xs
xsm
sm
md
lg

ไม่แรง! ไม่ฉาว! ไม่ใช่เธอ“เก๋ – กรรณิกา ขันแก้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากผลงานเซ็กซี่สุดแรงในเอ็มวี “เป๊ะ” ต่อด้วยข่าวสุดฉาวจากเวทีประกวดมิสเวิลด์เน็กซ์ท็อปโมเดล ครหาถึงขั้นเธอเอาตัวเข้าแลกตำแหน่ง พาให้ภาพนางงามอย่าง “เก๋ - กรรณิกา ขันแก้ว” กลายเป็นดาราขายภาพแรง...ขายข่าวฉาว
 
“ไม่แรงไม่ฉาวเราไม่ทำค่ะ” เธอตอบด้วยสุ่มเสียงเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
 
ล่าสุดเธอออกมาปฏิเสธชัดว่า ไม่ได้เอาตัวเข้าแลกตำแหน่ง คำปฏิเสธของเธอ...แรง! ถึงขั้นตั้งคำถาม - ฝ่ายตรงข้ามกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า?
 
หลังจากทีมงาน M-Lite ได้พูดคุยกับเธอก็พบว่า...แม้ชื่อของ “นางงาม” ที่คนปกติมักคิดว่า ต้องเรียบร้อย ต้องเงียบๆ เป็นกุลสตรีเหมือนผ้าพับไว้ แต่คงไม่ใช่สำหรับเธอ เพราะความตรงไปตรงมาและพูดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือตัวตนของนางงามอย่างเธอ

วันนี้ในช่วงเดือนที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน...ความร้อนแรงของเธอเป็นเหมือนเปลวไฟไม่หวาดหวั่นต่อสายฝน หรือแม้แต่คำวิจารณ์เสียๆ หายๆ เธอพร้อมพูดคุยทุกประเด็นฉาว ทั้งเบื้องลึกเบื้องหลังเวทีนางงาม เอ็มวีสุดเซ็กซี่ตัวต่อไป...ที่แม้จะมีเสียงบ่นบอกเธอว่า เพลงลูกทุ่งอะไรไม่มีความเป็นไทย มาถึงตอนนี้เธอแอบกระซิบตอกกลับความเห็นเหล่านั้น

“เพลงต่อไปมีความเป็นไทยมากค่ะ ไทยแน่นอน...และแรงด้วย แรงกว่าเอ็มวีตัวที่แล้วอีก รับร้องค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจทั้งยังยั้วยวนชวนติดตาม

เจ้าแม่เวทีนางงาม

แม้หลายคนจะมารู้จักเธอจากเวทีนางงามระดับประเทศอย่าง มิสไทยแลนด์เวิลด์(miss thailand world 2012) จากตำแหน่งนางงามผิวสวย แต่ทว่าก่อนความสำเร็จครั้งนั้น เธอได้ฝ่าฟันสมรภูมิขาอ่อนมามากกว่า 60 เวที หลายต่อหลายปีบนเส้นทางนางงาม เธอพิชิตหลากหลายเวทีจนชื่อ “เก๋ - กรรณิกา” เป็นชื่อของคู่แข่งที่น่าหวาดหวันบนเวทีนางงาม

โดยจุดเริ่มต้นของชีวิตบนเส้นทางนางงามของเธอคือการได้พบกับพี่เลี้ยงที่ส่งเด็กเข้าประกวดนางงามตามเวทีต่างๆ ด้วยความรูปร่างที่ผอมสูงมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอเริ่มต้นเข้าร่วมการประกวดนางงามครั้งแรกตั้งแต่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น

“งานแรกฮอนด้าเรซของภาคเหนือค่ะ” เธอย้อนนึกถึงประสบการณ์ครั้งแรกบนเวทีประกวด “มันก็แปลก เราไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย มันตลกมากกว่า เพราะด้วยความที่เราผอมมาก พอลงประกวดหุ่นเราก็สู้คนอื่นไม่ได้ เหมือนไม่มีสะโพกไม่มีหน้าอกเลย พ่อเราก็ไปซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปของผู้ใหญ่มาให้เราใส่ให้เราดูมีสะโพกขึ้นมา ก็ตลกดี”

ที่เธอนึกตลกก็เพราะ คนที่จัดแจงจัดการเรื่องนี้ให้เธอกลับเป็นพ่อ ไม่ใช่แม่ที่ควรจะใส่ใจเรื่องแบบนี้มากกว่า หลังจากนั้นเธอเข้าประกวดหลากหลายเวที ภาคเหนือซึ่งเป็นภูมิลำเนาของเธอ เธอก็จัดการกวาดตำแหน่งมาแทบทุกเวที และทุกเวทีที่เธอเข้าประกวด เธอก็มักจะได้ตำแหน่งติด 1 ใน 3 และมักจะพ่วงด้วยตำแหน่งอื่นในการประกวดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นขวัญใจช่างภาพ ขวัญใจประชาชน

