีวิตเธอ

“อึ้งค่ะ พูดไม่ออก...” เธอเผยถึงความรู้สึกหลังจากได้รับรู้อาการของผู้เป็นพ่อ “เพราะคุณพ่อแข็งแรง คุณพ่อเป็นฮีโร่ของเรา คือพ่อไม่เคยป่วยกระเสาะกระแสะ เรามีความรู้สึกว่าคุณพ่ออยู่กับเรามายาวนาน พอเจอเรื่องนี้มันก็เลยอึ้งและชา บอกความรู้สึกไม่ได้เหมือนกัน จะเรียกว่าเสียใจ มันเสียใจนะ แต่แล้วจะทำยังไงต่อดี?”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้นคือความเข้มแข็งของพ่อที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย สิ่งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากหมอแจ้งให้เขาทราบว่ามีเนื้องอก 2 ก้อนที่สมอง เขาไม่มีอาการตกตะลึงหากแต่พยักหน้ารับฟังอย่างใจเย็น พร้อมเอ่ยว่า
“โอเค...รู้แล้วก็ดี แล้วต้องทำอย่างไรต่อไป”

เธอเผยว่า นิสัยของพ่อคือไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อุปสรรคครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนบททดสอบที่ทำให้เธอต้องเข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งไปพร้อมๆ กับพ่อของเธอ หลังจากการผ่าตัดตรวจพบว่า เนื้องอกก้อนหนึ่งเป็นมะเร็ง

“แผลที่หัวของพ่อยังดูสวยอยู่เลย” เธอเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นโดยพ่อบอกเพียงว่า รู้สึกคันที่แผลเล็กน้อยเท่านั้น

ว่ากันว่าคุณค่าของชีวิตจะปรากฏก็ต่อเมื่อมนุษย์ผู้นั้นเผชิญกับวาระสุดท้ายเท่านั้น เธอเผยว่า ด้วยทัศนคติที่ดีของพ่อ ความร่าเริงที่ยังคงทำให้คนรอบข้างยิ้มได้แม้เผชิญโรคร้ายส่งผลคุณพ่อเดวิดมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แค่ 2 วันพ่อก็แข็งแรงขึ้นแล้ว พ่อค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งคุณพ่อก็บอกว่า ออกไปเดินเล่นกันเถอะ”

ในช่วงหลังผ่าตัด แม้ว่ามะเร็งชนิดที่พ่อของเธอเป็นนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะย้อนกลับมาเป็นอีกแต่พ่อของเธอก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเป็นปกติราวกับไม่มีอาการป่วยไข้แต่อย่างใด

“ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก็เข้าออฟฟิศเลยค่ะ เขาใช้ชีวิตเหมือนปกติไม่เหมือนคนป่วย เหมือนเขาไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมที่จะเป็นคนป่วย”

แต่หลังจากผ่านไป 1 ปีเศษ มะเร็งกลับมาอีกครั้งและครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักหนากว่าครั้งก่อน เมื่อพ่อของเธอเริ่มถอดใจ คราวนี้จึงเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องเข้มแข็งขึ้นและให้กำลังใจพ่อกลับไปบ้าง

"เมื่อวานพ่อก็ร้องไห้บอกว่าพ่อขอโทษ พ่อไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากให้เป็นภาระกับใคร แต่เราก็บอกกับพ่อว่าไม่ได้เป็นภาระให้ใครเลย ทุกคนอยากให้อาการพ่อดีขึ้น อยากให้พ่อสู้ ก็พยายามให้คุณพ่ออารมณ์ดีและตัวของเราก็พยายามให้กำลังใจตลอด คอยบอกให้สู้”

“ทำงานแล้วมีความสุข”
สุพัฒน์ วัฒนามนตรี พ่อของมิน - พีชญา วัฒนามนตรี

กลายเป็นคู่พ่อ - ลูกสาวที่สนิทกันมากที่สุดคู่หนึ่งของวงการ เมื่อมิน - พีชญา วัฒนามนตรี นางเอกน่ารักจากวิก 7 สีได้คุณพ่อ - สุพัฒน์ วัฒนามนตรี เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้

“อันนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อ จริงๆแล้ว ช่วงที่เราหนุ่มๆมาก็ไม่ค่อยมีเวลาได้ดูแลลูกเท่าที่ควร” สุพัฒน์เอ่ยถึงการเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวให้ลูกสาว “เพราะมีภริยาช่วยดู พอถึงจุดหนึ่งลูกต้องการความช่วยเหลือในการไปดูแล เรามองว่ามันเป็นวงการที่อ่อนไหวมากในหลายๆเรื่อง ถ้าเราได้มาดูตรงนี้จะได้เป็นที่ปรึกษาลูกด้วยเลยกลับไปช่วยดูแลลูก”

แต่กับอีกมุมของชีวิตพ่อของดาราสาวเป็นถึงประธานคณะกรรมการหจก.น้ำพองพัฒน์วัสดุก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างที่มีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น โดยเขาสู้ชีวิตตั้งแต่เป็นพนักงานขายสู่การทำงานรับเหมาก่อสร้างจนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้สำเร็จ

“วันนี้ผมก็ดูแลงานเป็นภาพรวมทั้งหมด แต่รายละเอียดก็แบ่งให้คนอื่นๆดู คนเราอายุมากขึ้นก็ค่อยถอยตัวเองออกไปพักผ่อน วันหนึ่งก็ต้องยกให้ลูกหลานดูแล” เขาเอ่ยธุรกิจเพราะมาถึงตอนนี้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาคือการเทคิวให้กับการดูแลงานของลูกสาว

โดยหน้าที่ในการเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขานั้นมีตั้งแต่ดูแลคิวงานให้กับลูกสาว หลายครั้งก็ต้องตามติดไม่ว่าจะถ่ายละคร บางครั้งก็ถึงขั้นลงมือทำอาหารเช้าให้แม้จะไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม

“ป๊าเป็นคนไม่เคยเข้าครัวเลย เช้าวันนั้นเราก็กังวลว่าต้องสอบคงหิวแน่ พอมาเจอพ่อทำอาหารให้เป็นข้าวผัดไข่ดาวที่หน้าตาดูไม่ได้เลย จากที่เครียดเราก็หัวเราะออกมา” เธอเอ่ย จากตรงนั้นเองที่ทำให้เธอมีแรงกลับมาอีกครั้ง

นอกจากนั้นหลายครั้งที่เหนื่อยกับงานไม่ว่าจะเป็นงานละครหรืองานจากที่มหาวิทยาลัย เธอจะเข้าไปกอดพ่อ และพ่อก็จะเอ่ยบอกทุกครั้งว่า “กอดป๊าไว้จะได้ไม่เหนื่อย สู้ๆ”

เมื่อมองไปที่ธุรกิจใหญ่ที่คุณพ่อสุวัฒน์สร้างขึ้นมานั้น นางเอกสาวเคยเปรยไว้บ้างว่าจะมาช่วย แต่เขาเหมือนรู้ใจพลางเอ่ยว่า

“มันแล้วแต่ความต้องการของเขาเลยนะ ผมไม่ได้หวังว่าเขาจะต้องทำให้ธุรกิจมันเติบโตอะไรขนาดนั้น ให้เขาเลี้ยงตัวเองได้ ทำงานแล้วมีความสุข นั่นคือความรู้สึกที่ผมมีขณะนี้มากกว่าที่จะต้องไปเครียดให้มีบริษัทใหญ่โต ผมไม่เคยมองว่าบริษัทของผมใหญ่ แต่ผมทำแล้วมีความสุขมากกว่า”

ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร OHO, รายการวีไอพี, รายการวันวานยังหวานอยู่, รายการมาดามไลฟ์, รายการ Leader Talk, siamdara.com,

เรียบเรียงโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE

ภาพประกอบจาก kapook.com, sanook.com, instagram:katreeya_e


สุรศักดิ์ อุดมศิลป์ พ่อของปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์
โยชิโอ คูกิมิยะ พ่อของณเดช คูกิมิยะ
สุรศักดิ์ ชัยอรรถ พ่อของแกงส้ม เดอะสตาร์
เดวิด คริสโตเฟอร์ อิงลิช พ่อของแคทริยา อิงลิช
สุพัฒน์ วัฒนามนตรี พ่อของมิน – พีชญา วัฒนามนตรี
กำลังโหลดความคิดเห็น