“เคยมีที่จังหวัดอุดรธานีเก๋กวาดเรียบทุกรางวัลแล้วก็มีถ้วยรางวัลอยู่เต็มมือเลย ตอนไปแห่ชาวบ้านเรียกชื่อเล่นจำได้จนขึ้นหัวเลย”

จนเข้าสู่ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้าสังกัดของพี่เลี้ยงนางงามที่กรุงเทพฯ และเริ่มเดินสายประกวดเก็บตำแหน่งนางงามทางภาคอีสานต่อ

“ก็ประกวดมาเรื่อยเลยคะ เก็บภาคเหนือมาเกือบทุกเวที พอมาเข้ามหาวิทยาลัยก็มีพี่เลี้ยงที่อยู่ทางกรุงเทพฯ ที่เขาเห็นแววตอนเราไปประกวดนางงามที่เชียงราย ก็เลยเอามาอยู่ในสังกัด จากนั้นมาก็เริ่มไปประกวดก็ไปเก็บทางภาคอีสาน”

บอกได้ว่า ชื่อของเธอกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงนางงามจนหลายคนนึกหวั่นเกรงหากต้องลงประกวดเวทีเดียวกับนางงามมือวางอันดับอย่างเธอ

จากนั้นเธอก็ได้มีโอกาสขึ้นเวทีใหญ่ระดับประเทศอย่างเวที มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส(Miss thailand Universe) ปี 2011 ซึ่งครั้งแรกของเธอบนเวทีระดับประเทศนั้น ไม่ประสบความสำเร็จเข้าเพียงรอบ 44 คนสุดท้าย และไม่ได้ตำแหน่งใดมาครองเลย

“พอคราวนี้ก็ได้มีโอกาสได้ขึ้นเวทีใหญ่ ครั้งแรกมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2011 ตอนนั้นไม่ประสบความสำเร็จคือเข้ารอบแค่ 44 คนสุดท้ายแต่ไม่ได้ตำแหน่งอะไรกลับบ้านเลย ตอนนั้นก็เลยกลับมาฝึกแล้วพัฒนาตัวเองอีก 1 ปี จนได้เข้าประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์(Miss Thailand world) ปี2012”

ผลจากการฝึกฝนทำให้เธอผ่านเข้าสู่รอบ 10 คนสุดท้ายของเวทีระดับประเทศ ทั้งยังคว้าตำแหน่งนางงามผิวสวยมาครอบครองได้สำเร็จอีกด้วย ทว่านั่นเป็นเพียงความสำเร็จก้าวแรกของเธอ เพราะต่อจากนั้นเธอก็ได้รับการทาบทามให้เป็นตัวแทนของประเทศเข้าไปประกวดเวทีระดับโลกที่ชื่อว่า มิสเวิลด์เน็กซ์ท็อปโมเดล (Miss world next top modal) ปี 2012 เวทีเดียวกับที่มีเป็นข่าวนั่นเอง

“หลังจากเข้ารอบ 10 คนสุดท้าย และได้ตำแหน่งนางงามผิวสวยจากเวทีนี้ หลังจากนั้นมาก็มีพี่คนหนึ่งที่มีลิขสิทธิ์ส่งตัวแทนประเทศไทยไปประกวดเวทีนางแบบโลกที่ประเทศเลบานอล

“เขาเห็นเก๋จากเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์เลยติดต่อมา เก๋ก็ตกลงเพราะไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว ไหนๆก็เดินมาถึงเส้นทางนี้แล้ว ที่เวทีนั้นก็ได้รองชนะเลิศอันดับ 2 มา ก็เป็นเวทีเดียวกับที่เป็นข่าวที่ว่าปีนี้โดนลวนลามแหละค่ะ ก็เลยพูดกันว่าปีที่แล้วคงเอาตัวเข้าแลก”

ต่อกระแสข่าวครั้งนี้ จากตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 ในเวทีนางงามระดับโลก กลายเป็นข้อครหาที่ติดตัวเธอมาจนถึงตอนนี้ เธอเผยว่า ปีที่เธอไปประกวดนั้นการประกวดดำเนินไปอย่างราบรื่น มีความเป็นมืออาชีพในประกวดระดับสากล

“คือปีเก๋ไม่โดนนะคะ ปีนี้คนที่ไปมาเขาแต่งเรื่องหรืออะไรยังไงเราก็ไม่ทราบค่ะ เพราะเก๋ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว มันก็เป็นการประกวดตามปกติ เพราะถ้ามีใครมาลวนลามอะไรอย่างนี้ เก๋คงปล่อยข่าวให้เป็นเรื่องระดับชาติ ระดับสากล...คงไม่เก็บงำมาถึงเมืองไทยแล้วค่อยป่าวประกาศหรอกคะ เอาเรื่องใครก็ไม่ได้แล้ว”


บนเวทีทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับไหวพริบ

ในฐานะนางงามมากประสบการณ์ผู้ผ่านเวทีประกวดมามากมาย ตั้งแต่อายุ 15 เธอเผยว่า แท้จริงแล้วอายุ 15 นั้นถือว่าเด็กเกินไป...ตามกฎแล้วไม่สามารถลงประกวดได้ด้วยซ้ำ ในช่วงแรกของการประกวดเธอจึงให้ชื่อปลอมในการลงสมัครเข้าประกวด อัจฉรา จันทร์ตุ้ยคือชื่อที่เธอเคยใช้

“จำได้ว่าใช้ชื่อนี้ตอนประกวดธิดาลิ้นจี้ที่พะเยาปี 48 ได้ที่ 1 แต่พอปี 51 กลับไปประกวดอีกทีในชื่อกรรณิกา ขันแก้วเพราะอายุครบแล้วก็ได้ที่ 1 อีก ก็ชนะเลิศ 2 รอบแต่คนละชื่อกัน”

ประสบการณ์บนเวทีประกวดบอกเธอว่า ความตั้งใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการลงประกวดทุกเวทีสิ่งที่ทุกคนมีเพียบพร้อมในฐานะนางงามคือความงามที่บรรดาพี่เลี้ยงต่างขัดเกลาจนทุกคนงามที่สุด สวยที่สุดเทียบเท่ากัน มีเพียงความสามารถ ไหวพริบและการตอบคำถามบนเวทีเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะได้ตำแหน่งใดไปครอง

“เก๋เป็นคนตั้งใจมากกว่าค่ะ มันจะมีตอบคำถามทุกเวที เก๋ก็จะเตรียมตัวหาข้อมูลเบื้องต้นไว้เสมอ... แต่ ณ เวลาที่เราออนสเตจอยู่บนเวทีเราก็ต้องใช้ประสบการณ์ของตัวเอง และใช้ความรู้รอบตัวเข้าช่วย

“เก๋จะฝึกตัวเองให้มีความมั่นใจ อาจจะให้มีอีโก้สูง เพราะพออีโก้สูง ความทะเยอทะยานมันจะตามมาเพราะฉะนั้นเวลาเราทำอะไรมันก็ดูจริงจัง และสิ่งเหล่านั้นมันจะส่งผ่านมาทางสายตา เก๋เชื่อว่าทุกอย่างทำให้เราโดดเด่นมาจากนางงามคนอื่นๆ”

ทั้งนี้ ในการประกวดตามต่างจังหวัด เธอบอกเลยว่า มีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก พี่เลี้ยงแต่ละคนมีการสอนให้นางงามทุกคนมีเขี้ยวเล็บติดตัวเพื่อช่วงชิงความโดดเด่นในแต่ละเวที

“เวทีที่เข้นข้นจะเป็นเวทีตามต่างจังหวัด” เธอเล่าถึงความเป็นไปของวงการนางงามอย่างเจนจัด “พี่เลี้ยงจะงัดทุกอย่างออกมา เธออย่าให้คนนั้นเดินล้ำหน้าแกสิ โอโห! แม้แต่การเดินเล็กๆ น้อยๆ ก็เก็บหมด รองเท้าสูงเท่าไหร่ไม่พอ งัดมาหมด การแต่งตัวด้วยทุกอย่าง”

เมื่อนึกย้อนไปถึงการประกวดที่ผ่านมาในชีวิต เธอก็พบว่า ทุกคนที่เข้าประกวดนั้นถือเป็นคนสวยทั้งหมด แม้แต่นางงามตามต่างจังหวัด เธอก็บอกเลยว่า พี่เลี้ยงขัดเกลามาให้ทุกคนให้สวยสุดๆแล้ว

“แต่สิ่งที่พี่เลี้ยงไม่สามารถเกลาหรือทำแทนได้นั้นคือเวลาออนสเตจเท่านั้น มันคือตัวเราทั้งหมดแล้ว”

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคยังคงเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอต้องเจอ และเธอตอบอย่างชัดเจนว่า อุปสรรคบนเส้นทางนางงามของเธอนั้น ไม่ใช่ความสามารถของเธอ ไม่ใช่ความสวยภายนอก หากแต่กำแพงอุปสรรคที่เธอมองว่าไม่สามารถก้าวข้ามไปได้จริงๆ คือเรื่องของเส้นทางในวงการ

“มันก็มีจริงๆ นะคะ ที่เขาบอกว่าเอาตัวเข้าแลกในเวทีนางงาม แต่เก๋ก็ไม่เคยเอาตัวเข้าไปแลกนะ แต่วงการนี้มันมีจริงๆ บางทีเขาก็บอกว่า อ่ะ ตามนี้กับสปอนเซอร์ใหญ่ แต่ขอให้ได้ตำแหน่ง คือถึงแม้ว่าเราจะทำดีแค่ไหน เราก็แพ้”

เวทีหนึ่งที่เธอรู้สึกประทับใจที่สุดคือเวทีประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ด้วยเพราะมิตรภาพที่ได้จากเวทีนี้ซึ่งการประกวดที่ผ่านมาทั้งหมด เธอกล้าพูดได้เลยว่า เต็มไปด้วยการแข่งขัน แต่เวทีนี้กลับเต็มไปด้วยมิตรภาพที่ทำให้รู้สึกประทับใจกับช่วงเวลาที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการประกวดครั้งนั้น

“30 คนที่มาเข้าประกวด เก๋รู้สึกเหมือนเราไม่ได้มาแข่งขันน่ะคะ เก๋รู้สึกว่าโชคดีมากที่ทั้ง 30 คน มีความจริงใจให้กันแล้วช่วยเหลือกัน เก๋ก็ไม่เคยเจอนางงามที่เก็บตัวร่วมกันขนาดนี้...แล้วไม่แข่งขันกัน คือทุกคนช่วยเหลือกันจนวินาทีสุดท้าย ถ้าใครจะได้ตำแหน่งนี้ไปเราก็ไม่ว่า เราพร้อมที่จะยินดีด้วยกับคนที่ได้ตำแหน่ง เป็นเวทีที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจริงๆ”

ในการเดินสายประกวดหลายต่อหลายเวที ทั้งระดับจังหวัด ระดับประเทศ จนถึงระดับโลก การแบ่งเวลาให้กับการเรียนก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่บางครั้งเพื่อเส้นทางที่เธอเชื่อมั่น เธอก็เลือกที่จะทำบางอย่างที่ผิดกฎอย่างการไม่เข้าเรียน

“เก๋เรียนมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ช่วงไหนที่มีประกวดเก๋ก็จะให้เพื่อนเข้าไปเรียนแทน มีการจ้างกันเรียนด้วย คือให้เพื่อนไปเก็บงานให้ แต่เพื่อนก็ไม่เคยเอาเงินหรอก แต่ถึงจะขาดเรียนบ้าง...ปัญหาเรื่องการเรียนของเก๋ก็ไม่มีเลยนะคะ เก๋ก็เก็บทุกอย่าง...พอเสร็จจากงานประกวดเราก็มาทำหน้าที่เรียนของเราได้”

จนถึงตอนนี้หลังจากเวทีมิสเน็กซ์ท็อปโมเดลที่ประเทศเลบานอล เธอยังกลับมาคว้าตำแหน่งมิสซูเปอร์คาร์ (Miss super car) 2013 แต่ก็คงจะเป็นตำแหน่งสุดท้ายแล้ว เธอเผยว่าหลังจากนี้คงไม่ลงประกวดอีกแล้ว เพราะตัวเองได้หันตัวมาทำธุรกิจส่วนตัวอย่างเต็มเวลา

“คิดว่าคงจะเป็นเวทีสุดท้ายแล้ว ไม่ประกวดแล้ว เพราะว่าตอนนี้เก๋ทำธุรกิจส่วนตัวแล้ว เรียนจบแล้วด้วย อีกอย่างคือเราได้เข้าสู่วงการอย่างเต็มตัวแล้วทำให้เราคิดว่า คงไม่ประกวดแล้ว มันเป็นเส้นทางหนึ่งที่ผ่านมา แต่ก็เป็นเส้นทางที่สำคัญในชีวิตของเก๋มาก เพราะถ้าไม่มีเส้นทางนี้เก๋ก็คงมาถึงจุดนี้ไม่ได้ มันเป็นใบเบิกทางที่ยิ่งใหญ่”

ประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดบนเส้นทางนางงามได้สอนหลายสิ่งหลายอย่างให้กับเธอ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ความอดทนในการใช้ชีวิต

“คิดว่า ที่ผ่านมาการประกวดมันสอนให้อดทน แล้วก็สอนจิตวิทยาให้กับเราด้วย สอนให้เรารู้จักรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เพราะเก๋ต้องเจอหลายสถานการณ์ 60 เวทีก็เจอ 60 อย่าง และเราก็ได้ไปตามต่างจังหวัดต่างๆ ทำให้เรารู้ว่า พื้นที่ประเทศไทยมันมีอะไรมากมายก่ายกองที่เราไม่รู้”

ในวัยที่พลาดพลั้ง

สำหรับชีวิตคนหนึ่งคน การพบเจอกับช่วงเวลาอันเปาะบางที่ทำให้เดินไปบนเส้นทางที่ผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่นางงามผู้เพียบพร้อมอย่างเธอ

ในช่วงหนึ่งของชีวิตที่หลงระเริงไปกับแสงสี เธอเผยว่า เป็นช่วงเวลาที่ของชีวิตที่ต้องการค้นหา ทดลอง และอยากรู้อยากเห็น มันเป็นช่วงชีวิตที่ได้รับอิสระอย่างถึงที่สุด เข้ามาอยู่หอในกรุงเทพฯ เป็นช่วงขึ้นชั้นปีที่ 3 เธอเผยว่า เป็นช่วงหนึ่งที่ติดเที่ยวกลางคืน

“ประมาณเกือบปีที่เหลิงไปแต่ก็กลับมาได้...เป็นช่วงมหาวิทยาลัยกำลังจะขึ้นปี 3 ช่วงนั้นก็จะติดเที่ยว แต่ไม่ได้เที่ยวกับเพื่อนเลยนะคะ เที่ยวคนเดียว ไปนั่งชิวตามประสาวัยรุ่น นั่งร้านเหล้า ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปทำไม

“เหมือนเราอยากได้สังคมอีกอย่างหนึ่ง แต่พอไปแล้วก็เออ...ไม่รู้ว่ารู้ตัวยังไง ก็ดึงตัวเองกลับมา แล้วก็ไม่เอาอีกเลย กลายเป็นเกลียดไปเลย ทุกวันนี้ก็ไม่เที่ยวกลางคืนอีกเลย เหมือนกับว่า เอาให้สุด ไปเรียนรู้ พอรู้ทุกอย่างก็ไม่อยากแล้ว”

สิ่งที่เธอไปเจอและได้เรียนรู้คือ ชีวิตการเที่ยวกลางคืนนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากทำให้ร่างกายทรุดโทรม และความเป็นนางงามที่หวงแหนความสวยงามเป็นเรื่องธรรมดาก็ทำให้เธอรู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำ ทั้งยังทำให้การเรียนเสียไปช่วงหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตามเธอก็หันตัวเองกลับมาได้สำเร็จ

“แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่ทุกคนต้องมีบ้าง แต่บางคนอาจจะไม่กลับมา หรือหนักกว่าเดิม แต่ของเก๋ก็อย่างที่บอก โชคดีที่รู้ตัวไว พ่อแม่เก๋ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ช่วงนั้นที่หนักมาก พ่อกับแม่เก๋มาหาที่หอก็จะแบบ เปิดลิ้นชักเจอเหล้าอยู่ในลิ้นชัก มันตลกที่พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไรเลยนะ เขาเงียบจนเราละอายเอง คือพ่อกับแม่เก๋จะเป็นแบบถ้าเสียใจหนักๆ น้ำตาจะล่วงให้เห็นเลย แต่ไม่พูดอะไร แล้วเราก็รู้สึกสะอึกในใจแล้ว เฮ้ย มันไม่ใช่แล้วแบบนี้”

ช่วงหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่เสียใจมากๆ คือช่วงที่เธอรู้สึกสับสนกับชีวิต และด้วยความเป็นคนมั่นใจในตัวเอง จึงด่วนตัดสินใจ ยกหูโทรศัพท์บอกกับพ่อแม่ที่อยู่ที่พะเยาให้รับตัวเองกลับบ้าน ไม่เรียนแล้ว ไม่ประกวดอีกแล้ว อยากจะออกไปจากชีวิตตรงนั้น

“เก๋จะเป็นคนด่วนกะทันหันตัดใจก็คือคิดเอง คิดไปเรื่อย ช่วงนั้นโดนกดดันจากทางพี่เลี้ยง เลยไม่อยากจะประกวดแล้ว เรื่องมากจัง”

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดจากพี่เลี้ยงตัดผมให้เธอ จากผมยาวถึงกลางหลังมาเป็นผมสั้นซอยรับรูปหน้า เป็นผมสั้นกุด ทำให้เธอทนไม่ไหวถึงขั้นอยากหนีออกจากชีวิตตรงนั้น

“ตอนนั้นก็โทร.บอกพ่อแม่เลย ให้เอารถมาขนของเลย กลับบ้าน วันนี้เลย เราโทร.บอกพ่อกับแม่ตอน 7 โมงเช้า จากพะเยาถึงกรุงเทพฯ พ่อแม่มาถึงบ่าย 2 คำถามคือเราทำอะไรลงไป? ถ้าพ่อกับแม่เกิดอุบัติเหตุจะทำยังไง? มาคิดทีหลังแล้วก็งงมาก พ่อกับแม่เปิดประตูมาแล้วช็อก ลูกเป็นอะไร? ร้องไห้น้ำตาล่วงเลย เห็นลูกตัดผมสั้นกุด เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ใครทำอะไรกับลูก?

“คือช็อกกับภาพที่เห็นเราผมสั้นกุด แล้วช็อกกับคำพูดเราด้วย เราพูดอะไรสั้นๆ โทรไปบอกแค่ พ่อแม่ลูกไม่เรียนแล้ว ลูกไม่เอาแล้ว รำคาญ พูดอย่างงี้เลยนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว คือโตขึ้นแล้ว คิดได้แล้ว”

ครอบครัวทหารที่พะเยา

ในช่วงวัยเด็กที่เธอเริ่มเข้าประกวดนั้น คนที่ให้การสนับสนุนเธอเป็นอย่างดีคือพ่อ พ่อที่เป็นนายทหารซึ่งบนโต๊ะที่ทำงานจะเต็มไปด้วยรูปของเธอในการประกวดครั้งต่างๆ จนลูกน้องหลายคนนึกว่า พ่อแอบชอบนางแบบคนนี้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เป็นลูกสาวต่างหาก

“คุณพ่อกับคุณแม่ชอบให้ประกวดนะ” เธอเอ่ยถึงครอบครัวและวัยเด็ก “เพราะเก๋เป็นคนไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ จะห้าวๆ พูดจาแข็งๆ พ่อกับแม่ก็เลยอยากให้ลองประกวดดูเพราะเราสูง แล้วพี่เลี้ยงนางงามตามต่างจังหวัดก็พูด ทำไมไม่ลองส่งน้องประกวดดูละ พ่อแม่ก็เลยลองดู แล้วเวทีแรกมันได้ตำแหน่ง ก็เลยติดใจ สนับสนุนกับทั้งบ้าน”

ครั้งแรกที่เธอได้เข้าวงการประกวดนั้น ก็มาจากที่เดิมทีเธอเป็นประธานชมรมนาฏศิลป์ของโรงเรียน มีกิจกรรมอะไรก็จะเป็นเธอกับเพื่อนที่ต้องขึ้นไปรำเปิดงาน แต่เธอสารภาพว่า จริงๆแล้วไม่ได้ชอบนาฏศิลป์ หากแต่ที่เข้าชมรมก็เพราะสิทธิพิเศษในการไว้ผมยาวได้เท่านั้น

“พูดจริงๆ เลยคือที่เข้าชมรมนาฏศิลป์เพราะอยากไว้ผมยาว ไม่ได้ชอบรำหรืออะไร เป็นชมรมเดียวที่ให้ไว้ผมได้ แต่ก็คือถ้ามีกิจกรรมอะไรที่โรงเรียนเราก็ร่วมตลอด แต่ถามว่าชอบมั้ย...ก็ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ชอบมาก”

เมื่อนึกถึงช่วงวัยเรียน เธอมองว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ไปเรียนต่อด้วยเรียนพิเศษและกลับบ้าน จนถึงอายุ 15 ที่เริ่มเข้าประกวดด้วยชื่อปลอม และก็เดินสายประกวดมาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่อยู่ในตัวตนเธอมาตั้งแต่เด็กคือความเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง

“ตอนเป็นประธานชมรมนาฏศิลป์ จริงๆ เวลารำเก๋จะไปยืนหลังคนอื่นนะ เพราะเก๋จำท่ารำไม่ได้ แต่เวลาอยู่ในชมรม เวลาซ้อม เก๋จะเป็นคนนำ เป็นคนรวมตัวทุกคนมาซ้อม”

ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอมีความเป็นผู้นำอาจมาจากการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ไม่เข้มงวดกับเธอนัก ทั้งนี้ก็ทำให้เธอมีนิสัยที่อาจจะดูห้าวกว่าผู้หญิงปกติด้วย และที่น่าแปลกใจคือน้องชายของเธอกลับเป็นคนที่ดูเรียบร้อยกว่าเธอเสียอีก

“พ่อแม่ไม่เข้มงวดเลย เก๋จะมีน้องชายที่เรียบร้อยกว่าเก๋มาก คือเก๋จะมีก๊วนเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย คือเก๊จะไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงสักเท่าไหร่ เก๊จะห้าวๆหน่อย ชอบขี่ม้า ขี่มอเตอร์ไซค์ทุกครั้งที่กลับต่างจังหวัด คือไม่ขับรถเลย เพราะว่าพ่อกับน้องชายก็จะชอบมอเตอร์ไซค์

“น้องชายที่เรียบร้อยจะชอบมอเตอร์ไซค์ บางครั้งด้วยความเรียบร้อยของเขา เขาก็จะสอนเก๋ พี่เก๋อย่าไปพูดเสียงดังน้องอายเขา เก๋จะชอบพูดจาโฮกฮาก บางทีก็ลืมตัว”

พูดไปแล้ว เธอก็นึกขึ้นได้ว่า ครอบครัว ทั้งพ่อแม่และน้องชายเป็นคนเรียบร้อยกันหมด ยิ่งเวลาแม่พูดกับน้องชาย เธอบอกเลยว่า แทบไม่รู้ว่าคุยกัน

“แล้วอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ คือตั้งแต่เรียนมัธยมมาเก๋จะแยกบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่คนเดียวเลย แต่อยู่กับพ่อแม่นะคะ พ่อแม่ค่อนข้างจะให้อิสระกับเก๋มาก ทุกอย่างเลยคะ โชคดีที่ไม่หลงทางไปไหนก่อน”

ยามว่างกับม้าคู่ใจชื่อ สยาม

ยามว่างของเด็กต่างจังหวัดอย่างเธอ หากได้กลับบ้านที่พะเยาในวัยเด็กก็คงจะเป็นการฝึกนาฏศิลป์ ทว่าเมื่อโตขึ้นมาสิ่งที่เธอชอบกลับเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์ ทั้งบิ๊กไบท์ ฮาร์เลย์ ชอปเปอร์ จนถึงเคเอสอาร์

“มันเท่ดีค่ะ ถ้าขี่แล้วลงไปในเมือง คนหันมอง มันเท่ยิ่งกว่ามองว่าเราสวยอีกคะ ภูมิใจมาก เหมือนเป็นอีกมาดหนึ่ง”

แต่เมื่อใดที่เธอได้ไปที่บ้านของคุณย่าที่จังหวัดเชียงราย เธอก็ไม่พลาดที่จะไปขี่ม้า มันเป็นม้าตัวแรกที่เธอได้ขี่ และทำให้เธอขี่ม้าเป็นนับแต่ครั้งแรกที่ขึ้นไปนั่งบนอานของมัน ม้าตัวนั้นมีชื่อว่า สยาม เป็นม้าไทยพันธุ์ผสมตัวใหญ่ หลังของมันสูงเทียบหัวของเธอได้ แต่ก็เป็นม้าใจดีที่ทำให้เธอสนุกกับขี่ม้ามาจนถึงปัจจุบัน

“บ้านคุณย่าจะมีม้าตัวหนึ่งชื่อ สยาม คือปกติแล้วเก๋ก็ไม่มีพื้นฐานการขี่ม้าเลย แต่ว่าพอเจอสยามปุบเป็นม้าตัวสูงใหญ่มาก แต่พอเก๋ขึ้นขี่ปุบ ก็ขึ้นขี่ได้ทันทีเลย แล้วก็สนุกเลยติดใจตั้งแต่นั้นมา เลยกลายเป็นว่าถ้าได้เจอสยามต้องพาไปวิ่งเลย”

ที่น่าแปลกคือเธอสามารถขี่ควบเจ้าสยามไปได้ในครั้งแรกที่ขึ้นขี่ การขี่ม้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงคำแนะนำเล็กๆน้อยๆของน้าชายเท่านั้นที่บอกให้เธออย่าเกร็งตัวเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในสมดุลบนหลังม้า

7 - 8 ปีแล้วที่เธอรู้จักกับเจ้าสยาม ผ่านทั้งการขี่วิ่งเล่น การดูแล อาบน้ำแปลงขน เธอบอกเลยว่า เพียงมองตาก็รู้ใจ

“2-3ปีก่อนขี่แต่เจ้าสยามอย่างเดียวเลยคะ ขี่ตัวอื่นไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ขี่ได้ทุกตัวแล้ว ก่อนหน้าจะเจอสยามเนี่ย ก็ไม่เคยเรียนมาก่อนเลยนะคะ”

และตลอดมาเธอก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุกับการขี่ม้า เพราะหากตกจากหลังเจ้าสยามที่หลังของมันสูงกว่า 175 เซนติเมตร (ความสูงของเธอ) เธอคงหลังหักหรือไม่ก็บาดเจ็บหนักแน่นอน

“นอกจากจะขี่ม้าเก๋ไม่ค่อยชอบออกไปเที่ยว ชอบอยู่บ้านเลย...ถ้าไม่ได้อยู่ที่พะเยา มาอยู่กรุงเทพฯ เก๋ก็จะชอบอยู่บ้านนั่งคุยกับลูกค้าเพราะเรามีธุรกิจหลายอย่างที่ทำอยู่”

ผลงานใหม่ที่แรงกว่า ฉาวกว่า “เป๊ะ”

เมื่อไม่นานมานี้เอ็มวีเพลง เป๊ะ ของศิลปินลูกทุ่งนามเอิร์ก - องอาจ เลเดอเรอร์ สร้างกระแสร้อนแรงทั้งในแง่ของการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม และแรงทั้งความเซ็กซี่ที่รวมเอานางแบบลุคร้อนแรงของวงการไว้ในเอ็มวีเดียว ทว่าไม่นานเกินรอเธอเผยว่า ทุกคนจะได้ชมเอ็มวีเพลงใหม่ที่ร้อนแรงกว่าเดิมแน่นอน

ทั้งนี้ เอ็มวีทั้งหมด ผลงานทั้งหมดนั้นแท้จริงแล้วเป็นธุรกิจของเธอเองในแบรนด์ที่ชื่อว่า เลเดอร์เรอร์ โดยจะมีจำหน่ายครีมบำรุงผิว พร้อมทั้งมีก็ทำเอ็มวีเพลงเพื่อโปรโมตสินค้า

“เก๋นำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากยุโรปค่ะ” เธอเอ่ยถึงธุรกิจที่ทำร่วมกับเพื่อนของเธอ ศิลปินนักร้องในเอ็มวีสุดร้อนแรงนั่นเอง “คือภายใต้แบรนด์เลเดอร์เลอร์เป็นของเก๋หมดทุกอย่าง ตอนนี้ก็จะมีอภิมหาโปรเจกต์ที่ต่อจากเอ็มวีเป๊ะ ได้ดาวเซ็กซี่ดวงใหม่มาร่วมด้วยอีกคน”

โดยตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของเธอนั้น เธอเผยว่าเริ่มต้นมาจากที่ผู้ชายเจ้าสำอางอย่างเอิร์ก - เลเดอเรอร์ที่ชอบหาสิ่งบำรุงผิว กระทั่งมาเจอครีมตัวนี้ที่เยอรมัน หลังจากพบว่า ขนาดผู้ชายใช้ยังมีผิวที่สวยได้ขนาดนี้ เธอจึงตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจนำเข้าครีมดังกล่าว จากแรกเริ่มที่ต้องขับรถไปส่งครีมกันเองกับเพื่อน จนถึงตอนนี้เธอเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง มีการว่าจ้างห้องเคมีในการผสม และทำบรรจุภัณฑ์เอง ถือว่าเป็นการเติบโตทางธุรกิจของเธออย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ แผนการทางธุรกิจของเธอคือจะทำเอ็มวี 1 ปี 2 ซิงเกิ้ลเท่านั้น และทุกซิงเกิลต้องเป็นแนวเซ็กซี่ทั้งหมด ที่สำคัญเธอย้ำว่า มันต้องเป็นที่พูดถึงในสังคมไทย

“เพราะถ้าไม่ฉาว ไม่แรง เราไม่ทำ พูดแค่นี้คะ” เธอเอ่ยถึงโปรเจกต์ต่อไป “ตอนนี้บอกได้แค่ว่าเป็นเพลงลูกทุ่งเหมือนเดิม แต่แรงกว่าเดิม แรงกว่าเดิมไม่ได้หมายความว่าจะถอดหมดนะคะ เพราะเอ็มวีเป๊ะมันใส่ชุดชั้นใน แต่ว่า เอ็มวีนี้จะมีความเป็นไทยที่สูงมาก”

โดยความเป็นไทยที่เธอพูดถึงนั้น เริ่มตั้งแต่บทขับเสภาในเพลง แต่เธอก็ยังบอกว่า ต้องติดตามแต่เธอรับรองว่า แซบ
เธอเผยถึงเบื้องหลังของการหยิบความเป็นไทยมาใส่ในเอ็มวีว่า มาจากความคิดเห็นในโลกออนไลน์ที่มองว่า เอ็มวีแรกของเธอนั้นไม่มีความเป็นไทย

“เก๋อยากจะให้เห็นว่ามันที่คอมเมนต์บอก เอ็มวีนี้ทำให้ลูกทุ่งเสื่อมเสีย มาใส่นุ่งน้อยห่มน้อย ไม่เห็นมีความเป็นไทยเลย...ครั้งนี้แหละคะ เราจะตอบโจทย์ความเป็นไทยมาก ไทยแบบเรือนไทยเลย บอกได้แค่นี้ว่าไทยยุครัตนโกสินทร์เลย เราก็ทำตอบโจทย์ค่ะ ที่ด่ากันมา...เรียกร้องกันมานักก็จะทำให้”

สุดท้ายเป้าหมายของชีวิต เธอมองว่า จะทำธุรกิจของตัวเองให้เติบโตที่สุด ส่วนชีวิตในวงการนั้นอาจเป็นเพียงเพื่อให้ยังมีชื่อเสียงอยู่ในวงการเท่านั้น

“งานบันเทิงก็คงทำเรื่อยๆ คงเป็นงานที่ใช้เวลาไม่มาก เพราะเก๋ไม่มีเวลา อาจจะทำงานในวงการให้มีชื่ออยู่ในวงการไปเรื่อยๆมากกว่า เพราะบอกเลยว่า วงการบันเทิงบ้านเรา ทำให้นักแสดงประสบความสำเร็จด้านธุรกิจเยอะเหมือนกัน มันเหมือนเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนกลุ่มหนึ่ง”


ประวัติ
ชื่อ - กรรณิกา ขันแก้ว
ชื่อเล่น - เก๋
ส่วนสูง - 176
การศึกษา - คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
งานอดิแรก - ขี่ม้า นาฏศิลป์ บาสเกตบอล แบ็ตมินตัน ขี่มอเตอร์ไซค์
ผลงานที่ผ่านมา - นางงามผิวสวย และเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 รองชนะเลิศอันดับ 2 มิสเวิลด์เน็กซ์ท็อปโมเดล 2010 ,ภาพยนตร์จิตสัมผัส 3 D
 
ภาพจาก นิตยสารมาร์ ฉบับประจำเดือน กรกฎาคม 2556
 













นางงามหลากหลายเวที



ครอบครัวของเธอ

ม้าคู่ใจ “สยาม”
ธุรกิจของเธอ – เลเดอเรอร์ครีม
กำลังโหลดความคิดเห็น